ตอนที่ 222 น้ำแร่

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ตระกูลเลี่ยวแห่งเจิ้นเจียงไม่เพียงมีชื่อเสียงที่เจิ้นเจียงเท่านั้น ยังนับว่าเป็นตระกูลเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานในเจียงหนานอีกด้วย เพียงแต่ยามที่ผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ ตระกูลเลี่ยวเสื่อมอำนาจลงไม่น้อยเมื่อเทียบกับตระกูลเฉิงแห่งซอยจิ่วหรูในเมืองจินหลิง หรือตระกูลกู้แห่งไห่หนิงในเมืองหังโจว ถึงกระนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ยังรับป้ายชื่อของตระกูลเลี่ยวมา และยังพบฟางซื่อผู้เป็นฮูหยินใหญ่ของตระกูลเลี่ยวด้วยอัธยาศัยไมตรีอีกด้วย

ฟางซื่อเป็นสตรีจากตระกูลฟางที่ซูเฉิง เป็นญาติพี่น้องกับหยวนซื่อ ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนที่ได้ยินมายามที่ยังเป็นหญิงสาวก็เพียงเท่านี้ กระทั่งเมื่อออกเรือนไป คนหนึ่งอาศัยอยู่ที่เจิ้นเจียง ส่วนอีกคนอยู่ที่จินหลิง สามีของคนหนึ่งหยุดอยู่ที่ตำแหน่งจวี่เหริน ทว่าสามีของอีกคนกลับได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนจึงค่อยๆ ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ฟางซื่อถึงกับฝากฝังให้เฉิงจิงเป็นพ่อสื่อให้เลี่ยวเส้าถังบุตรชายคนโตของตน และนี่ถึงได้มีการเกี่ยวดองกันระหว่างตระกูลโจวกับตระกูลเลี่ยวทั้งสองตระกูลขึ้นมา

ผู้ที่ติดตามฟางซื่อมาด้วยกันคือจงหมัวมัว

นางตามอยู่ข้างหลังฟางซื่ออย่างพินอบพิเทา ตอนที่สายตาสะดุดเห็นโจวเสาจิ่น นางเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาอย่างปกปิดเอาไว้ไม่อยู่

ปีนี้ฟางซื่อน่าจะอายุประมาณสี่สิบปี รูปร่างผอมเพรียว ผิวขาวเนียนละเอียด หน้าตาพริ้มเพรา ท่วงท่าสง่างาม เห็นแล้วราวกับอายุเพียงสามสิบกว่าปีเท่านั้น ดูแลเอาใจใส่รูปร่างหน้าตาได้ดียิ่ง

พอเห็นจงหมัวมัวเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา นางก็ปรายตามองจงหมัวมัวอย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง แล้วตวัดสายตามองโจวเสาจิ่นแวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว ยิ้มพลางก้าวออกมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัว

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้สื่อมามาประคองนางขึ้นมา แล้วบอกให้ปี้อวี้ยกเก้าอี้มาเพิ่ม กระทั่งฟางซื่อกล่าวขอบคุณขณะนั่งลง และพวกสาวใช้ก็ยกน้ำชาและของว่างมาขึ้นโต๊ะเรียบร้อยแล้ว นางถึงได้ชี้ไปโจวเสาจิ่นพลางกล่าว “นี่คือคุณหนูรองในจวนพวกข้า จะว่าไปแล้วยังเป็นญาติที่จะดองกับเจ้าอีกด้วย กล่าวคือ นางเป็นน้องสาวของสะใภ้คนโตของเจ้า”

ฟางซื่อตกตะลึงเป็นอย่างมาก ถึงได้เข้าใจแล้วว่าเหตุใดจงหมัวมัวผู้มากประสบการณ์ถึงหลุดแสดงสีหน้าเช่นนั้นออกมา

สำหรับเรื่องแต่งงานที่เฉิงจิงทาบทามให้บุตรชายคนโตในครั้งนี้ นางไม่ค่อยพอใจสักเท่าใดนัก

ความจริงแล้วผู้ที่นางหมายมั่นจะให้บุตรชายแต่งงานด้วยคือเฉิงเซิงบุตรสาวของนายท่านรองของจวนหลัก

