Ch.11 – กลับ

Translator : Muntra / Author

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.11 – กลับ

 

ลู่เหมิงเก็บแท่นจู่โจมอย่างยากลำบาก ถึงแม้ว่าหลี่เหยาเหยาจะรักษาเธอแล้วก็ตาม แต่พลังพิเศษของหลี่เหยาเหยาไม่ได้แกร่งอะไรมากมายนัก ดังนั้นอาการบาดเจ็บภายในยังคงสาหัสอยู่มาก

 

ฉินเฟิงเหลือบมองสาวๆ และเมื่อเห็นว่าพวกเธอสามารถเดินตามมาได้ เขาก็เลิกใส่ใจหรือคิดเอ่ยปากอะไรอีก

 

‘เพราะพวกเธอก็แค่นักเรียนที่แสนจะไร้เดียงสาจากสถาบันระดับสูง’

 

แม้เรื่องที่หลี่เหยาเหยาเป็นผู้ครอบครองพลังพิเศษธาตุน้ำจะเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง แต่น่าเสียดาย ที่เธอยังคงอ่อนแอเกินไป

 

เป็นดอกไม้ในเรือนกระจก แต่ดันทะเล่อทะล่าออกมารับความเสี่ยง ผลลัพธ์ก็คือเจอเข้ากับพายุ จนเกือบเฉาตายแบบนี้นี่แหละ

 

หลังจากช่วงเวลา 6 โมงเช้า รถศึกก็จะมาถึงสถานีในเส้นทางตามเวลาที่กำหนด

 

เมื่อเดินมาถึงสถานีรอรถ ทั้งสามก็พบว่าได้มีผู้คนมายืนรวมตัวกันรออยู่แล้วกว่า 20 คน บางคนก็เก็บเกี่ยววัสถุดิบได้มากมาย ขณะที่บางคนบาดเจ็บใกล้ตาย

 

อย่างไรก็ตาม ไอ้เรื่องแบบนี้มันเป็นปกติสำหรับทุ่งล่า

 

แม้จะพบเจอฉากตรงหน้า แต่สีหน้าของฉินเฟิงก็ยังคงสงบ ตรงกันข้าม กลับเป็นหลี่เหยาเหยาและลู่เหมิง ที่มีสีหน้าโกรธแค้น

 

“หวังไคว่ แก … ” ในดวงตาของหลี่เหยาเหยาฟุ้งไปด้วยความผิดหวัง

 

ในบรรดา 20 คนกว่าคนที่กล่าวไปตอนแรก มันมีเพื่อนๆของพวกเธอรวมอยู่ด้วยเช่นกัน

 

เดิมที เธอถูกเชื้อเชิญให้มาเที่ยวเล่นในทุ่งล่าโดยสามคนนี้ เหล่าชายหนุ่มกล่าวว่าพวกเขาจะปกป้องหลี่เหยาเหยาซึ่งเป็นผู้ใช้พลังพิเศษประเภทสนับสนุนเอง -สรุปง่ายๆว่าพวกเขาคิดจะโชว์ความเก่งกาจอย่างในละครที่พระเอกช่วยเหลือสาวสวย เผยความแข็งแกร่งให้เห็นนั่นเอง

 

ทว่าผลลัพธ์ กลับกลายเป็นทั้งสามทิ้งหลี่เหยาเหยา และหลบหนีไป

 

และที่เหนือความคาดหมายยิ่งกว่า คือพวกเขามายืนรอรถศึกที่นี่ โดยไม่มีทีท่าว่าจะสนใจชีวิตและความตายของหลี่เหยาเหยากับลู่เหมิงเลย

 

“หวังไคว่ ไอ้ลูกสำส่อน สารเลวกลัวตายหนีหางจุกตูดอย่างกับสุนัข!” ลู่เหมิงเมื่อเห็นชายหนุ่มทั้งสามก็สบถใส่

 

“อ้าว? ลู่เหมิง! เหยาเหยา! ฉันคิดอยู่แล้วว่าพวกเธอจะต้องไม่เป็นอะไร!”
เจียงเหวินชวนเมื่อเห็นร่างของทั้งสอง แวบแรกเขาตกใจ แต่ก็สามารถปรับสีหน้าของตนเองได้อย่างรวดเร็ว
“นายคิดอยู่แล้วว่าพวกเราจะไม่เป็นอะไรงั้นหรอ? งั้นถามหน่อยเถอะ ว่าถ้าเป็นนาย ที่ถูกไล่ล่าโดยสัตว์ร้ายG3 ระดับนายพล นายจะยังคิดว่าไม่เป็นไรอยู่ไหม!” ลู่เหมิงตะคอก

