ส่วนที่ 10 จอมเวทผู้แข็งแกร่งที่สุด ตอนที่ 4 จอมเวทผู้แข็งแกร่งที่สุด (4)

ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก

สันเขาเหนือ ตระกูลหม่า

 

 

ซูรุ่ยลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่เห็นคือรูปแกะสลักที่น่าเกรงขามรูปหนึ่ง ข้างล่างรูปแกะสลักเป็นโต๊ะบูชาแบบโบราณและอุดมสมบูรณ์ไปด้วยของเซ่นไหว้ ธูปที่ปักอยู่ข้างของเซ่นไหว้ยังคงเผาไหม้อยู่

 

 

ที่นี่คือ…

 

 

ซูรุ่ยยืนขึ้น พบว่าร่างของเขานั้นอยู่ในห้องที่สร้างด้วยหินและปิดล้อมอย่างมิดชิด ที่นี่เป็นที่สำหรับบูชาบรรพบุรุษและทำพันธสัญญากับเผ่ามังกรของตระกูลหม่า

 

 

เยาวชนของตระกูลหม่าทั้งหมด เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ฝึกฝนถึงขั้นที่กำหนด ก็จะได้รับอนุญาตให้มาที่นี่ได้

 

 

และลูกศิษย์ทุกคนที่ได้รับอนุญาตให้มาที่นี่ จะต้องอาบน้ำเปลี่ยนชุด จุดธูปกินเจ แล้วฝึกจิตบำเพ็ญเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวัน เมื่อครบวันที่กำหนด หากมีดวงจิตมังกรในพันธสัญญาและดวงจิตของผู้ฝึกฝนสื่อถึงกันได้ ดวงจิตเข้ากัน ก็จะสามารถทำพันธสัญญากลายเป็นเผ่ามังกรปราบมารที่แท้จริง

 

 

ซูรุ่ยใช้จิตสัมผัสความทรงจำของหม่าเย่ว์เจ้าของร่างเดิม หม่าเย่ว์เข้ามาในห้องนี้ได้สามสิบวันแล้ว และการดำเนินของเนื้อเรื่องเดิม เมื่อถึงวันที่สี่สิบเก้า เขาจะประสบความสำเร็จในการทำสัญญากับมังกรม่วงตนหนึ่งที่มีอานุภาพมหาศาล เผ่ามังกรม่วงเป็นเผ่ามังกรที่มีอำนาจรองจากเผ่ามังกรทองเพียงเผ่าเดียวเท่านั้น

 

 

อีกตั้งสิบเก้าวันกว่าจะได้ออกไปเหรอ ล้อเล่นอะไรเนี่ย!

 

 

แววตาของซูรุ่ยเย็นลง สายตาจดจ้องอยู่ที่รูปสลักบรรพบุรุษตระกูลหม่าและวิญญาณมังกรที่อยู่ข้างกายเขา

 

 

หม่าเย่ว์เป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์เป็นเลิศมากที่สุดของตระกูลหม่าในปัจจุบัน และเขามีความสามารถในการจดจำทุกอย่างที่เห็นได้ตั้งแต่ยังเด็ก ในตอนนี้ซูรุ่ยกำลังค้นหาความทรงจำของหม่าเย่ว์ และได้พบวิชาต้องห้ามของตระกูลหม่าเล่มหนึ่งในความทรงจำของเขา

 

 

ในเมื่อเป็นวิชาต้องห้าม แน่นอนว่าต้องไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้อยู่แล้ว นี่ก็เป็นช่วงวัยเด็กที่หม่าเย่ว์อยู่ในช่วงต่อต้าน แอบไปเปิดดูในห้องตำราของตระกูลหม่าลับหลังหัวหน้าเผ่า

 

 

คาถาต้องห้ามนี้สามารถบังคับให้เผ่ามังกรสามารถทำพันธสัญญาร่วมกับมนุษย์ได้ในเวลาอันสั้นที่สุด

 

 