ใครจะรู้ว่าเฉิงจิงไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ กลับผลักคุณหนูใหญ่ตระกูลโจวมาให้นาง

ตอนนั้นนางคิดจะปฏิเสธ แต่เวลานั้นน้องเขยคนเล็กเพิ่งจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่พลเรือนในกรมพิธีการฝ่ายซ้าย อีกทั้งด้วยเหตุที่สามีหลงเชื่อถ้อยคำของสหายแล้วเสียเงินจำนวนมหาศาลไปกับการซื้ออักษรภาพปลอมกลับมา หากไม่คิดหาทางกลบเกลื่อนให้ทันท่วงที สามีคงทำให้ตระกูลเลี่ยวกลายเป็นที่น่าขบขันในเจิ้นเจียงไปเสียแล้ว ไม่คาดคิดว่าลูกหลานของตระกูลบัณฑิตที่มีชื่อเสียงเก่าแก่จะแยกทองกับหินไม่ออกแล้วถูกคนหลอกลวงเอาได้ เช่นนั้นยังจะนับเป็นลูกหลานของตระกูลที่มีการศึกษาได้อย่างไร ยังจะนับเป็นบัณฑิตผู้ทรงความรู้ได้อย่างไร

นางจึงต้องรีบหาเรื่องอะไรสักเรื่องหนึ่งมาข่มขวัญคนของตระกูลเลี่ยว

เรื่องที่เฉิงจิงเป็นพ่อสื่อให้บุตรชายคนโตของนาง จึงกลายเป็นฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายที่นางคว้าเอาไว้ได้ในตอนนั้น แม้ว่านางจะลังเลเป็นอย่างมาก แต่สามีกลับตอบตกลงอย่างเต็มปากเต็มคำไปแล้ว นางจึงหมดสิ้นหนทางแล้วจริงๆ ได้แต่เชิญพ่อสื่อไปสู่ขอ

ทว่ายิ่งอยู่ผลงานของบุตรชายคนโตก็ยิ่งโดดเด่น ความไม่พอใจที่นางมีต่อบุตรสะใภ้คนนี้จึงยิ่งแรงกล้าขึ้น ตอนที่แม่สามีเสียชีวิตและงานแต่งงานของบุตรชายถูกเลื่อนออกไปนางถึงกับรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่งเลยทีเดียว

นี่จึงเป็นเหตุผลที่นางใส่ใจโจวชูจิ่นเป็นพิเศษ

นางต้องการหาเหตุผลหนึ่งมาปลอบใจตนว่า การตัดสินใจของนางในตอนนั้นไม่ได้ผิดพลาด

ตอนนี้พอเห็นโจวเสาจิ่นที่ยืนอยู่ข้างฮูหยินผู้เฒ่ากัว จิตใจของนางก็พลันสงบลงมา

ได้ยินมาว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลโจวได้รับความโปรดปรานจากคนในตระกูลเฉิงมากกว่าคุณหนูรองตระกูลโจว การที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงกับพาคุณหนูรองตระกูลโจวไปถวายธูปเทียนที่เขาผู่ถัวด้วยเช่นนี้ แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนถึงสถานะของคุณหนูใหญ่ตระกูลโจวในตระกูลเฉิง

ตอนที่โจวเสาจิ่นก้าวออกมาทำความเคารพนางนั้น รอยยิ้มฟางซื่อเปลี่ยนเป็นเป็นมิตรขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ถอดปิ่นระย้าทองคำที่ปักอยู่บนมวยผมมอบให้โจวเสาจิ่นเป็นของขวัญพบหน้า “ไม่รู้ว่าคุณหนูรองติดตามฮูหยินผู้เฒ่ามาด้วย เป็นความผิดของข้า เจ้ารับปิ่นนี้เอาไว้ก่อน ป้ามาอย่างกะทันหันไปสักหน่อย จึงเป็นของไม่ค่อยมีราคา รอให้ไปเยือนเป็นแขกที่เรือนของป้า ป้าจะมอบของขวัญพบหน้าชดเชยให้เจ้าอีกชิ้นหนึ่ง”

“ฮูหยินเกรงใจเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างอ่อนหวาน “ควรจะเป็นผู้น้อยไปคารวะผู้ใหญ่ แต่เนื่องจากยังต้องปรนนิบัติผู้อาวุโส จึงไม่เหมาะสมนักหากจะออกไปข้างนอกตามอำเภอใจ อันที่จริงสองสามวันมานี้ก็คิดจะรอให้ฮูหยินผู้เฒ่ามีเวลาว่างสักหน่อยแล้วค่อยไปเยี่ยมเยียนท่าน คิดไม่ถึงว่าท่านจะมาเสียก่อน ผู้น้อยรู้สึกละอายใจจริงๆ ไหนเลยจะยังกล้ารับของขวัญพบหน้าของฮูหยิน รอวันไหนที่ข้าได้ไปเยี่ยมเยียนฮูหยินอย่างเป็นทางการ ฮูหยินค่อยตกรางวัลแก่ข้าแล้วกันเจ้าค่ะ”

เพื่อพี่สาวแล้ว นางพยายามแสดงท่าทีเคารพนบนอบอย่างสุดความสามารถ

ฟางซื่อเห็นนางวางตัวได้อย่างเหมาะสมทั้งยังสุภาพอ่อนน้อม ก็พึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ความคาดหวังต่อโจวชูจิ่นจึงเพิ่มขึ้นหลายส่วน กล่าวยิ้มๆ ว่า “ผู้ใหญ่ให้ของ ไม่อาจปฏิเสธได้ เจ้ารับเอาไว้เถิด ตอนมาเยี่ยมเยียนอย่างเป็นทางการย่อมต้องเตรียมของขวัญเยี่ยมเยียนอย่างเป็นทางการเอาไว้ให้อีกชิ้นหนึ่ง”

โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าวขอบคุณ แล้วรับของขวัญแรกพบของฟางซื่อมา

ความจริงทั้งสองคนต่างรู้ดีแก่ใจว่า ที่โจวเสาจิ่นกล่าวว่าจะไปเยี่ยมเยียนฟางซื่อนั้น ก็เป็นเพียงคำพูดตามมารยาทเท่านั้น ไหนเลยจะมีเหตุผลอะไรให้น้องสาวของสะใภ้ที่ยังไม่ได้แต่งเข้าบ้านสามีไปเยี่ยมเยียนแม่สามีของพี่สาว และที่กล่าวว่าเยี่ยมเยียนอย่างเป็นทางการนั้น นั่นก็หมายถึงตอนที่โจวเสาจิ่นไปเยี่ยมเยียนพี่สาวหลังจากที่โจวชูจิ่นแต่งงานเข้าตระกูลเลี่ยวแล้ว

พวกนางแลกเปลี่ยนคำทักทายกันสองสามประโยค จากนั้นฟางซื่อก็สนทนากับฮูหยินผู้เฒ่ากัว

เรื่องที่นางพูดล้วนเป็นเรื่องอดีตในวันวานเหล่านั้น ไม่ต่างจากฮูหยินของเฉินซู่หมิงผู้เป็นปลัดเจ้าเมืองเจิ้นเจียงที่มาเยี่ยมพวกนางผู้นั้น เกรงว่าคงจะมีเรื่องขอไหว้วานเช่นกัน

โจวเสาจิ่นจึงหาข้ออ้างออกจากห้องโดยสาร

แต่นางก็รู้สึกเป็นกังวลถึงเรื่องของตระกูลเลี่ยวยิ่งนัก

สุดท้ายแล้วตระกูลเลี่ยวก็เป็นตระกูลสามีของพี่สาวนาง หากว่าเกิดเรื่องขึ้นกับตระกูลเลี่ยว พี่สาวนางย่อมต้องทุกข์ร้อนตามไปด้วยเป็นแน่

ชาติก่อนนางไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตระกูลเลี่ยวหรือไม่ นางรู้แต่ว่าพี่สาวแต่งเข้าตระกูลเลี่ยวไปอย่างราบรื่น ฟันฝ่าคำครหาของคนที่คิดว่าการแต่งงานของพี่สาวกับตระกูลเลี่ยวจะต้องพบเจอกับอุปสรรคไปอย่างราบคาบ

นางขอร้องปี้อวี้ว่า “เจ้าช่วยเฝ้าสังเกตให้ข้าที เผื่อว่ามีข่าวร้ายอะไร”

