บทที่ 242: ไม่ ฉันจะส่งต่อให้เธอจัดการ

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END

บทที่ 242: ไม่ ฉันจะส่งต่อให้เธอจัดการ

ขณะที่ฝูงชนกำลังตื่นตระหนกต่อหน้าอสรพิษเก้าเศียรขนาดมหึมาในทุ่งหญ้า ลิเลียน แอคเคอร์มันน์ และโรเอล แอสคาร์ดสบตากัน สายตาของพวกเขามีเจตนาอันเย็นชา

อย่าไว้ใจตระกูลแอคเคอร์มันน์

จู่ ๆ โรเอลก็นึกถึงข้อความที่เขาเห็นบนร่างของเทรนท์โบราณเคเดย์ในป่าเครอน คำเตือนที่บรรพบุรุษของเขาทิ้งเอาไว้ให้ ทำให้เด็กหนุ่มระมัดระวังตระกูลแอคเคอร์มันน์เป็นพิเศษ ยกเว้นพอล แอคเคอร์มันน์ ที่เขารู้จักจากภายในเกมเป็นอย่างดี

องค์ชายคนแรก ลูเซียส แอคเคอร์มันน์ และองค์ชายลำดับสอง ออเบรย์ แอคเคอร์มันน์ นั้นไร้ความสามารถในฐานะผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ และไม่น่าจะบรรลุสิ่งใดที่สำคัญได้ หมายความว่าสำหรับโรเอลแล้ว ลิเลียน แอคเคอร์มันน์ น่าจะเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน โรเอลก็สามารถสัมผัสได้ถึงความเกลียดชังอันเย็นชาที่ลอยมาจากนัยน์ตาสีม่วงของลิเลียน ซึ่งแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากเธอก็มากเกินพอที่จะยืนยันว่าเขาไม่ได้คิดไปเองคนเดียว

โรเอลไม่แปลกใจกับความเป็นปฏิปักษ์ของอีกฝ่ายมากเท่าไหร่นัก เนื่องจากลิเลียนเป็นนางเอกคนเดียวที่เขาไม่เคยได้พบมาก่อน ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขายังเป็นสถานะเริ่มต้นเหมือน ๆ กับภายในเกม อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้คิดที่จะทำให้เธอสนใจหรือประทับใจอะไร

เนื่องจากโรเอลได้อลิเซีย นอร่า และชาร์ล็อตมาอยู่ฝั่งตัวเองแล้ว เขาจึงไม่คิดว่าลิเลียนเพียงคนเดียวจะคุกคามเขาได้ นอกจากนี้เด็กหนุ่มยังคิดว่า มันไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะพยายามหาทางซื้อใจลิเลียน เพราะเขาไม่มีเงื่อนไขที่จำเป็นในการทำเช่นนั้น

ถึงแม้ว่าลิเลียน แอคเคอร์มันน์ จะดูเย็นชา แต่แท้จริงแล้วเธอมีความเป็นพวกนิยมน้องชายซ่อนอยู่ลึก ๆ ทว่าไม่มีใคร รวมถึงตัวเธอเองที่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะเด็กสาวนั้นไม่เคยมีน้องชายมาก่อน… จนถึงตอนปัจจุบันนี้มันก็น่าจะยังคงเป็นเช่นนั้น

ภายในเกมอาย ออฟ โครนิเคิล ความประทับใจครั้งแรกของลิเลียน ที่มีต่อพอลนั้นไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก แต่เมื่อเวลาผ่านไป รสนิยมชื่นชอบน้องชายของเธอก็จะค่อย ๆ ตื่นขึ้น ทำให้เด็กสาวเริ่มแสดงความห่วงใยเอาใจใส่พอลมากขึ้นไปเรื่อย ๆ จนปล่อยให้เขาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงกว่าต่าง ๆ ได้โดยไม่ขัดขวางอะไร