 

พอได้ยิน สมองของทั้งสามก็คล้ายย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อค่ำคืน ในแววตาพวกเขาเผยถึงร่องรอยของความหวาดกลัว แต่สักพักมันก็เริ่มแสดงออกถึงความโกรธ

 

“แต่ตอนนี้พวกเธอก็ยังไม่ตายไม่ใช่รึไง?” หยูไห่ตะโกนสวนกลับใส่ลู่เหมิง

 

ดวงตาของหลี่เหยาเหยาเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ เธอไม่คาดคิดเลย ว่าหยูไห่จะพูดแบบนั้นออกมา

 

“พวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรอ? นายทิ้งพวกเราไว้กลางทาง แต่ก็ยังมาพูดแบบนี้ นายมันเป็นคนแบบไหนกัน!?”

 

“คนแบบไหนบ้าบออะไร ในสถานการณ์แบบนั้น ใครบ้างจะไม่กลัวตาย ใครมันจะไปมัวสนใจนังตัวถ่วงธาตุน้ำอย่างเธอ!” หยูไห่ตะโกนอีกครั้ง

หลี่เหยาเหยาสั่นสะท้าน ในหัวใจคล้ายได้รับการกระทบกระเทือนครั้งใหญ่

 

ระหว่างที่ด่ากันไปกันมา แน่นอนว่าผู้คนที่อยู่รอบๆก็ให้ความสนใจกับพวกหนุ่มสาว ราวกับกำลังเฝ้าดูละครก็ไม่ปาน

 

ทุ่งล่าน่ะมันโหดร้ายป่าเถื่อนขนาดไหน พวกเด็กมือใหม่มันจะไปเข้าใจได้ยังไงกัน!

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงสัตว์ร้ายระดับนายพล สีหน้าของหลายคนก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เพราะท้ายที่สุดแล้ว สัตว์ร้ายระดับนายพลมิใช่สิ่งที่สมควรเข้าไปยั่วยุ!

 

“ตัวถ่วงธาตุน้ำอย่างงั้นหรอ?” ในที่สุดฉินเฟิงก็เอ่ยปาก เขาสาดสายตาเย็นชาไปบนร่างของหยูไห่

 

“ถ้านายบอกว่าผู้ใช้พลังธาตุน้ำเป็นตัวถ่วงแล้วล่ะก็ ฉันเกรงว่าตลอดทั้งชีวิต คงจะไม่มีเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์คนไหนยื่นมือมาช่วยนายแล้วล่ะ”

 

“ถ้าคิดว่าคำพูดของตัวเองมันถูกต้อง ก็ลองพิมพ์คำที่พ่นออกมาเมื่อกี้ไปใส่ในเครือข่ายนักสู้ดูสิ ฉันรับรองเลยว่านายจะต้องโด่งดังเป็นพลุแตกอย่างแน่นอน แล้วจากนั้น นายก็จะไม่มีใครคบ ไม่มีทีมไหนอยากจะให้เข้าร่วม! และถ้าฉันเดาไม่ผิด นายน่าจะเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณล่ะสิใช่ไหม? เป็นสายบู๊ แต่กลับละทิ้งผู้ใช้พลังธาตุน้ำสายบุ๋นเนี่ยนะ นายนี่มันช่างไร้เกียรติจริงๆ คิดว่าสิ่งที่ทำลงไปมันถูกต้องรึไง?”

 

“กระทั่งความกล้าที่จะยอมรับผิดยังไม่มี แล้วพวกแกจะออกมาแนวหน้าทำซากอะไร กลับไปเลี้ยงคนแก่ที่บ้านจะยังฟังดูมีประโยชน์กว่าซะอีก!”

 

“แน่นอน ว่าจริงๆแล้วนายจะเลือกหดหัวอยู่แต่ในกระดองก็ได้ แต่ในเมื่อผิดแล้ว นายก็ไม่ควรจะมาพาลใส่คนอื่น! โลกในทุกวันนี้มันโสมมมากพออยู่แล้ว ดังนั้นพวกนายไม่สมควรจะไปเพิ่มภาระให้มันอีก!”