ปี้อวี้เข้าใจความกังวลของโจวเสาจิ่นดี นางขยิบตาให้โจวเสาจิ่น พลางกล่าว “ท่านวางใจเถอะ วันนี้เป็นเวรของข้ากับเจินจู พวกข้าสองคนจะตั้งใจสังเกตให้เป็นอย่างดีเจ้าค่ะ”

ตั้งแต่ที่ใช้วิธีนวดจุดที่เฉิงฉือสอน เจินจูไม่เพียงหายดี แต่ยังหายจากอาการเมาเรืออีกด้วย โจวเสาจิ่นยังฝึกนวดจุดกับปี้อวี้จนนวดเป็นแล้วเหมือนกัน

โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าวขอบคุณนาง

จงหมัวมัวผู้เป็นบ่าวรับใช้ข้างกายของฟางซื่อยิ้มพลางออกมาจากห้องโดยสาร

เมื่อเห็นโจวเสาจิ่นแม้ว่านางจะรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังทักทายนางอย่างเป็นมิตรยิ่ง “ไฉนคุณหนูรองถึงยืนอยู่ตรงนี้เจ้าคะ ลมบนทะเลสาบนี้เย็นกว่าลมในเมือง ท่านระวังจะต้องไอเย็นนะเจ้าคะ”

โจวเสาจิ่นรู้สึกเหนื่อยหน่ายใจเหลือคณา

ชาติก่อน ไม่ว่าจะเป็นฟางซื่อหรือจงหมัวมัว ต่างก็ไม่ได้ยินดียินร้ายกับนางแต่อย่างใด ไหนเลยจะเคยปฏิบัติกับนางอย่างกระตือรือร้นเช่นนี้มาก่อน

นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่เป็นไร เพียงแค่มีเรื่องต้องคุยกับปี้อวี้สองสามประโยคเท่านั้น”

ปี้อวี้พยักหน้าน้อยๆ แล้วกล่าวกับจงหมัวมัวอย่างสุภาพว่า “ห้องน้ำชาข้างๆ ยังมีชาร้อนอยู่ มามาอยากไปพักผ่อนดื่มชาสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ”

“ขอบคุณแม่นางปี้อวี้ยิ่งนัก” จงหมัวมัวรีบกล่าวยิ้มๆ “พวกข้าเพิ่งจะได้รับข่าวมาเมื่อวาน อีกทั้งกลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะออกเดินทางกลับเมืองจินหลิงภายในสองวันนี้ ฮูหยินใหญ่ของพวกข้าจึงผลักธุระในมือทั้งหมดออกไปก่อน อยากจะมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าให้ได้ การงานในเรือนล้วนยังไม่ได้จัดการแต่อย่างใด คงไม่อาจรั้งอยู่นานนัก และหากฮูหยินผู้เฒ่าตกลงไปเป็นแขกที่เรือนของพวกข้าในวันพรุ่งนี้ ฮูหยินใหญ่ของพวกข้ายังต้องกลับไปตระเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับอีก เช่นนั้นก็ยิ่งไม่อาจรั้งอยู่ที่นี่ได้ ข้ารออยู่ตรงนี้ดีกว่า”

ปี้อวี้เองก็ไม่ได้รบเร้านาง เรียกสาวใช้เด็กข้างกายคนหนึ่งให้อยู่ปรนนิบัติ ส่วนตนยกกาน้ำเข้าไปในห้องเพื่อเติมน้ำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับฟางซื่อ

โจวเสาจิ่นยิ้มพลางพูดคุยกับจงหมัวมัวสองสามประโยค แล้วลุกขึ้นเตรียมจะกลับห้อง

หลั่งเย่ว์ถือขวดเล็กสองขวดวิ่งมาหา

“คุณหนูรองขอรับๆ” เขายกขวดเล็กในมือขึ้นมาให้โจวเสาจิ่นดูประหนึ่งนำเสนอสิ่งของล้ำค่าก็ไม่ปาน เอ่ยขึ้นว่า “นี่คือน้ำแร่จงหลิงเฉวียนขอรับ นายท่านสี่กับใต้เท้าเสิ่นและคนอื่นๆ เพิ่งจะตักขึ้นมาจากลำธาร ขวดนี้มอบให้ท่านขอรับ”