โรเอลเคยวิเคราะห์ถึงเรื่องนี้ โดยข้อสรุปที่ได้ก็คือ รสนิยมดังกล่าวอาจจะเป็นผลกระทบจากการขาดความอบอุ่นทางเครือญาติที่ลิเลียนต้องทนทุกข์ทรมานมาตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้ลึก ๆ ลงไปในใจ เด็กสาวมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า โหยหาสายสัมพันธ์ทางครอบครัว แม้ว่าพอลจะเป็นเพียงลูกนอกสมรส แต่เธอก็ถือว่าเขาเป็นน้องชายโดยที่ไม่ได้สนใจถึงเรื่องนั้น

สำหรับลิเลียนแล้วเรื่องอื่น ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีความสำคัญน้อยกว่า

เนื่องจากโรเอลไม่ใช่สมาชิกในครอบครัวของลิเลียน มันจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เด็กหนุ่มจะได้รับความเชื่อถือจากเธอ ตราบใดที่เขาไม่สามารถทำลายกำแพงกั้นรอบหัวใจของเธอลง มันก็ไม่มีอะไรที่เขาสามารถใช้เพื่อชนะใจเธอได้

เมื่อขาดตัวแปรดังกล่าว โรเอลจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องล้มเลิกความคิดในการสร้างความสัมพันธ์ฉันมิตรกับลิเลียน ซึ่งอีกฝ่ายเองก็มีความคิดแบบเดียวกันกับเขาเช่นกัน ด้วยจดหมายที่ลิเลียนได้รับจากบิดาของเธอ

จงอย่าได้เข้าใกล้ ตระกูลแอสคาร์ด

นี่ถือเป็นคำสั่งโดยตรงที่มาจากองค์จักรพรรดิ ในฐานะองค์หญิงแห่งจักรวรรดิออสทีน ลิเลียนจึงต้องปฏิบัติตามมันอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตามคำว่า ‘อย่าเข้าใกล้’ ที่ระบุไว้ในจดหมาย ไม่น่าจะหมายถึงการปฏิสัมพันธ์ทางร่างกายเพียงอย่างเดียว

ถ้ามีคนที่สามารถสร้างปัญหาให้ลิเลียนได้เพียงแค่เข้าใกล้เธอ องค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิออสทีนก็คงไม่ส่งจดหมายมาเตือนแบบนี้แน่ ความหมายในที่นี้จึงน่าจะหมายถึง ความใกล้ชิดทางอารมณ์ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เธอไม่ควรผูกมิตรกับใครก็ตามที่มาจากตระกูลแอสคาร์ด

แม้ว่าลิเลียนจะไม่เข้าใจเหตุผลเบื้องหลังของคำสั่งที่อธิบายไม่ได้นี้ แต่เธอก็ตั้งใจที่จะทำตามมัน และหลีกเลี่ยงการติดต่อกับสมาชิกของตระกูลแอสคาร์ด อย่างไรก็ตามเด็กสาวคิดไม่ถึงว่าโรเอลจะเลือกอยู่ฝั่งพอลแบบนี้

เขากำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่?

นี่เป็นความคิดแรกในใจของลิเลียน ทันทีที่เห็นเด็กหนุ่มทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน

คนหนึ่งเป็นบุตรนอกสมรสของจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิออสทีน ที่ถูกตามตัวกลับมาเมื่อครึ่งปีก่อน ขณะที่อีกคนหนึ่งเป็นถึงผู้สืบทอดอันทรงคุณค่าของตระกูลอันยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิเซนต์เมซิท พวกเขามาจากสองโลกที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นภูมิหลังหรือสภาพแวดล้อมที่เติบโตขึ้นมา ลิเลียนไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาทั้งสองคนจะคุยกันได้ นับประสาอะไรกับการกลายเป็นเพื่อนกันภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง

ความจริงที่ว่าคนจากจักรวรรดิเซนต์เมซิท กำลังเข้าใกล้ลูกนอกสมรสของจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิออสทีนนั้นเป็นอะไรที่น่ากังวลมาก ไม่ว่าโรเอลจะมุ่งเป้าไปที่พอล หรือตั้งใจจะเข้าหาลิเลียนผ่านทางพอล เห็นได้ชัดเลยว่าเขาไม่น่าจะมีเจตนาดีแน่

เมื่อคิดได้ถึงจุดนี้ แววตาของลิเลียนก็ยิ่งเย็นชามากขึ้นไปอีก หลังจากแลกเปลี่ยนสายตากันชั่วครู่ โรเอลก็หันกลับมาสนใจอสรพิษเก้าเศียรที่ตนเรียกออกมา พร้อมออกคำสั่ง

“คายพวกเขาออกมาได้แล้ว”

หัวของอสรพิษเก้าเศียรกระดิกเล็กน้อย ก่อนจะคายร่างมนุษย์สองคนที่ปกคลุมไปด้วยของเหลวหนืดออกมา ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจาก ครอนและไลท์

เสื้อผ้าของพวกเขาขาดรุ่งริ่ง นอนหมดสติอยู่บนสนามหญ้า ดูน่าขยะแขยงเล็กน้อยด้วยของเหลวเหนียวที่เคลือบร่างกายของพวกเขา แม้จะอยู่ในสภาพรุ่งริ่ง แต่ก็ไม่ได้มีอาการบาดเจ็บใด ๆ ปรากฏให้เห็นบนร่างกายของพวกเขา

หลังจากที่อสรพิษเก้าเศียรคายร่างทั้งสองออกมา มันก็ถอยกลับเข้าไปในไม้เท้าโบราณ ตอนนั้นเองที่สมาชิกหน่วยรักษาความปลอดภัยในสถาบันการศึกษาก็มาถึงที่เกิดเหตุ ล้อมรอบโรเอลอย่างระมัดระวังและส่งคนเข้าไปตรวจสอบสภาพของครอนและไลท์

“… พวกเขาแค่หมดสติไปเท่านั้น ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรผิดปกติ”

“อย่างนั้นหรือ? พาตัวพวกเขาออกไป”

ผู้บังคับบัญชาหน่วยถอนหายใจด้วยความโล่งอก หลังจากที่ยืนยันได้ว่านักเรียนสองคนปลอดภัยดี และความตึงเครียดในบรรยากาศก็บรรเทาลงเล็กน้อย

ขณะเดียวกัน หลังจากเรียกอสรพิษเก้าเศียรกลับไปแล้ว โรเอลก็หันไปมองที่หอคอยอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ ความเป็นปฏิปักษ์จากดวงตาสีม่วงของลิเลียนดูจะลดลงไปเล็กน้อย

โรเอลไม่ได้ปล่อยครอนและไลท์ เพราะความเมตตา แต่เป็นการแสดงให้ลิเลียนทราบว่าเขาไม่ได้มีเจตนาจะเป็นศัตรูกับเธอ เนื่องจากหน่วยรักษาความปลอดภัยในพื้นที่นี้ทั้งหมดเป็นของ กลุ่มกุหลาบม่วงของลิเลียน ซึ่งสังเกตได้จากเครื่องหมาย ‘ดอกกุหลาบสีม่วง’ ที่ปักอยู่บนบริเวณหน้าอกของเสื้อผ้าของพวกเขา

ความเป็นอิสระและอำนาจ มาพร้อมกับความรับผิดชอบ ทำให้ผู้ถือแหวนต้องรับผิดชอบหน้าที่หลักบางอย่างในสถาบันการศึกษาด้วย โดยคนที่ต้องแบกรับหน้าที่อันสำคัญอย่างการรักษาความสงบภายในสถาบันการศึกษาก็คือผู้ถือแหวนที่มีตำแหน่งสูงสุด ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากลิเลียน

หรือก็คือ สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าแห่งนี้คืออาณาเขตของลิเลียน ใครก็ตามที่กล้าสร้างเรื่องที่นี่ ล้วนถือเป็นการดูถูกเธอ หากโรเอลไม่อยากจะเผชิญหน้ากับเธอ เขาก็ต้องถอยร่นออกมา และคลี่คลายความขัดแย้ง

หลังจากที่ผู้บังคับบัญชาหน่วยพิจารณาแล้วว่าทั้งครอนและไลท์ปลอดภัยดี แรงกดดันของลิเลียนที่มีต่อโรเอลก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด และเบนสายตาจากเขาไปยังไม้เท้าโบราณ

นั่นคืออุปกรณ์เวทจากยุคโบราณงั้นเหรอ?

เมื่อนึกถึงแรงกดดันที่รู้สึกได้จากไม้เท้าโบราณก่อนหน้านี้ นัยน์ตาสีม่วงของลิเลียนก็หรี่ลงเล็กน้อย มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่อุปกรณ์เวทจะทำให้เธอรู้สึกตื่นตัวได้ถึงระดับนี้

ดูเหมือนว่าตระกูลแอสคาร์ดจะสะสมอุปกรณ์เวทอันน่าเกรงขามเอาไว้ไม่น้อยในช่วงหลายพันปีที่เชื้อสายของพวกเขาดำรงอยู่ในประวัติศาสตร์ แต่อะไรกันแน่ที่ทำให้จักรพรรดิลูคัส ถึงกับต้องออกคำสั่งแบบนั้น …

“ท่านลิเลียน เราจะจัดการกับเด็กใหม่คนนั้นอย่างไรดี?”

ผู้บังคับบัญชาหน่วยรักษาความปลอดภัยถามเด็กสาวด้วยความเคารพ

ลิเลียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัวเบา ๆ

แม้ว่าเหตุการณ์นี้จะทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ แต่ต้นเรื่องคือครอนและไลท์ ที่เป็นฝ่ายละเมิดกฎของสถาบันการศึกษาโดยการเข้าไปในสนามหญ้าเพื่อกดขี่เด็กใหม่ก่อน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังเป็นฝ่ายริเริ่มโจมตีก่อน ด้วยความมั่นใจในความแข็งแกร่งของตนในฐานะผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับ 4 รวมถึงความประมาทที่ไม่คิดว่าตนเองจะได้พบกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้

อีกทั้งระหว่างการต่อสู้ โรเอลไม่ได้ร่ายคาถาเวทใด ๆ ออกมาเลย การเรียกอสรพิษเก้าเศียรออกมาจึงถือเป็นเพียงกลไกการป้องกันของอุปกรณ์เวท ทำให้เขาถือเป็นเหยื่อของการกดขี่จากนักเรียนรุ่นพี่ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นจึงเป็นเพียงแค่การป้องกันตัว

นอกจากนี้โรเอลก็ยังไม่ได้ก่อเรื่องอะไรร้ายแรง เขาเต็มใจปล่อยอีกฝ่ายออกมาจากปากของอสรพิษยักษ์ และให้ความร่วมมือกับหน่วยรักษาความปลอดภัยเป็นอย่างดี มันจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องตรึงตัวเด็กหนุ่มเอาไว้

เห็นได้ชัดว่าโรเอลได้คิดคำนวณทั้งหมดนี้เอาไว้แล้ว ตั้งแต่ตอนที่เขาตัดสินใจว่าจะเคลื่อนไหว ในแง่ของความแข็งแกร่งและสติปัญญา เด็กหนุ่มคนนี้อาจจะล้ำหน้ากว่าใคร ๆ ในรุ่น แม้แต่ลิเลียนเองก็ยังประเมินเขาเอาไว้ค่อนข้างสูงเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้

“ช่างเป็นคนที่เจ้าเล่ห์จริง ๆ … แต่ตอนนี้มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรนักหรอก”

