หลิวหลีทำการทดลองหลายครั้งอยู่ในห้องปรุงยา ก็พบว่ายิ่งแบ่งเพลิงอัคคีกับแยกประสาทเซียนมากเท่าไร ก็จะยิ่งควบคุมได้ดีมากขึ้นเท่านั้น ตอนนี้นางทำได้มากสุด 16 ดวง ทำให้ปรุงยาเร็วขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
ทั้งวังนภาเพลิงได้ยินคำพูดของเซียนนักปรุงยาอีมู่ ต่างพากันสงสัยว่าทำไมเจ้าตำหนักหลิวหลีถึงได้ทำให้เซียนนักปรุงยาอีมู่โมโห แม้แต่เจ้าตำหนักมู่หยางยังปฏิบัติต่ออีมู่ด้วยความเคารพ เจ้าตำหนักหลิวหลีเป็นเพียงเจ้าตำหนักที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ทำไมถึงได้มั่นใจขนาดนี้
“ผู้อาวุโสจู ได้ยินเรื่องของอีมู่แล้วใช่หรือไม่”
“ทูลฝ่าบาท ได้ยินเรื่องนี้แล้วพะย่ะค่ะ เป็นความผิดของข้าเอง”ผู้อาวุโสจูเสนอตัวยอมรับผิด
“เฮ้อ เรื่องนี้โทษเจ้าไม่ได้ อีมู่คงจะโดนเอาใจเกินไป จนเกือบลืมไปแล้วว่าตัวเองเป็นใคร” จักรพรรดิก็ไม่พอใจในตัวอีมู่อยู่เช่นกัน
“จริงสิ เจ้าตำหนักหลิวหลีไม่ธรรมดา นางดูอีมู่ปรุงยารอบนึง แต่ยังไม่ทันดูจบ ก็เข้าใจกลไกของมันแล้ว” ผู้อาวุโสจูรู้สึกชื่นชมเป็นอย่างมาก ยังไม่ทันดูจนจบก็เข้าใจ นับว่าเป็นอัจฉริยะจริงๆ
“นางดูแค่รอบเดียวก็เข้าใจกลไกของมัน เจ้าตำหนักหลิวหลียังพูดอีกว่า หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ฝีมือการปรุงยาของอีมู่ด้อยกว่าผู้เริ่มต้นอีก” ผู้อาวุโสจูทวนคำพูดของหลิวหลี
“ของประกอบ อีมู่มักจะใช้ของอย่างอื่นมาช่วยในการปรุงยา เตาปรุงยา เตาปรุงยาของเขาจะต้องไม่เหมือนคนทั่วไปแน่” จักรพรรดิทรงวิเคราะห์ ที่แท้ก็คือเตาปรุงยานี่เอง
“ฝ่าบาท ทรงตรัสถึงเตาปรุงยา จริงๆก็เป็นไปได้ เซียนนักปรุงยาอีมู่หวงแหนเตาปรุงยาของเขาเป็นอย่างมาก ไม่ยอมให้คนสัมผัสแม้แต่นิดเดียว ข้าเองก็คิดว่าเป็นนิสัยประหลาดของพวกนักปรุงยา แต่ไม่คิดเลยจะเป็นเหตุเพราะเขากลัวความลับของตนจะถูกเปิดโปง” จู่ๆผู้อาวุโสจูเข้าใจทันที ไม่เคยคิดมาก่อนว่าปัจจัยสำคัญจะอยู่ที่เตาปรุงยา
“ใช่แล้ว อย่างเพิ่งแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ข้าอยากจะดูว่าหลิวหลีจะจัดการอย่างไร” จักรพรรดิทรงอยากเห็นเช่นกันว่าหลิวหลีจะจัดการอย่างไร แต่อย่างไรก็ทรงไม่คาดคิดว่าหลิวหลีจะแตกต่างออกไป วิธีที่นางจัดการกับอีมู่นั้นแทบจะต้องกลับไปบำเพ็ญเพียรใหม่อีกครั้ง