โจวเสาจิ่นปลาบปลื้มยินดียิ่งนัก

น้ำแร่จงหลิงเฉวียนยังมีชื่อเรียกอีกชื่อว่าน้ำแร่หนานหลิงเฉวียน เนื่องจากเป็นน้ำแร่จากลำธารที่ไหลผ่านข้างนอกวัดจินซาน อีกทั้งลำธารยังถูกเขาสือไผกับเขากู่ซานขวางกั้นสายน้ำเอาไว้ น้ำจึงไหลเป็นทางคดเคี้ยว แบ่งเป็นช่วงตอนใต้ ตอนกลางและตอนเหนือสามระดับ น้ำแร่นี้มาจากหนึ่งในช่วงที่คดเคี้ยวในนั้น จึงเป็นที่มาของชื่อ ‘จงหลิงเฉวียน’ และเนื่องจากแหล่งน้ำแร่จงหลิงเฉวียนตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเขาจินซาน จึงเรียกว่า ‘หนานหลิงเฉวียน’ ด้วยเช่นกัน กล่าวกันว่าลำธารทั้งลึกและเชี่ยวกราก การตักน้ำขึ้นมาครั้งหนึ่งไม่ง่ายนัก หากปรารถนาจะตักน้ำ ต้องใช้เชือกผูกขวดทองแดงที่มีฝาหย่อนลงกลางลำธารตอนเที่ยงตรง แล้วเปิดฝาขวดอย่างรวดเร็ว จึงจะตักน้ำแร่จริงๆ ออกมาได้

โจวเสาจิ่นเคยอ่านในตำรา ตอนที่ฮูหยินเกาติดตามพวกนางไปเที่ยววัดจินซาน นางยังมองดูลำธารข้างวัดจินซานเป็นพิเศษ แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและคนอื่นๆ ไม่ได้พูดถึงเรื่องการตักน้ำแร่จากลำธาร นางจะเอ่ยปากขึ้นก่อนได้อย่างไรเล่า

แต่สิ่งที่ทำให้นางคิดไม่ถึงก็คือ เฉิงฉือจะตักน้ำแร่จงหลิงเฉวียนกลับมาให้

น้ำแร่นี้ล้ำค่ายิ่งนัก!

โจวเสาจิ่นเอ่ยถามหลั่งเย่ว์อย่างรู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อยว่า “นี่มอบให้ข้าหรือ”

หลั่งเย่ว์พยักหน้าหงึกๆ ดวงหน้าเผยความยินดี กล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “เรื่องเช่นนี้จะเป็นเรื่องยากสำหรับนายท่านสี่ของพวกข้าได้อย่างไร! นายท่านสี่กับท่านผู้เฒ่าซ่งตักกลับมาหนึ่งถังใหญ่เลยด้วยซ้ำ ขวดนี้ท่านรับเอาไว้เถิด ข้ายังต้องไปช่วยชิงเฟิงยกน้ำอีกขอรับ!”

ไม่ว่าจะเป็นความคิดของผู้ใด โจวเสาจิ่นล้วนรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่ง

นางรีบรับขวดเล็กมา

หลั่งเย่ว์วิ่งจากไปอย่างรวดเร็วปานควัน

โจวเสาจิ่นมองเงาหลังของเขาแล้วอดยิ้มพลางส่ายศีรษะไม่ได้ ดังนั้นนางจึงไม่เห็นสายตาลุกวาบจางๆ ของจงหมัวมัวขณะกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านนี้คือ…บ่าวเด็กข้างกายนายท่านสี่หรือเจ้าคะ”

“ใช่แล้ว!” โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าว “นายท่านสี่นับถือเต๋า ดังนั้นบ่าวเด็กข้างกายสองคนต่างสวมชุดนักพรตเต้าเผา”

