บทที่ 423 สร้างปัญหา + บทที่ 424 องค์หญิงเสวี่ย

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

บทที่ 423 สร้างปัญหา

สายตาของผู้คนในเมืองเฟิงมองไปที่ทางเข้า และเห็นชายหนุ่มสองคนและหญิงสาวอีกหนึ่งนางเดินเข้ามา นอกจากนี้ ยังมีชายหญิงอีกสองคนกำลังเดินตามพวกเขาเข้ามาด้วย หลังจากที่ดูให้ดีๆ แล้ว จึงพบว่าสองคนนั้นคือมู่เสวี่ยและมู่เฉินนั่นเอง

“ถวายพระพรฝ่าบาท”

“องค์ชายฉีไม่จำเป็นต้องมากพิธี” ทั้งสองฝ่ายปฏิบัติตัวตามพิธีการ

เซียวฉีเทียนยืนขึ้นและโค้งคำนับเฟิงฮ่องเต้ “ข้ามาที่นี่เพื่อแต่งงาน และขอเป็นพันธมิตรกับเมืองเฟิง หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเมืองเซียวและเมืองเฟิงนั้นจะมีสัมพันธไมตรีต่อกันอีกนับร้อยปี”

“ข้าอยากรู้นักว่าหญิงสาวที่องค์ชายฉีปรารถนานั้นเป็นใคร”

“มู่เสวี่ย” เซียวฉีเทียนเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา และไม่มีทีท่าลังเลแม้แต่น้อย

อัครมหาเสนาบดีมู่ตกตะลึง ก่อนจะเห็นว่ามู่เสวี่ยและมู่เฉินนั้นไม่มีท่าทีประหลาดใจ จึงเข้าใจในทันทีว่าทั้งสองคนต้องรู้เรื่องนี้มานานแล้ว มีเพียงเขาเท่านั้นที่ไม่รู้

ภรรยาของอัครมหาเสนาบดีมองเซียวฉีเทียนอย่างไม่อยากเชื่อ พวกเขาต้องการแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์หรือ ยิ่งไปกว่านั้น หญิงสาวที่เขาจะแต่งงานด้วยคือคนที่นางเกลียดชังนามว่ามู่เสวี่ย

“ท่านพี่ เรื่องนี้…”

“เป็นไปได้อย่างไรกัน ทำไมถึงเป็นมู่เสวี่ย” มู่อวี่ส่งเสียงกรีดร้องจนแสบแก้วหู

ในอดีต นางสนใจแต่เฟิงซั่ว จนไม่สังเกตเห็นเซียวฉีเทียนเลย แต่ตอนนี้ เมื่อเห็นว่าเขาหน้าตาหล่อเหลาและมียศถาบรรดาศักดิ์ชั้นสูง ใบหน้าของนางก็บูดบึ้งในทันที

ผู้คนต่างไม่ชอบใจในน้ำเสียงของมู่อวี่ หลายคนมองนางด้วยแววตาตำหนิ กิริยาท่าทางที่นางกระทำต่อหน้าแขกเช่นนั้น ทำให้ผู้คนจากเมืองเฟิงรู้สึกละอายใจยิ่งนัก

“นางเป็นใครกัน”

“นั่นคือน้องสาวของมู่เสวี่ย”

เซียวฉีเทียนมองเฟิงฮ่องเต้อย่างประหลาดใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อ “นางคือน้องสาวของมู่เสวี่ยหรือ เป็นไปได้อย่างไร ข้านึกว่านางเป็นหญิงชั้นต่ำที่อยู่ตามท้องตลาด และคอยสร้างปัญหาไปทั่วเสียอีก”

มุมปากของเฟิงฮ่องเต้ยกขึ้น ก่อนพยายามรักษาท่าทีของตนเอง และมองเซียวฉีเทียนอย่างหมดคำพูด เขารู้ได้ว่าอีกฝ่ายต้องการแก้แค้นให้มู่เสวี่ย แล้วเขาจำเป็นจะต้องพูดจาอ้อมค้อมด้วยหรือ

หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้วขณะมองมู่อวี่ “อัครมหาเสนาบดีแห่งเมืองเฟิงอบรมเลี้ยงดูลูกสาวของตนเช่นนี้หรือ ทำไมนางจึงเทียบไม่ได้แม้แต่ครึ่งหนึ่งของมู่เสวี่ยเลยเล่า”

แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องดีนักที่หนิงเมิ่งเหยาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย แต่พวกเขาก็รู้สึกว่ามู่อวี่นั้นเทียบไม่ได้กับมู่เสวี่ยจริงๆ

“องค์ชายฉี…คือ…”

“ทำไมหรือ นางเป็นเพียงลูกสาวของอัครมหาเสนาบดี กล้าดีอย่างไรถึงส่งเสียงเอะอะโวยวายต่อหน้าข้าเช่นนี้ หรือว่าสถานะทางสังคมของข้าอยู่ต่ำกว่า ถ้าเช่นนั้น ลูกสาวของเจ้าเป็นใครกัน” เซียวฉีเทียนรู้สึกโกรธเคือง ก่อนจะตะคอกใส่อย่างไม่ไว้หน้าอัครมหาเสนาบดี

เมื่อทุกคนได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น ก็มีท่าทีถมึงทึงและมองมู่อวี่อย่างโมโห หากไม่จัดการเรื่องนี้ให้ดี อาจจะนำไปสู่สงครามระหว่างสองเมืองได้

“องค์ชายฉี ข้ารับใช้ผู้ต่ำต้อยคนนี้อบรมเลี้ยงดูลูกสาวได้ไม่ดีเองพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทได้โปรดพระราชทานอภัยโทษให้แก่กระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เขาพูดพลางกะพริบตาส่งสัญญาณให้กับมู่เฉินและมู่เสวี่ย แต่ทั้งสองทำราวกับว่าไม่เห็นมัน

“ถ้าหากข้าไม่ยอมรับคำขอโทษของเจ้าเล่า”

ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นต่างรับรู้เรื่องราวมากมาย พวกเขารู้ดีว่ามู่เสวี่ยต้องทุกข์ใจเพียงใด ตอนที่อยู่ในจวนของอัครมหาเสนาบดี จากเหตุการณ์ตรงหน้าแสดงให้เห็นว่าองค์ชายฉีหลงรักมู่เสวี่ย เขาจึงปกป้องนางต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้

ภรรยาของอัครมหาเสนาดีมู่ชักสีหน้าไม่พอใจ ก่อนจะมองดูลูกเลี้ยงของตนด้วยสายตาอาฆาตแค้น

“เจ้ากำลังดูอะไรอยู่ หากยังมองด้วยสายตาเช่นนั้นอีก คิดว่าข้าไม่กล้าควักลูกตาเจ้าออกมาหรือ” ท่าทีของเซียวฉีเทียนเย็นชา และมองภรรยาของอัครมหาเสนาบดีอย่างเชือดเฉือน

นางกล้าจ้องมองมู่เสวี่ยด้วยสายตาเช่นนั้นต่อหน้าเขา หมายความว่าในอดีต มู่เสวี่ยกับมู่เฉินจะต้องทนทุกข์ทรมานมากเป็นแน่

ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกว่าภรรยาของอัครมหาเสนาบดีนั้นทำเกินขอบเขต องค์ชายฉีรักใคร่กับมู่เสวี่ย และฮ่องเต้ก็เห็นชอบด้วย เมื่อถึงเวลานั้น นางจะได้เป็นถึงพระชายาขององค์ชายฉี ซึ่งมีตำแหน่งสูงกว่าภรรยาของอัครมหาเสนาบดีอย่างมาก

“หุบปาก”

อัครมหาเสนาบดีมู่ยังคงขออภัยองค์ชายฉีต่อ ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อ