ณ ตำหนักเวิ่นเทียน อวิ๋นเฟย จื่อจู๋ ชิงหลิ่ว ทั้งสามมองยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองขวดด้วยความเงียบงันอยู่นาน
“เจ้าตำหนักหลิวหลีเป็นเทพเจ้าจากไหน นางดูงานแสดกงการปรุงยาแค่ครึ่งหนึ่ง ก็สามารถปรุงยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสมบูรณ์แบบกว่าคนอื่นได้” ชิงหลิ่วกล่าว
“ไม่แน่ใจนัก เจ้าตำหนักหลิวหลีเป็นบุคคลที่บรรลุเซียนมาจากโลกเบื้องล่าง คาดว่าตอนอยู่โลกเบื้องล่างก็คงจะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงไม่น้อย” จื่อจู๋กล่าว
“ท่านทั้งสอง ข้าก็ได้ถ่ายทอดคำพูดของเจ้าตำหนักไปหมดแล้ว ข้าตัดสินใจจะติดตามนาง ข้ารู้สึกว่าการรับใช้นางจะต้องได้รับอะไรที่คาดไม่ถึงแน่” อวิ๋นเฟยบอกการตัดสินใจของตนเองกับอีกสองคนที่เหลือ เพราะเขาพบสเน่ห์ของเจ้าตำหนักที่ทำให้คนศรัทธาเชื่อมั่น อีกอย่างไม่ว่านางจะพูดอะไร เขาก็ทำตามโดยไม่รู้ตัว บวกกับยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ที่เห็นได้ชัดว่าเพิ่งปรุงออกมาใหม่ เจ้าตำหนักท่านนี้จะต้องเป็นนักปรุงยาแน่นอน
“ข้าย่อมติดตามเจ้าตำหนักหลิวหลีอแน่นอน” ชิงหลิ่วกล่าว
“ข้าก็เช่นกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าทหารสวรรค์ทั้ง 100 คนจะคิดเช่นนี้หรือไม่” จื่อจู๋กล่าว
“ไปถามหน่อยแล้วกัน หากมีคนอยากไปก็ปล่อยเขาไป แต่ว่าหากไปแล้วจะไม่มีโอกาสได้กลับมาอีก” อวิ๋นเฟยกล่าว
ผลคือทั้ง 100 คนไม่มีใครคิดจะถอนตัว ถึงแม้ตอนแรกจะลังเล แต่ก็ยังเลือกจะอยู่ต่อ ในภายหน้าทหารสวรรค์ทั้ง 100 คนนี้จะขอบคุณตัวเองที่เลือกอยู่ที่นี่ พวกเขาได้รับสิ่งต่างๆมากกว่า 8 ตำหนักที่เหลืออย่างเห็นได้ชัด
เวลา 50 ปีผ่านไป หลิวหลีเรียกอวิ๋นเฟยเข้าพบ มอบยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ที่นางปรุงมาตลอด 50 ปีนี้ให้กับอวิ๋นเฟย พร้อมบอกว่าจะเข้าฌาน แต่ไม่น่านานนัก
อวิ๋นเฟยรับยาศักดิ์สิทธิ์มา และรายงานต่อหลิวหลีว่าไม่มีทหารสวรรค์คนใดคิดจะไปจากนางหลิวหลีไม่พูดจาเพียงแต่บอกว่าหลังจากออกฌาน จะมอบของขวัญให้พวกเขาคนละชิ้น
หลิวหลีกลับไปที่ห้องปรุงยา นำเพลิงเซียนของหลายปีมานี้ที่ได้ออกมา คิดๆดูแล้ว ไปที่ทะเลเพลิงน่าจะปลอดภัยกว่า
หลิวหลีกลับไปที่ทะเลเพลิงอีกครั้งและประกาศว่าจะเข้าฌาน เมื่ออีมู่ได้ยินเข้าก็หงุดหงิด สิ่งที่ทำให้เขาไม่เข้าใจเลยก็คือ เขาไม่ส่งยาศักดิ์สิทธิ์ให้กับตำหนักเวิ่นเทียน แต่คนที่ตำหนักเวิ่นเทียนกลับไม่มีใครเดือดร้อนเลยสักคน