ฉินเฟิงสาดคำเย็นชาเป็นชุด แม้จะไม่มีคำสบถหยาบคายใดๆ แต่ทุกๆประโยคมันกลับแฝงความนัยให้ทั้งสามรู้สึกละอายใจและกลายเป็นคนไร้ค่า

 

ส่วนผู้คนรอบข้าง เมื่อได้ยินคำประชดประชันของฉินเฟิง ก็พากันเข้าร่วมวง ก่นด่าออกมา

 

“ขยะยังไงก็เป็นแค่ขยะ ไม่ต้องยกเหตุผลอะไรมาอ้าง โทษตัวเองที่กระจอกเหอะ!”

 

“ดูท่าทีแล้ว ฉันว่าพวกแกเองเพิ่งจะออกมาในทุ่งล่าวันแรกล่ะสิใช่ไหม?”

 

“ฉันคิดว่าพวกมันยังเป็นนักเรียนอยู่ซะด้วยซ้ำ!”

 

“ถ้าแกไร้กำลัง ก็อย่าคิดเสนอหน้าออกมา แล้วก็อย่าสะเออะไปชวนคนอื่น ลากพวกเขามาซวยไปด้วย!”
“กฏเกณฑ์ของทุ่งล่าก็ยังไม่เข้าใจ แต่ดันทำเหมือนว่าตัวเองถูกต้อง เลิกทำตัวเหมือนคนตามืดบอดได้แล้ว!”

คนเหล่านี้ล้วนป่าเถื่อนหยาบคาย แต่ขณะเดียวกันพวกเขาก็มิใช่ตัวอ่อนแอ ดังนั้นย่อมเป็นธรรมดาที่จะไม่หวาดกลัวที่จะไล่บี้หวังไคว่และเพื่อนๆของเขา

 

หวังไคว่เดิมทีไม่กล้าหือกับพวกเขา แต่ความโกรธในอก บัดนี้แลคล้ายกับภูเขาไฟที่ปะทุ ระเบิดลาวาเสียดแทงขึ้นไปถึงฟากฟ้า แต่ก็ถูกหยูไห่ที่สั่นไปทั้งร่างหยุดเอาไว้ คล้ายต้องการจะอาสาออกไปเอง

ในฐานะที่เขาเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณ และในโรงเรียนเองก็ได้ฝึกฝนและออกกำลังทั้งกายและจิตใจมาพอสมควร ไหนจะความสูงตั้ง 185 เซนติเมตร มากกว่าฉินเฟิงตั้งครึ่งศีรษะ เจ้าตัวที่เดือดปุดๆจึงเริ่มก้าวออกมาข้างหน้า หมายที่จะละเลงเลือดกับฉินเฟิง

 

“วูซซซ!”

 

ศรจากหน้าไม้แหวกฝ่าอากาศ บังเกิดเสียงแหลมหวีดหวิว ก่อนที่มันจะทิ่มลงบนพื้นดินข้างๆกับเท้าของหยูไห่

 

“ครั้งต่อไปไม่ใช่แค่พื้น ถ้าอยากตาย ก็เข้ามา” ฉินเฟิงมองอีกฝ่ายด้วยความเย็นชา

 

เลือดที่เดือดพล่านทั้งกายของหยูไห่กลายเป็นเย็นเยียบ คล้ายกับถูกน้ำจากขั้วโลกเหนือราดรดใส่

 

ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ อาวุธในมือของพวกเขาได้ถูกงัดออกมาใช้งานจนหมดสิ้นแล้ว เรียกได้ว่าไม่มีกระสุนใดๆในมือเลย

 

หยูไห่ที่เป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณ เมื่อถูกข่มด้วยคมศรที่สามารถโจมตีได้จากระยะไกล ก็เริ่มตกลงสู่ความหวาดกลัว

 

เวลานี้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหน้าไม้ของฉินเฟิง หยูไห่ก็เกิดกลัวขึ้นมา

“ฝากไว้ก่อนเถอะ!”

 

หยูไห่ทำได้เพียงข่มน้ำเสียงเกลียดชังลง ดวงตาของหวังไคว่เองก็เริ่มสะท้อนถึงประกายของความตื่นตระหนก เจียงเหวินชวนก็เริ่มซ่อนความความคิดร้ายไว้ในสายตา

 

ทั้งสามคนก้าวถอยหลังกลับไป ท่ามกลางสายตาดูถูกเหยียดหยันของคนอื่นๆ ไม่นานนัก ทั้งสามก็แยกจากกลุ่ม 20 คน หายลับไป

 

ตรงกันข้ามกับฉินเฟิงและสาวๆ ที่ถูกคนอื่นๆเดินเข้ามาห้อมล้อมด้วยความสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลี่เหยาเหยา

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ต้องไม่ลืมนะว่าเธอคือผู้ใช้อบิลิตี้

 

“ถ้าเธอต้องการที่จะออกมาในทุ่งล่าอีก ก็ขอให้ติดต่อพวกเรานะ แต่ระวังให้ดี อย่าไปหลงเชื่อพวกคนหลอกลวงแบบในครั้งนี้อีก เพราะในทุ่งล่าน่ะมันอันตราย!”

 

“ไม่งั้น เธอก็เข้าร่วมกับทีมทหารรับจ้างของพวกเราสิ? พวกเราน่ะใส่ใจดูแลผู้ใช้อบิลิตี้ธาตุน้ำมากเลยนะ!”

 

“อ้าว ทำไมตัดหน้ากันล่ะ เธอมาเข้าร่วมกับพวกเราดีกว่า แน่นอนว่าผลตอบแทนก็มากกว่าเหมือนกัน!”

 

แน่นอน ว่าจริงๆแล้วคนส่วนใหญ่ก็แค่แซวๆกันเท่านั้น

 

เพราะการดำรงอยู่ของผู้ใช้อบิลิตี้คือสิ่งใด? พวกเขาคืออาชีพแรกที่ทำให้หมู่มวลมนุษย์สามารถรักษาลมหายใจเอาไว้ได้ ดังนั้น แม้ว่าในปัจจุบัน ผู้ใช้อบิลิตี้อย่างหลี่เหยาเหยาจะยังไม่เติบโต แต่ก็ย่อมไม่มีทางจะเข้าร่วมกับทีมทหารรับจ้างขนาดเล็กแน่นอน

 

เพราะไม่ว่าจะกองทัพรักษาเมือง หรือหน่วยลาดตระเวน หากเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ ทางการก็ย่อมยินดีเปิดประตูรอต้อนรับพวกเขา

 

ไม่ต้องกล่าวถึงกองกำลังขนาดใหญ่ หรือคนจากเหล่าทัพ ก็ล้วนปฏิบัติต่อพวกผู้ใช้อบิลิตี้อย่างดี ราวกับเป็นแขกคนสำคัญ

 

ยกตัวอย่างเช่นในสถานที่ชุมชนของเมืองเฉิงหยาง ในหนึ่งปี จะมีวัยรุ่นอายุ 16 ราวๆ 30000 คน

 

อย่างไรก็ตาม ในทุกๆปี จะถือกำเนิดผู้ใช้อบิลิตี้เพียงราวๆ 20 – 30 คนเท่านั้น จำนวนเรียกได้เลยว่าเป็นหนึ่งในหมื่น

ถึงแม้ว่าคนเหล่านี้ให้ความสนใจกับฉินเฟิงและลู่เหมิงอยู่บ้าง แต่เมื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ก็ค้นพบว่าในบรรรดาสองคน หนึ่งเป็นเพียงคนปกติ(ฉินเฟิงไม่ยอมบอกพลังของตัวเอง) ส่วนอีกคนหนึ่งก็เป็นมือปืน ดังนั้นจึงไม่ค่อยพูดคุยกันมากเท่าใด

 

อีกอย่าง เขาและเธอก็ยังเด็กเกินไป ทีมทหารรับจ้างของพวกเขาไม่ใช่องกรการกุศล ไม่ยอมเสียเวลารับหน้าใหม่มาเลี้ยงไว้ดูเล่นหรอก

 

-ถึงแม้ว่าหนึ่งในนั้นจะมีประสิทธิภาพ ดูไม่เหมือนกับมือใหม่ก็ตามที …

 

ฉินเฟิงไม่ใส่ใจใดๆต่อความคิดของคนเหล่านี้ แม้การแสดงออกทางสีหน้าของเขาจะยังคงเรียบเฉย แต่ก็ยังรู้จักกาลเทศะ หากมีใครบางคนถามคำถามล่วงล้ำเกินไป เขาก็ปฏิเสธที่จะตอบมันอย่างอ่อนโยน

 

และโชคดีจริงๆ ที่รถศึกวิ่งมารับพอดี!

 

รถสามคันมาถึงในอึดใจเดียว เมื่อมันจอด ก็เผยให้เห็นถึงแสนยานุภาพของอาวุธที่มันขนมาด้วย เพราะอย่างไรเสีย ทุ่งล่าก็ยังคงเป็นทุ่งล่า แม้จะช่วงเช้า แต่ก็อันตรายเหมือนกัน