จนกระทั่งมู่เสวี่ยดึงแขนเขาและเอ่ยอย่างขมขื่น “ช่างมันเถอะ”

องค์ชายฉีขมวดคิ้วขณะมองดูนาง “เจ้าไม่คิดจะเอาเรื่องหรือ”

“อืม ลืมมันไปเถอะ”

สีหน้าของอัครมหาเสนาบดีมู่อึมครึมและน่ากลัว ก่อนหน้านี้นางไปอยู่ที่ไหนมา หลังจากที่เขาต้องอับอายอย่างมาก นางกลับเพิ่งจะมาพูดเอาตอนนี้ แต่พูดตอนนี้แล้วจะมีประโยชน์อะไรเล่า

เซียวฉีเทียนนั่งยองๆ มองดูเขา ก่อนจะเห็นสีหน้าอันคร่ำเคร่งของอีกฝ่าย “ดูเหมือนว่าอัครมหาเสนาบดีมู่จะไม่ต้องการให้มู่เสวี่ยแก้ตัวแทนเขา ถ้าเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร เฟิงฮ่องเต้ ข้าหวังว่าท่านจะสามารถมอบความยุติธรรมให้แก่ข้าได้”

“แน่นอน”

บทที่ 424 องค์หญิงเสวี่ย

“อัครมหาเสนาบดีมู่ไม่สามารถอบรมสั่งสอนลูกสาวของตนเองได้ ดังนั้นเงินเดือนของเจ้าจะถูกหักไปเป็นเวลาหนึ่งปี เพื่อให้เจ้าได้ใคร่ครวญถึงความผิดของตนเอง ส่วนมู่อวี่นั้นมีพฤติกรรมที่ไม่สง่างามเหมือนหญิงสาวทั่วไป นางจะต้องคัดลอก ‘หลักปฏิบัติสำหรับสตรี[1]’ จำนวนหนึ่งร้อยจบ และจะต้องศึกษากฎระเบียบจากแม่นมที่จะเป็นผู้สั่งสอนด้วย” เฟิงฮ่องเต้มองอัครมหาเสนาบดีมู่และส่ายศีรษะด้วยความผิดหวัง

แม้ว่าเซียวฉีเทียนจะยังไม่พอใจ แต่เขาก็รู้ว่าตนเองไม่ควรถือสาบางเรื่องมากเกินไป ในอนาคตยังมีโอกาสอีก

“ฝ่าบาท เกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์นั้น…”

“มู่เสวี่ยจะได้รับแต่งตั้งเป็นองค์หญิงเสวี่ย วันแต่งงานของนางกับองค์ชายฉีแห่งเมืองเซียวนั้นจะถูกกำหนดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง”

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

แม้ว่าอัครมหาเสนาบดีมู่จะไม่รู้สึกยินดีนัก แต่เขาก็จำเป็นต้องคุกเข่าลงเพื่อขอบคุณฮ่องเต้ เขารู้สึกเจ็บปวดและคับแค้นใจจนแน่นหน้าอก

หลังจากจัดการเรื่องงานแต่งงานของทั้งสองคนเสร็จสิ้น เซียวฉีเทียนจึงพูดขึ้นอีกครั้ง “ฝ่าบาท องค์หญิงจากเมืองเซียวนามว่าซือถูเซวียนนั้น มีความรู้สึกชอบพอกับมู่เฉิน ซึ่งเป็นลูกชายของอัครมหาเสนาบดี นางต้องการแต่งงานกับเขา และข้าก็หวังว่าฝ่าบาทจะทรงอนุญาต”

“แน่นอนว่าข้าจะต้องเห็นด้วยกับงานมงคลทั้งสองงานนี้”

อัครมหาเสนาบดีมองมู่เฉินอย่างตกตะลึง เขาไม่เคยคาดคิดว่างานแต่งงานของลูกชายจะเกี่ยวข้องกับเมืองเซียวด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น เขายังแต่งงานกับองค์หญิงแห่งเมืองเซียวอีกด้วย