ณ ห้องโถง ตำหนักเวิ่นเทียน
“วันนี้ข้ามีเรื่องจะประกาศจึงเรียกทุกคนมา ทุกท่านคงรู้แล้วว่าเซียนนักปรุงยาอีมู่จะไม่ส่งยาศักดิ์สิทธิ์ให้กับตำหนักเวิ่นเทียนอีก สาเหตุเพราะนางไม่เคารพเขา” เมื่ออวิ๋นเฟยพูดถึงตรงนี้ก็สังเกตสีหน้าของทุกคนด้านล่าง บ้างมีสีหน้าไม่พอใจ แต่ก็สะกดกลั้นไว้
“แต่ก่อนที่นางจะเข้าฌานได้มอบยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ให้ข้าไว้จำนวนหนึ่ง เพียงพอสำหรับการบำเพ็ญเพียรเป็นยาที่นางทำขึ้นมาด้วยตัวเอง” อวิ๋นเฟยเน้นว่า ‘ทำด้วยตัวเอง’
“ใต้เท้าอวิ๋น ท่านบอกว่านายท่านเป็นคนทำด้วยตัวเอง นางเป็นเซียนนักปรุงยาหรือ” ทหารสวรรค์บางคนแทบไม่เชื่อหูของตัวเอง จึงถามซ้ำ ทุกคนต่างรู้ดีว่าติดตามเจ้าตำหนักที่เป็นเซียนนักปรุงยามีข้อดีอย่างไร เพียงแต่คิดไม่ตกว่าเจ้าตำหนักหลิวหลีที่เพิ่งจะบรรลุเป็นเซียนได้ 300 ปีท่านนี้จะเป็นเซียนนักปรุงยาได้อย่างไร
“นี่คือยาศักดิ์สิทธิ์ที่นายท่านมอบให้ข้าก่อนที่จะเข้าฌาน ในระหว่างนั้นนางไม่ได้ก้าวออกจากตำหนักเวิ่นเทียนเลยแม้แต่ก้าวเดียว” ถึงอวิ๋นเฟยจะไม่ตอบตรงๆ แต่ก็บอกกับทุกคนเป็นนัยๆว่าเจ้าตำหนักของพวกเขาเป็นเซียนนักปรุงยา了。
“ทุกท่านลองดูสิว่าสรรพคุณยานี้เป็นอย่างไร?”
มีคนเปิดขวดยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็ตกใจไม่น้อย
“ใต้เท้าอวิ๋น ประสิทธิภาพของยานี้ดีกว่าของเมื่อก่อนที่เราใช้มาก ทั้งยังอ่อนโยนกว่า พลังเซียนของพืชเซียนก็ถูกกักเก็บไว้ค่อนข้างสมบูรณ์ การควบคุมกำลังไฟก็ไม่ธรรมดา เจ้าตำหนักหลิวหลีเป็นคนปรุงเองหรือ” คนผู้นี้ที่เอ่ยคำชมออกมา เป็นคนที่พอจะมีความรู้เรื่องการปรุงยาอยู่บ้าง หากนางเป็นคนปรุงยานี้จริงๆ เช่นนั้นแปลว่าพวกเขาได้ติดตามเจ้านายที่มีความสามารถไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
“ใช่แล้ว เจ้าตำหนักหลิวหลีเป็นคนปรุงเอง ทุกท่าน ยังกังวลปัญหาเรื่องยาเซียนศักดิ์สิทธิ์อยู่อีกหรือไม่” อวิ๋นเฟยตะโกน
“ไม่แล้วล่ะ ได้ติดตามเจ้าตำหนักที่ฝีมือไม่ธรรมดาเช่นนี้ ได้ยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ที่ดีกว่าคนอื่น พวกข้าไม่มีอะไรที่ไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย” ทุกคนต่างพูดเหมือนกัน
“เรื่องนี้จะต้องเก็บเป็นความลับ หากนายท่านไม่ได้พูด พวกเจ้าก็ห้ามแพร่งพรายเช่นกัน” อวิ๋นเฟยเตือน
“ใต้เท้าอวิ๋น พวกข้าเข้าใจ” ทุกคนต่างพากันพยักหน้า
“แยกย้ายได้ ใช้ยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ที่มีก่อนนี้ให้หมดก่อน แล้วค่อยใช้ยาที่นายท่านปรุงขึ้นมา ไม่เช่นนั้นข้าเกรงว่าหากทุกท่านคุ้นเคยกับยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ที่นางปรุงขึ้นอาจจะไม่ถูกใจยาที่มีอยู่เดิม จนไม่อยากจะใช้มัน” อวิ๋นเฟยกล่าว
“ใต้เท้าอวิ๋น ท่านกำลังทำร้ายข้า เมื่อครู่ข้าลองดมยาศักดิ์สิทธิ์ที่นายท่านปรุงขึ้น ก็รู้สึกไม่อยากจะใช้ของเดิมแล้ว ทำอย่างไรดี” คนที่ลองดมยาเมื่อสักครู่กระเซ้า
“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้ ยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ของก่อนนี้ยังเหลืออยู่ไม่น้อย ต้องใช้ให้หมดก่อน หากโยนทิ้งไปเลยจะเป็นการฉีกหน้าเซียนนักปรุงยาอีมู่มากเกินไป” อวิ๋นเฟยแบมือทั้งสองข้างออก ถึงแม้เขาอยากจะทำ แต่ก็ต้องเคารพผลงานจากหยาดเหงื่อแรงงานของเขา
“พวกข้าอยากจะฉีกหน้าเขาเหลือเกิน คนผู้นี้ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ดูเหมือนว่านอกจากท่านจักรพรรดิแล้วเขาก็ไม่เคยเห็นหัวใคร กระทั่งผู้อาวุโสกับเจ้าตำหนักยังจำเป็นต้องนบนอบกับเขา ครั้งนี้ถึงกับกล้าชักสีหน้าใส่นายท่าน พวกข้าจะรอดูวันที่อีมู่ถูกฉีกหน้าบ้าง” มีคนเอ่ยด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว
“จริงด้วย รู้สึกว่าหากใช้ยาศักดิ์สิทธิ์ที่นายท่านปรุงไปนานๆ จะทำให้พลังบำเพ็ญเพียรของพวกข้าเพิ่มเร็วขึ้น”
ซึ่งแน่นอนว่าหลิวหลีไม่รู้เรื่องพวกนี้ นางกำลังดูดซึมเพลิงเซียนอยู่ เส้นชีพจรเพลิงอัคคีเส้นที่ 2 ที่มีปฏิกิริยาคือเพลิงบุปผาเหมันต์ ที่ตอนนี้ถึงจะดูดซึมเพลิงเซียนไปหมดแล้วแต่ก็ยังขาดอยู่อีกนิดหน่อย นางถอนหายใจ เพลิงเซียนไม่เพียงพอจริงๆ จึงส่งเสียงไปบอกอวิ๋นเฟย นางจะยืดเวลาเข้าฌานออกไป ส่วนเรื่องยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ สามารถใช้ป้ายบัญชาการเข้าไปหยิบเอายาในห้องปรุงยาของนางได้เลย ตอนที่หลิวหลีเจอหนทางที่ถูกต้องในการปรุงยา ก็พบว่าทั้งความเร็วและคุณภาพของการปรุงยาก็เพิ่มขึ้น และพบว่าสามารถใช้วิธีนี้มาต่อกรกับศัตรูได้เป็นอย่างดี เหมือนมีตัวเองเพิ่มขึ้นอีกคนเพื่อรับมือกับศัตรู สามารถใช้ในตอนต้องรับมือกับศัตรูเป็นกลุ่ม ตอนนี้ประสาทเซียนของนางสามารถแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิงได้เป็นร้อย และเมื่อรวมกันก็มีพลังที่แข็งแกร่งเหลือล้น