จักรพรรดิลูคัสออกคำสั่งให้ลิเลียนดูแลพอล แอคเคอร์มันน์ อีกทั้งนี่ยังถือเป็นความล้มเหลวของหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ครอนและไลท์สามารถเข้ามากดขี่รุ่นน้องในสนามหญ้าได้อีกด้วย

ลิเลียนเหลือบมองพอลที่กำลังงงงวย ก่อนจะตัดสินใจใช้เรื่องนี้เป็นโอกาส ส่งคำเตือนไปยังลูกน้องในสังกัดพี่ชายทั้งสองคนของเธอในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า

“โรเอล แอสคาร์ดสินะ… ดูเหมือนว่าพิธีเปิดภาคการศึกษาในปีนี้จะมีเรื่องน่าสนใจขึ้นมาซะแล้วสิ”

ลิเลียนหรี่ตาลงมองโรเอลเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะจากไป

หลังจากลิเลียนเดินออกไปแล้วสักพัก หัวใจของโรเอลก็กลับมาสงบลงได้ในที่สุด เขายกแขนขึ้นปาดเหงื่อเย็นที่ไหลอาบแก้มอย่างโล่งอก

เป็นผู้หญิงที่น่ากลัวจริง ๆ

แม้ว่าโรเอลจะสงบลมหายใจได้แล้ว แต่ใบหน้าของเขาก็ยังคงเคร่งเครียด จริงอย่างที่อีกฝ่ายคิดไว้ เขาได้วางแผนเอาไว้อยู่แล้วที่จะอยู่นิ่ง ๆ ให้ความร่วมมือกับหน่วยรักษาความปลอดภัย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ ก็คือ เขาไม่จำเป็นจะต้องตัดสินใจอย่างมีสติด้วยซ้ำ เพราะต่อให้โรเอลอยากจะเคลื่อนไหวเขาก็คงทำไม่ได้อยู่ดี

แรงกดดันที่ลิเลียน แอคเคอร์มันน์แผ่ออกมานั้นหนักหนาเกินไป จนแรงกดดันของครอนก่อนหน้านี้ไม่ต่างอะไรไปจากการละเล่นของเด็ก ๆ ระดับที่ทำให้โรเอลต้องคิดอย่างจริงจังว่าตนควรจะเรียกกรันด้าออกมาไหม

อัจฉริยะระดับลิเลียน มีพัฒนาการที่สูงกว่าคนอื่น ๆ ในรุ่นเดียวกันมาก ทำให้เมื่อไปถึงระดับแก่นแท้ 3 เด็กสาวก็แข็งแกร่งระดับที่ผู้ใช้วิชาหุ่นเชิดระดับแก่นแท้ 2 ที่โรเอลเจอในสถานะผู้เฝ้ามองก็คงไม่สามารถเทียบเคียงกับเธอได้

“โรเอล ไม่สิ ลูกพี่โรเอล! ต้องขอบคุณท่านจริง ๆ!”

เสียงที่ดังขึ้นจากด้านข้าง ทำให้โรเอลต้องหันกลับมาสนใจความเป็นจริง ด้านข้างของเขามีพอลที่กำลังโค้งคำนับด้วยใบหน้าอันเต็มไปด้วยความซาบซึ้งในบุญคุณ ซึ่งโรเอลก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มอันจริงใจตามปกติของเขาเวลาเห็นแสงสีเขียวส่องประกายออกมาจากบนหัวของอีกฝ่าย

(แต้มความสนใจ +2000 !)

(แต้มความสนใจ +50 !)

(แต้มความสนใจ +30 !)

(แต้มความสนใจ +100 !)

(แต้มความสนใจ +80 !)…

การเป็นคนดีนี่ดีกว่าการเป็นวายร้ายมากจริง ๆ

โรเอลยิ้มให้กับตัวเองในขณะมองดูแต้มความสนใจจำนวนมากที่กำลังไหลเข้ามาในระบบ