“ถ้าเช่นนั้นก็หาฤกษ์งามยามดีสำหรับงานแต่งงานเถิด”

“ขอบพระทัย ฝ่าบาท”

หลังจากประกาศเรื่องงานแต่งงานของทั้งสองฝ่ายเสร็จสิ้น ผู้คนต่างก็รู้สึกอิจฉาอัครมหาเสนาบดีมู่ที่มีตำแหน่งสูงขึ้นอีกระดับ แต่เมื่อเห็นว่าเขามีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกราวกับว่าเผลอกินแมลงวันเข้าไป พวกเขาก็รู้สึกสะใจ

เดิมที ภรรยาของอัครมหาเสนาบดีตั้งใจจะจับคู่การแต่งงานแย่ๆ ให้กับมู่เฉิน แต่ใครจะรู้ว่าเขาจะได้จัดงานแต่งงานดีๆ เช่นนี้

ว่าที่คู่สมรสของเขาคือซือถูเซวียน ซึ่งเป็นถึงองค์หญิงแห่งเมืองเซียว และเป็นลูกพี่ลูกน้องของฮ่องเต้แห่งเมืองเซียว หากนางแต่งงานกับตระกูลมู่ ภรรยาของอัครมหาเสนาบดีก็ต้องตริตรองให้ดีก่อนจะสร้างปัญหาใดๆ อีก ไม่ต้องพูดถึงความช่วยเหลือที่อีกฝ่ายจะได้รับจากภรรยาของแม่ทัพเลยด้วยซ้ำ

หนิงเมิ่งเหยามองท่าทีบึ้งตึงของนางอย่างเหยียดหยาม และรู้สึกพึงพอใจอยู่ลึกๆ

“เอาเถอะ ถ้าเช่นนั้น ก็เริ่มงานเลี้ยงได้”

เมื่อเสียงดนตรีเริ่มบรรเลงขึ้น ผู้คนต่างเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศในงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยเสียงขับร้องและคนเต้นรำ ยกเว้นตระกูลของอัครมหาเสนาบดีมู่

หลังจากกลับถึงจวน มู่อวี่ก็แสดงอารมณ์ฉุนเฉียวขึ้นมา

“ทำไมนังมู่เสวี่ยถึงได้รับแต่สิ่งดีๆ ” พี่สาวคนละแม่ของนางได้เป็นถึงองค์หญิง ซึ่งอยู่เหนือกว่าตนในทุกๆ ด้าน นางจึงไม่พอใจนัก

อัครมหาเสนาบดีมู่ตบหน้าลูกสาวผู้นี้ “เจ้ายังกล้าปากดีอยู่อีกหรือ ตอนนี้นางมิใช่แค่องค์หญิงที่ฮ่องเต้แต่งตั้งเท่านั้น แต่ยังเป็นภรรยาขององค์ชายฉีอีกด้วย เจ้าหยุดสร้างปัญหาเสียทีจะได้ไหม”

หลังจากที่ถูกตบหน้าถึงสองครั้งในวันเดียว มู่อวี่ก็โกรธและมองผู้เป็นพ่ออย่างแค้นเคือง “ท่านพ่อ หากท่านชอบพวกเขานัก ก็ควรเรียกพวกนั้นกลับมาสิ ตอนนี้พวกเขาล้วนเป็นคนชนชั้นสูงกันแล้วนี่” มู่อวี่กัดฟันพูด

“พอสักที คนเป็นลูกควรพูดจาเช่นนี้หรือ ดูสิว่าเจ้าอบรมนางอย่างไร” อัครมหาเสนาบดีโมโห

หากเขามีความสัมพันธ์อันดีกับมู่เฉินและมู่เสวี่ย ตอนนี้เขาคงจะยินดีกับการแต่งงานของพวกเขาอย่างแน่นอน แต่ประเด็นคือความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นไม่ดีนัก

“ข้าผิดเอง ต่อไปข้าจะสั่งสอนอวี่เอ๋อร์ให้ดีขึ้น”