นางเอ่ยอธิบายแทนเฉิงฉือ

ในเมื่อตระกูลเลี่ยวหมายมั่นจะเกี่ยวดองกับตระกูลเฉิง ย่อมพอจะทราบเรื่องราวในตระกูลเฉิงอยู่บ้างเป็นธรรมดา จงหมัวมัวได้ยินว่านายท่านสี่ของจวนหลักตระกูลเฉิงมีนิสัยใจคอแปลกประหลาดทว่าเป็นเทพเจ้าแห่งความร่ำรวยผู้หนึ่งมานานแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงคนข้างนอก แม้แต่คนอื่นๆ ในตระกูลเฉิงก็ไม่อาจประจบประแจงเขาได้เหมือนกัน

นางยิ้มพลางกล่าว “ดูทีแล้วความสัมพันธ์ระหว่างคุณหนูรองกับบ่าวข้างกายของนายท่านสี่จะดียิ่งนัก” ในน้ำเสียงเจือความหยั่งเชิงอยู่หลายส่วนโดยไม่รู้ตัว

โจวเสาจิ่นรู้มานานแล้วว่าตระกูลเลี่ยวค่อนข้างเจ้ายศเจ้าอย่าง นางจึงไม่คิดจะเอ่ยแย้ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ทุกคนอยู่บนเรือลำเดียวกัน จะไม่ดีได้อย่างไร”

“นั่นก็ใช่” จงหมัวมัวยิ้มน้อยๆ ทว่ากลับไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย

แล้วเรื่องน้ำแร่จงหลิงเฉวียนนั้นคืออะไรเล่า คนอื่นอาจไม่รู้ แต่นางผู้เป็นคนเจิ้นเจียงย่อมรู้ดีอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง

การตักน้ำแร่จากแม่น้ำ ไม่ต้องกล่าวถึงการจ้างคนงานหรือเรือ เพียงแค่ขวดทองแดงที่ใช้ตักน้ำแร่นี้ก็ยังต้องสั่งทำพิเศษ และทั่วทั้งเจิ้นเจียงมีผู้ที่ทำได้เพียงผู้เดียว ขวดทองแดงขวดหนึ่งเขามักจะคิดราคาเป็นเงินสิบเหลี่ยง พอถึงแม่น้ำ เมื่อทอดสายตามองออกไป ก็จะเห็นแต่น้ำที่ไหลเชี่ยวม้วนตลบ ตาน้ำอยู่ตรงที่ใด บรรดาคนที่ไม่รู้ ไม่อาจหย่อนขวดทองแดงนั้นลงกลางลำธารและตักน้ำแร่จริงๆ ขึ้นมาได้ ทั่วทั้งเจิ้นเจียงมีเพียงสามคนที่ตักน้ำแร่เป็น หากจ้างพวกเขาไปตักน้ำครั้งหนึ่งก็ต้องจ่ายเงินสิบเหลี่ยง เช่นนี้เมื่อคำนวณดูแล้ว น้ำแร่ขวดเล็กหนึ่งขวดที่บ่าวเด็กผู้นั้นมอบให้โจวเสาจิ่นนั้นคิดเป็นเงินถึงยี่สิบเหลี่ยง

ตอนที่บ่าวเด็กผู้นั้นกับโจวเสาจิ่นสนทนากัน เห็นได้ชัดว่ามีความเคารพแฝงอยู่หลายส่วน

เห็นได้ชัดว่าคุณหนูรองตระกูลโจวได้รับความโปรดปรานจากตระกูลเฉิงเป็นอย่างมาก!

กระทั่งเมื่อฟางซื่อลงจากเรือ จงหมัวมัวจึงเล่าเรื่องนี้ให้นางฟัง

ฟางซื่อเงียบงันอยู่นานพักหนึ่ง แล้วพึมพำกล่าวว่า “เจ้าน่าจะขอน้ำแร่จงหลิงเฉวียนจากคุณหนูรองตระกูลโจวมาสักหน่อย พวกเราจะได้นำไปมอบให้ท่านผู้นำตระกูลได้ลิ้มลอง ให้บรรดาคนที่มีวิสัยทัศน์ตื้นเขินในตระกูลเลี่ยวเหล่านั้นได้รู้ว่า อย่าคิดว่าพี่น้องตระกูลโจวมาอาศัยอยู่ในตระกูลเฉิง แล้วจะเป็นเหมือนกับภรรยาสาวที่โดนข่มเหงรังแกเหล่านั้น”

……………………………….