บทที่ 47 ราชครูจวิน

 

หลังจากรอนานกว่าครึ่งชั่วยาม หนานกงเย่ก็กลับมาจากข้างนอก เมื่อเปิดประตูเเข้ามาก็เห็นฉีเฟยอวิ๋นรออยู่ข้างใน

เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามา ฉีเฟยอวิ๋นก็เดินไป:“ท่านกลับมาแล้ว?”

“ไม่รู้จักกฎระเบียบ เห็นข้าแล้วไม่คารวะ ข้าเรียกหาเจ้าหรือ?” หนานกงเย่พูดด้วยสีหน้าเย็นชา ผู้หญิงคนนี้มองอย่างไรก็ขัดหูขัดตา

“ท่านอ๋อง” ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากจะโต้เถียง เรียกอะไรก็เป็นแค่ชื่อเรียก

“ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้ากลับไป”

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจ จะกลับแล้วหรือ?

“ท่านอ๋องแน่พระทัยแล้วหรือเพคะ?”

“ไปกันเถอะ”

หนานกงเย่หันหลังจากไป ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามหลังเขาไป และรู้สึกว่าไม่จิตใจไม่สงบ หากไม่ทำเรื่องดี วันนี้จะประพฤติตัวดีได้อย่างไรใ!

เมื่อออกจากวัง ฉีเฟยอวิ๋นก็ได้พบเสนาบดีเฉิน สีหน้าของเสนาบดีเฉินดูกลัดกลุ้ม เขาไม่พูดอะไรและก้มหน้าเดินมา

ฉีเฟยอวิ๋นเคยเจอเสนาบดีเฉิน ก่อนหน้านี้ตอนที่ฝ่าบาทเชิญให้ไปทานอาหาร นางเห็นเสนาบดีเฉินปรากฏตัวพร้อมกับเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ แม้ว่าพ่อลูกจะแยกกันเดิน เสนาบดีเฉินเดินไปก่อน และเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ก็เดินตามหนานกงเย่ไป แต่พวกเขาพ่อลูกนั่งด้วยกัน แน่นอนว่าฉีเฟยอวิ๋นจำได้

ได้เจอกันวันนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกล่าวทักทาย ฉีเฟยอวิ๋นยังคงคิดว่าต้องเป็นนางหรือเสนาบดีเฉินที่ต้องเป็นฝ่ายกล่าวทักทายก่อน ถึงอย่างไรหนานกงเย่ก็อยู่ด้วย เช่นนั้นถามไถ่เรื่องสุขภาพก็ถือว่ามีส่วนร่วม

แต่คิดไม่ถึงว่าเสนาบดีเฉินจะจากไปเช่นนั้น ราวกับมีใครติดค้างเขา

ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจ:“เสนาบดีเฉินเป็นอะไรไป?ราวกับข้าทำให้เขาขุ่นเคือง!”

“คงเห็นเจ้าอารมณ์ไม่ดีกระมัง หน้าตาดูน่าเกลียดเช่นนี้” มุมปากของหนานกงเย่ค่อย ๆ โค้งงอขึ้น

“ท่านสิน่าเกลียด” ฉีเฟยอวิ๋นปฏิเสธ และหันริมฝีปากเข้าหากัน

“หากข้าน่าเกลียด เช่นนั้นเจ้าก็ต้องไปตายซะ!”

“ท่าน……”

เดิมทีฉีเฟยอวิ๋นต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่หนานกงเย่ก็ขึ้นไปบนรถม้าและเตรียมจะออกจากวัง จากนั้นก็บอกอาอวี่ว่า:“ออกไปนอกเมือง”

“แล้วพระชายาล่ะพ่ะย่ะค่ะ?” อาอวี่ประหลาดใจ พระชายายังไม่ได้ขึ้นรถม้าเลย

“ไม่สน”

ม่านบนรถม้าปิดลง และหนานกงเย่ก็เข้าไปด้านใน ฉีเฟยอวิ๋นยังไม่ทันได้ขึ้นรถม้า อาอวี่ก็บังคับรถม้าออกไป ฉีเฟยอวิ๋นยืนอยู่ที่หน้าประตูวังอย่างพูดไม่ออกอยู่นาน ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนเลยจริง ๆ!