“ออกไปเสีย”

อัครมหาเสนาบดีมู่รู้สึกกระวนกระวายใจ จึงโบกมือไล่ทั้งสองคนออกไป ก่อนจะอยู่ในห้องหนังสือของตนเองทั้งคืน เพื่อครุ่นคิดหาวิธีที่จะกลับไปสานสัมพันธ์กับพวกเขา

วันรุ่งขึ้น เซียวฉีเทียนมุ่งหน้าไปยังจวนของอัครมหาเสนาบดีเพื่อมอบของขวัญกองโตเป็นสินสอดสำหรับงานหมั้น แต่เขาก็มิได้มอบสิ่งของต่างๆ ให้กับอัครมหาเสนาบดีหรือคนอื่นๆ แต่กลับมอบให้มู่เสวี่ยเป็นการส่วนตัว

“สิ่งของเหล่านี้เป็นของเจ้า อย่าให้ผู้ที่มีตาแต่หามีแววไม่เหล่านี้ยึดครองมันเพราะความโลภ” ครั้งนี้ เขานำสิ่งของดีๆ มากมายติดตัวมาด้วย และหนิงเมิ่งเหยาก็ช่วยเขาเลือกของบางชิ้น ซึ่งทุกอย่างนั้นล้วนเป็นสิ่งที่มู่เสวี่ยชื่นชอบทั้งสิ้น

“ตกลง ข้าเข้าใจแล้ว”

ในตอนแรกนั้น อัครมหาเสนาบดีและคนอื่นๆ ต่างดีใจที่ได้เห็นสินสอดจำนวนมาก แต่ผ่านไปเพียงพริบตา กลายเป็นว่าพวกเขาไม่อาจครอบครองสิ่งเหล่านั้นได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว ยิ่งไปกว่านั้น เซียวฉีเทียนยังพูดไว้อย่างชัดเจนอีกว่าสิ่งของต่างๆ เหล่านี้ให้มู่เสวี่ยแต่เพียงผู้เดียว

มู่เสวี่ยมองมู่อวี่และคนอื่นๆ ที่กำลังรู้สึกอิจฉาริษยา

อิจฉาหรือ นั่นคือสิ่งที่นางต้องการให้อีกฝ่ายรู้สึก มู่เสวี่ยรู้สึกขอบคุณเซียวฉีเทียนจากใจ

หนิงเมิ่งเหยายืนอยู่ข้างๆ ก่อนจะขมวดคิ้วอย่างเคร่งขรึม “เจ้าจะต้องเก็บรักษาสิ่งของเหล่านี้ให้ดี ในอนาคต มันจะเป็นสมบัติส่วนตัวของเจ้า เจ้าต้องระลึกไว้เสมอว่าหยิบใช้มันที่ไหน หากมีคนอื่นแย่งชิงมันไปจากเจ้า ก็บอกพวกเราได้เลย”

เมื่อเห็นใบหน้าที่ซีดขาวของภรรยาอัครมหาเสนาบดี หนิงเมิ่งเหยาก็ยิ้มเยาะนั่นคือสีหน้าที่พวกนางต้องการเห็น

มู่เฉินมองผู้เป็นพ่อ “ก่อนที่ท่านแม่จะจากไป นางบอกว่านางทิ้งสมบัติเอาไว้ให้น้องสาวของข้า เมื่อถึงเวลาที่นางจะแต่งงาน”

[1] หลักปฏิบัติสำหรับสตรี มีชื่อเรียกอื่นๆ ว่า ข้อห้ามของสตรี, ข้อควรปฏิบัติของสตรี หรือข้อเตือนสติสำหรับสตรี เป็นผลงานการเขียนของหญิงผู้ทรงความรู้นามว่าปันเจา แห่งราชวงศ์ฮั่น เป็นหนึ่งในสี่ของหนังสือสำหรับสตรี คำสอนนั้นได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวางในช่วงปลายราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง