แต่ตอนนี้ เป็นเพราะการโจมตีอย่างต่อเนื่อง ทำให้เธอเสียสติไปแล้ว ถึงช่วงเวลาสำคัญก็จะร้อง เหมือนกับอาการทางประสาทกำเริบ
ไม่ได้แตกต่างอะไรกับคนโง่แบบนั้นเลย
สุขาวดีมองเธอแวบหนึ่ง และทันใดนั้นเองเธอก็เอ่ยขึ้นมานิ่งๆ : “ฉันพาแกไปพักผ่อนที่ต่างประเทศดีกว่า”
“อะไรนะ? ไปต่างประเทศ?” แป้งร่ำเบิกตาคู่นั้นขึ้นมาทันที : “ไปต่างประเทศอะไรล่ะคะอา? ช่วงเวลาสำคัญแบบนี้เนี่ยนะ?”
แต่สุขาวดีกลับเหลือบมองเธอด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก หลังจากนั้นก็ไปดูตั๋วเครื่องบินแล้ว
“แกจะต้องไปสงบสติอารมณ์ แล้วก็พวกเราจะต้องหลบเลี่ยงจากช่วงเวลาที่น่าสิ่วน่าขวานนี่ไปก่อน ถ้าหากยังอยู่ที่นี่ในเวลานี้ แล้วถูกแสนรักจับได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องลักพาตัวไป ถ้าอย่างนั้นความฝันอะไรแกก็ไม่ได้ทำมันหรอก”
“……….”
ยืนอยู่ทางด้านหลังของอาแบบนี้ แป้งร่ำกำหมัดแน่นและกัดฟันด้วยความแค้นอยู่เป็นเวลานาน และสุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ส่งเสียงออกมาอีก
สุขาวดีเห็นแล้ว ก็จองตั๋วเครื่องบินสองใบในขณะเดียวกัน แล้วเอ่ยขึ้นหลีกเลี่ยงปัญหาสำคัญอีกครั้งหนึ่ง : “แกก็สามารถไปเรียนด้วยก็ได้ ตอนนั้นเขาชอบแกที่สุดก็ไม่ใช่ว่าเป็นจดหมายกองนั้นที่แกเขียนหรอกเหรอ? ถึงเวลาที่แกควรจะเติมเต็มให้กับตัวเองได้แล้ว ในโลกนี้ผู้หญิงที่มีความรู้มีการศึกษาคนหนึ่ง จะได้รับการต้อนรับมากกว่านะ”
สุขาวดีเตือนหลานสาวคนนี้อีกครั้งหนึ่ง
แป้งร่ำได้ยินแล้ว ในที่สุดก็ไม่ได้พูดออกมาแล้ว……
——
หลังจากนั้นสองวัน ในที่สุดเส้นหมี่ก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว
อาการบาดเจ็บของเธอความจริงแล้วไม่ได้สาหัสมาก แต่เลือดออกเป็นจำนวนมาก อีกทั้งพื้นฐานร่างกายก็ไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นหลังจากการผ่าตัด จึงนอนอยู่ในห้องไอซียูเป็นเวลาสองวันเต็มๆถึงได้ฟื้นขึ้นมา
หลังจากที่ฟื้นขึ้นมาแล้ว ก็มองไปยังเพดานสีขาวที่อยู่ทางด้านบน สมองที่สลบไปอย่างไม่รู้สึกตัวมาเป็นเวลานาน ยังไม่สามารถนึกขึ้นมาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
จนกระทั่งหลังจากนั้นไม่นาน จู่ๆข้างหูเธอก็มีเสียงที่ดูเซอร์ไพรส์ดังขึ้นมา : “ฟื้นแล้วเหรอ? รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?”
เส้นหมี่ : “…….”
ซักพักหนึ่ง ถึงได้หันไปมองยังบุคคลนี้
“คุณลุง?”
“ยังจำได้ ถ้าอย่างนั้นคงจะไม่เป็นอะไรแล้ว ลุงไปรินน้ำมาให้นะ”
ธนาตย์เห็นว่าเธอจำตัวเองได้ จึงรู้สึกโล่งใจ จากนั้นเขาก็รีบเข็นเก้าอี้รถเข็นไปรินน้ำให้กับเส้นหมี่
เส้นหมี่เห็นเช่นนี้แล้วจึงพยายามที่จะลุกขึ้นมาแต่เพิ่งจะขยับตัวนั้นก็สะเทือนไปถึงแผลของเธอ
“อย่าขยับไปทั่วสิ ตอนนี้แกเพิ่งจะฟื้น นอนลงดีๆก่อน”
“……….”
สุดท้ายแล้วเส้นหมี่จึงทำได้เพียงต้องนอนลงอย่างว่าง่าย รอจนคุณลุงรินน้ำมาให้แล้ว เธอก็พิงอยู่ที่หัวเตียงแล้วดื่มน้ำ แล้วเริ่มเอ่ยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า
“คุณลุง คิวคิวล่ะคะ? เขาไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ไม่เป็นไร ตอนนี้เขาถูกแสนรักพากลับไปที่เรืองรองแล้ว แกวางใจเถอะ” ธนาตย์พูดปลอบใจเธอขึ้นมา
แต่จะรู้เสียที่ไหนกันว่าเขาไม่พูดแบบนี้ออกมาจะยังดีเสียกว่า พอพูดออกมาแล้วเส้นหมี่ที่เพิ่งฟื้นขึ้นมานั้น ก็เหมือนกับโดนเอาน้ำเย็นราดลงมาทันที รู้สึกเย็นไปตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ถ้าอย่างนั้นเขา…..รู้แล้วคิวคิวเป็นลูกชายเขาใช่ไหมคะ?”
“นี่มันไม่ใช่คำพูดเหลวไหลหรอกเหรอ? เด็กสองคนหน้าตาเหมือนกัน นอกจากว่าเขาจะโง่เท่านั้นแหล่ะถึงจะไม่รู้ว่านั่นไม่ใช่ลูกของเขา” ธนาตย์เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์
ใบหน้าของเส้นหมี่นั้นยิ่งซีดเผือดมากขึ้นไปอีก
ทำอย่างไรดี?
เขารู้การมีตัวตนอยู่ของคิวคิวแล้ว จะต้องแย่งลูกไปแน่ๆ ลูกชายของแสนรัก เขาจะให้คิวคิวไม่ต้องกลับตระกูลหิรัญชาไปได้อย่างไร?
ขอบตาของเส้นหมี่เริ่มแดง
ธนาตย์เห็นแล้วจึงทำได้เพียงถอนหายใจออกมา : “ตอนนี้แกอย่าเพิ่งไปคิดมากขนาดนั้นเลย ทุกอย่างรอให้แกหายดีก่อนแล้วค่อยว่ากัน ลูกแกเป็นคนเลี้ยงดูเขามาจนโต ต่อให้เขาจะแย่งไปจริงๆ ถึงตอนนั้นพวกเราก็ฟ้งร้องเอาก็ได้”
คุณลุงคนนี้ ทั้งที่รู้ว่าสู้กับตระกูลหิรัญชาก็จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่พ่ายแพ้เหมือนกับการเอาไข่ไปกระทบหินอย่างแน่นอน คิดไม่ถึงว่าจะยังพูดกับเธอ ว่าอย่างมากก็ไปฟ้องร้องเขา
เส้นหมี่ได้ยินแล้ว ขณะที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยนั้นน้ำตาก็ยิ่งไหลออกมาหนักขึ้นทันที
เนื่องจากว่าร่างกายของธนาตย์เองก็ไม่ใช่ว่าดีนัก หลังจากที่อยู่ซักพักหนึ่ง เขาก็กลับไป ภายในห้องพักผู้ป่วยจึงเหลือเพียงแค่เส้นหมี่เพียงเท่านั้น และไม่นานเธอก็หลับไปอีกครั้ง
ตื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งก็เป็นตอนช่วงบ่ายแก่ๆที่พระอาทิตย์จะตกดินแล้ว เธอไม่ได้ดูเวลา แต่ในหูนั้นกลับดูเหมือนว่าจะได้ยินเสียงของลูกอย่างเลือนราง
“พี่คะ หม่ามี๊ตื่นแล้วจริงๆเหรอ?”
“ตื่นแล้วสิ แด๊ดดี๊ได้รับโทรศัพท์แล้ว ถึงได้พาพวกเรามา เธอไม่ต้องกังวลนะ”
นั่นคือเสียงเด็กที่คุ้นเคยมากเป็นอย่างดี เขาเหมือนกับเป็นผู้ใหญ่ตัวน้อยๆที่กำลังปลอบใจเสียงเด็กๆของคนนั้น ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความรักและเอ็นดู
นั่นคือคิวคิวของเธอใช่ไหม?
และยังมีหนูรินจังด้วย!
เส้นหมี่ตื่นขึ้นมาทันที เธอลืมตาขึ้นมา ตัวเธอนั้นก็ประคองตัวเองให้ลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียงด้วยเช่นกัน
และเป็นอย่างที่คิดเอาไว้ เพิ่งจะลุกขึ้นมานั้น ร่างเล็กๆน่ารักที่อยู่ทางด้านนอกก็พุ่งเข้ามาด้วยความดีใจ : “หม่ามี๊ ในที่สุดหม่ามี๊ก็ตื่นแล้ว! รินจังคิดถึงหม่ามี๊มากเลยค่ะ”
เด็กน้อยเหมือนกับนกนางแอ่นตัวน้อยจริงๆ หลังจากที่เห็นเส้นหมี่ลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียงผู้ป่วยแล้ว ก็รีบวิ่งเข้ามาทันที
เส้นหมี่ยิ้มแล้วอ้าแขนทั้งสองข้างออก : “ใช่ไหม หม่ามี๊ก็คิดถึงหนูมากเหมือนกัน”
กอดลูกสาวตัวนุ่มน่ารักของตัวเองเอาไว้
จากนั้นไม่นาน ตรงประตูก็ปรากฏร่างของเด็กผู้ชายที่หน้าตาเหมือนกันสองคนขึ้น หลังจากที่เห็นหม่ามี๊แล้ว ก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน
แต่ชินจังยังคงระมัดระวังตัวอยู่ นิสัยของเขานั้นเป็นคนพูดน้อย ไม่ได้เป็นคนที่จะแสดงออกอารมณ์สู่ภายนอกนัก ถึงแม้จะเห็นหม่ามี๊แล้ว แต่ก็ทำได้เพียงเก็บซ่อนความดีใจที่อยู่ในใจเอาไว้ แล้วค่อยๆเดินเข้ามา