เมื่อมองไปรอบ ๆ ฉีเฟยอวิ๋นก็วางแผนจะจากไป ด้านหลังมีคนออกมาจากในวัง ฉีเฟยอวิ๋นเห็นคนที่นึกไม่ถึง

ในเวลานี้ฝ่าบาทเพิ่งจะว่าราชกิจเสร็จ ท่านพ่อจึงอยู่ในราชสำนักด้วย และออกมาในเวลานี้

“ท่านพ่อ”

แม่ทัพฉีได้ยินเสียงเรียก และเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นบุตรสาว เขาก็ประหลาดใจมาก:“อวิ๋นอวิ๋น เจ้าก็มาด้วยหรือ?”

“ท่านพ่อ ข้าแค่ผ่านมาเจ้าค่ะ” ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปหาแม่ทัพฉี พ่อลูกขึ้นไปบนรถม้า ระหว่างทางฉีเฟยอวิ๋นจึงรู้ว่าหนานกงเย่บอกปัดเรื่องของเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ต่อหน้าฝ่าบาท และกล่าวว่าฉีเฟยอวิ๋นทั้งร้องไห้ทั้งโวยวาย และใช้ความตายมาบีบบังคับ เกรงว่าจะก่อเรื่องจนถึงแก่ชีวิต จึงจำต้องยกเลิกเรื่องแต่งงาน

ฉีเฟยอวิ๋นอยู่ในความงุนงง และไม่รู้ว่าหนานกงเย่จะทำอะไร

“ไอ้บ้านั่นพูดเรื่องไร้สาระเช่นนั้นต่อหน้าพ่อ ไอ้สารเลวต่อหน้าพ่อ พ่อโกรธจนอยากจะโต้แย้ง แต่ไม่รู้ว่าจะโต้แย้งอย่างไร พ่อโมโหมาก!” แม่ทัพฉีโมโหมากจนอยากจะตีไอ้บ้านั่นให้ตาย เมื่อเห็นพ่อตาก็ไม่ทักทาย ราวกับว่าไม่รู้จักกัน ทำให้เขาเสียหน้า แต่ไม่สามารถบอกบุตรสาวได้

ฉีเฟยอวิ๋นเข้าใจดี อันที่จริงแม้ว่าแม่ทัพฉีจะไม่พูด นางก็สามารถคิดได้ว่าจะต้องมีเรื่องที่หนานกงเย่ไม่เห็นท่านพ่ออยู่ในสายตาอย่างแน่นอน ท่านพ่อถึงได้โมโหเช่นนี้

“ท่านพ่อ วันนี้ข้าไปพักด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ”

ฉีเฟยอวิ๋นคิดว่าในเมื่อนางถูกทิ้งแล้ว นางกลับไปก็คงจะไม่เป็นที่ชื่นชอบ สู้ไม่กลับไปจะดีกว่า

เมื่อแม่ทัพฉีได้ยิเช่นนั้นก็ดีใจ:“ได้สิ!”

เมื่อพ่อลูกกลับไป เห็นได้ชัดว่าฉีเฟยอวิ๋นกลับไปที่จวนท่านแม่ทัพ แต่นางแอบเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าผู้ชายและออกไปจากเมือง

ตระกูลจวิน

จวินฉูฉู่ลงจากรถม้าและเงยหน้ามองขึ้นไปที่ประตูตระกูลจวิน จวนท่านราชครู สามคำนี้ทำให้นางหายใจติดขัด เมื่อคิดถึงเรื่องต่าง ๆ ในจวนก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา

มีคนรอต้อนรับอยู่ที่หน้าที่ประตูตระกูลจวิน และเมื่อจวินฉู่ฉู่ลงจากรถม้าก็มีคนมาเข้ามาแสดงความเคารพ