เมื่อหลิวหลีส่งเสียงแล้ว ก็ดูดซึมพลังเพลิงเพื่อมาทดแทนเพลิงเซียนที่ไม่เพียงพอ หากว่ามีสถานที่ที่มีเพลิงเซียนจำนวนมากไว้ให้นางดูดซึมก็คงจะดี หลิวหลีบ่นอุบอิบ แล้วจึงเริ่มบำเพ็ญฝึกฝนต่อ
อวิ๋นเฟยได้รับข้อความจากหลิวหลี ก็ประหลาดใจน้อยๆ ยามที่เจ้าตำหนักหลิวหลีบำเพ็ญเพียรช่างเอาจริงเอาจังเหลือเกิน ทำให้ผู้บำเพ็ญที่มีอายุมากอย่างพวกเขายังต้องอาย โดยเฉพาะเรื่องอายุที่ไม่ถึงพันปีของหลิวหลีถูกแพร่กระจายออกไปโดยคนนิรนาม ทำให้ทุกคนเข้าใจสาเหตุที่เจ้าตำหนักทุกคนถึงได้เข้าฌาณหลังจากการพบปะกันในครั้งนั้น ตอนนี้คนในตำหนักเวิ่นเทียนไปไหนก็มีแต่คนให้ความเคารพ จะทำอย่างไรได้ พวกเขาเป็นคนของเจ้าตำหนักที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ออกไปไหนก็เหมือนมีรัศมีเรืองรอง
อีมู่ก็ได้ยินเรื่องนี้เช่นเดียวกัน สีหน้าไม่สู้ดีนัก เขานึกว่าเป็นเพียงเพราะว่าโชคดีจึงได้ตำแหน่งเจ้าตำหนักมาครอง ใครจะไปนึกว่า นางจะเป็นความภาคภูมิใจของเหล่าบรรดาผู้ถูกเลือก มิน่า เด็กนี่ถึงกล้ามีปัญหากับเขาอนึ่งเขาได้ยินมาว่าคนในตำหนักเวิ่นเทียนไม่ไปรับยาศักดิ์สิทธิ์จากห้องปรุงยาอีก หลังจากที่เขาประกาศเช่นนั้นออกไป หรือว่าเจ้าตำหนักหลิวหลีก็เป็นนักปรุงยาเช่นกัน อีมู่ตกใจในข้อสันนิษฐานของตนเองเป็นไปได้อย่างไรกัน จะมีนักปรุงยาที่อายุน้อยขนาดนี้ได้อย่างไร ถ้าเช่นนั้นที่นางลุกออกไปกลางกันเพราะนางพบความลับของเขาหรือเปล่านะ เมื่อเขาคิดถึงตรงนี้เหงื่อก็ไหล่อาบร่าง เป็นไปได้อย่างไรกัน เป็นไปไม่ได้แน่นางอายุน้อยเกินไป คนเยอะแยะมากมายยังไม่มีใครรู้ นางเพิ่งมาใหม่จะจับได้อย่างไร อีมู่คิดอย่างเข้าข้างตัวเอง ต้องเป็นเพราะพวกเขาละอายใจ จึงไม่กล้ามาเผชิญหน้ากับเขา ใช่ ต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ
ไม่ต้องพูดถึงอีมู่ที่ตื่นตระหนก กระทั่งจักรพรรดิที่ได้ยินว่าหลิวหลีเข้าฌานอีกแล้ว ก็ยังทรงรู้สึกเช่นกันว่าที่เด็กคนนี้มีความสามารถมากขนาดนี้ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล ดูสิดู เป็นเด็กดีที่มีความมานะบากบั่นเหลือเกิน แต่เด็กๆหลายคนก็ถูกเด็กคนนั้นกดดันจนทำให้ต้องมุมานะ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อยเลย