“บ่าวคารวะพระชายาตวน” ฮูหยินใหญ่ของตระกูลจวินคือแม่ของจวินฉูฉู่ ซึ่งควบคุมดูแลเรื่องของตระกูลจวิน เมื่อจวินฉูฉู่กลับมาที่จวน จึงต้องแจ้งให้นางทราบ และรออยู่ที่หน้าประตูไม่นาน แม้ว่าจะเป็นแม่ลูกกัน แต่ก็แต่งงานเข้าไปเป็นคนของตระกูลสวรรค์ จึงต้องรู้ถึงสถานะที่แตกต่างกันมาก

จวินฉูฉู่พูดอย่างเฉยเมย:“ลำบากฮูหยินแล้ว!”

“พระชายาตวนเชิญเสด็จเพคะ”

จวินฉูฉู่เดินไปข้าง ๆ ฮูหยินจวิน และฮูหยินจวินก็ช่วยประคองเข้าไปข้างใน

เมื่อประตูปิดลง จวินฉูฉู่ก็รีบสับมือในทันที แล้วช่วยประคองฮูหยินจวินเข้าไป นางเอาใจใส่มาตลอดทาง เมื่อมาถึงด้านในเรือน นางก็ก้าวถอยหลังไปสองก้าว แล้วยกกระโปรงขึ้นมา จากนั้นก็คำนับฮูหยินจวิน

“ลูกคำนับท่านแม่เจ้าค่ะ”

“อืม ลุกขึ้นเถิด”

ฮูหยินจวินนั่งลงและบอกใบ้ให้จวินฉูฉู่มานั่งลง แล้วจวินฉูฉู่ก็ถามว่า:“ท่านแม่ ข่าวลือในราชสำนักเป็นความจริงหรือไม่เจ้าคะ?”

ตระกูลจวินเก็บความลับขอเซียวเซียวไว้ ด้วยสถานะพระชายาตวนของนางเป็นการยากที่จะสอบได้ ในเวลานี้อ๋องตวนยังคงรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ จึงไม่มีวิธีที่จะรู้เรื่องนี้ เมื่อนางได้ยินมาก็ตกใจจนเหงื่อตก

ในเมื่อมอบนางให้อ๋องตวนแล้ว วันหน้าก็ต้องช่วยประคับประคองตำแหน่งของอ๋องตวน ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ หรือว่ามีจุดประสงค์อื่น

“เรื่องนี้ต้องมีอะไรบางอย่าง น้องสาวของเจ้าถึงวัยที่ควรออกเรือนแล้ว แม้ว่าข้ากับท่านพ่อของเจ้าจะไม่เต็มใจ แต่ต้นไม้ใหญ่ย่อมต้านลม จะซ่อมไว้ก็คงไม่ได้ แต่ความยิ่งใหญ่ของตระกูลสวรรค์ ไม่ใช่สิ่งที่ท่านพ่อของเจ้าจะเลือกได้” ฮูหยินจวินกล่าวอย่างสง่าผ่าเผย บอกว่าเธอเป็นคนดีมาก แต่เมื่อได้ฟังเบื้องหลังของจวินฉูฉู่ก็รู้สึกขมขื่น

ความสามารถของตระกูลจวิน เป็นแรงผลักดันอยู่เบื้องหลัง

ในตอนนี้นางกลายเป็นหมากตัวหนึ่งของตระกูลจวิน และนางก็ไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านพ่อของนางทำ

“ท่านแม่ หรือว่าท่านพ่อจะไม่ยินยอม?” จวินฉูฉู่ลองหยั่งเชิง แต่ฮูหยินจวินจะรู้ได้อย่างไรกัน

“ท่านพ่อของเจ้ารอเจ้าอยู่ที่ห้องหนังสือ เจ้าไปเถอะ”

ฮูหยินจวินโบกมือ นางไม่อยากพูดอะไรอีก จึงไล่จวินฉูฉู่ไป

จวินฉูฉู่ลุกขึ้นยืน แล้วถอยออกไปหาราชครูจวินที่ห้องหนังสือ

เมื่อมาถึงหน้าประตู จวินฉูฉู่ก็เคาะประตู:“ลูกขอเข้าพบเจ้าค่ะ”

“เข้ามาเถอะ”

ราชครูจวินกล่าวอย่างเฉยเมย จวินฉูฉู่เปิดประตูเข้าไป จากนั้นก็ปิดประตูแล้วเดินเข้าไปข้างใน นางเห็นราชครูจวินกำลังอ่านหนังสืออยู่

“ลูกคำนับท่านพ่อเจ้าค่ะ” จวินฉูฉู่ยกกระโปรงขึ้นแล้วคุกเข่าลง มือทั้งสองวางลงบนพื้นแล้วคำนับสามครั้ง

“ลุกขึ้นเถิด” ราชครูจวินวางม้วนหนังสือในมือลง แล้วเงยหน้าขึ้นมองจวินฉูฉู่ที่ยืนขึ้น

“วันนี้ที่เจ้ากลับมา เพราะเรื่องของเซียวเซียวหรือ?” ราชครูจวินกล่าวอย่างตรงไปตรงมา และตรงพอที่จะจัดการกับคนอย่างพวกเขา ไม่ไว้หน้าและไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก

จวินฉูฉู่ชินแล้ว บุตรสาว ตระกูลจวินมีบุตรสาวมากมาย แม้ว่านางจะบุตรของภรรยาเอก แต่เมื่ออยู่ในจวนก็ไม่แตกต่างจากบุตรของอนุภรรยา หากอยากได้ความสำคัญก็ต้องแสวงหาความก้าวหน้า ขึ้นอยู่กับความพยายามและความเป็นเลิศ จึงจะได้ในสิ่งที่ต้องการ

และนางสามารถมีวันนี้ได้ก็เป็นเพราะความพยายามและการเชื่อฟังของนาง

หนานกงเย่เป็นคนที่นางชื่นชอบ จนกระทั่งตระกูลจวินให้โอกาสนางกับหนานกงเย่ได้ไปมาหาสู่กัน เดิมทีนางคิดว่าจะได้อยู่ด้วยกันกับหนานกงเย่ แต่ทุกอย่างก็ขัดกับความต้องการของนาง ในตอนนั้นตระกูลจวินต้องการยกนางให้กับอ๋องตวน หนานกงเยี่ยน

นางยิ่งคิดก็ยิ่งปวดใจ และในที่สุดก็ยอมตกลง

ในเรื่องนี้นางไม่ได้แสดงความโศกเศร้าเสียใจได้

ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะการตัดสินใจของนางเอง

แต่ในตอนนี้ ดูเหมือนนางจะเป็นหมากที่ถูกทอดทิ้ง นางจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ได้อย่างไร?

“ท่านพ่อ เรื่องนี้มีความหมายลึกซึ้งอันใดหรือไม่?” ไม่เป็นการดีที่จวินฉูฉู่จะยั่วโมโหราชครูจวิน จึงได้แต่ถามอย่างมีไหวพริบ แต่ในสายตาของราชครูจวิน ไม่เป็นเช่นนั้น และนี่เป็นการสะกิดต่อมโมโหของเขา

“บังอาจ มีความหมายลึกซึ้งอันใด เป็นสิ่งที่เจ้าสามารถถามได้งั้นหรือ?”

เดิมทีราชครูจวินก็มีสายตาที่แหลมคมอยู่แล้ว ไม่โกรธแต่ดุดัน จวินฉูฉู่กลัวพ่อคนนี้มาตั้งแต่ยังเด็ก และในขณะเดียวกันเขาก็เกลียดชังอย่างฝังลึก

“ท่านพ่อโปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!”

จวินฉูฉู่รีบคุกเข่าลงและโน้มศีรษะลงติดกับพื้น โดยไม่กล้าพูดอะไรอีก

 

 

**********************