นี่เป็นวิชาต้องห้ามในยุคโบราณ ในตอนนั้น เป็นช่วงที่ผู้คนไม่สามารถดำรงชีวิตปกติสุขได้ กลางคืนเต็มไปด้วยผีวิญญาณที่ออกอาละวาด เพื่อเป็นการสืบตระกูลและสืบทอดวิชาเวทจึงต้องใช้วิชาลับอย่างเสียมิได้ ทำให้หลายคนที่ไม่มีคุณสมบัติทำพันธสัญญากับเผ่ามังกรแต่เดิมได้ทำพันธสัญญา

 

 

แต่ว่า วิชาต้องห้ามนี้เวลาใช้นั้นอันตรายมาก และโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมีน้อยมาก หลังจากนั้นก็เข้าสู่ยุคสันติ วิชานี้จึงถูกหัวหน้าตระกูลหม่าผนึกไว้ ห้ามไม่ให้ใครนำมาใช้อีก…

 

 

เจ้าของร่างเดิมเมื่อรู้ว่าเป็นวิชาต้องห้าม ก็ไม่เคยคิดจะลองใช้มันเลย อีกอย่างพรสวรรค์ที่หม่าเย่ว์มี เขาไม่จำเป็นต้องทำพันธสัญญาด้วยวิธีบีบบังคับอยู่แล้ว

 

 

แต่ซูรุ่ยนั้นต่างออกไป เขาเป็นห่วงซูหว่านมาก เขาไม่มีเวลาจะอยู่เฉยๆ ในนี้ได้แล้ว

 

 

ยกมือขึ้นจุดธุปใหม่อีกสามดอก ซูรุ่ยล้วงมีดสั้นพลังวิญญาณเล่มหนึ่งที่หม่าเย่ว์พกติดตัวตลอดจากข้างเอว ใช้มีดสั้นกรีดนิ้วชี้ของตน เลือดสิบหยดตกกระทบลงบนพื้นกลายเป็นรูปที่แปลกประหลาด

 

 

ด้วยโลหิตข้า

 

 

ด้วยนามแห่งข้า

 

 

ซูรุ่ยค่อยๆ หลับตาลง พลังปราณทั้งหมดในร่างกายขยับอยู่บนปลายนิ้ว ซูรุ่ยร่ายคาถาของวิชาต้องห้ามด้วยเสียงต่ำ ความเร็วในการร่ายคาถาเร็วขึ้นเรื่อยๆ ห้องทั้งห้องมีเศษฝุ่นบินว่อนทั้งที่ไม่มีลม ฝุ่นรวมตัวกันเป็นแผ่นบนอากาศ มีเสียงต่ำของเผ่ามังกรและเสียงร้องดังขึ้นแว่วๆ

 

 

เสียงร้องของมังกร สะท้านสะเทือนจนซูรุ่ยปวดแก้วหู แต่ตอนนี้เขายังคงรักษาท่าทางได้เหมือนตอนเริ่มต้น ไม่ได้ถูกกระทบแต่อย่างใด

 

 

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จากวินาทีเป็นนาที ร่างของซูรุ่ยถูกฝุ่นสีเทาปกคลุมไปทั้งตัว เหมือนรังไหมขนาดยักษ์รูปคน

 

 

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ลมแปลกๆ นั่นหยุดลงในที่สุด เสียงคำรามอันสะเทือนหูจนหูแทบหนวกของมังกรดังขึ้นอีกครั้ง ฝุ่นดินที่เคยปกคลุมร่างของซูรุ่ยจนเป็นเกราะ ถูกเสียงนั้นสะเทือนจนแตกเป็นผุยผง

 

 

เขายังคงอยู่ที่ท่าเริ่มต้น ในตอนนี้พลังปราณในตัวของเขาถูกเก็บกลับไปหมดแล้ว บนใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ตาทั้งคู่ที่หลับอยู่นาทีนี้อยู่ๆ ก็ลืมขึ้น กวาดสายตาไปรอบๆ

 

 

‘เยาวชนตระกูลหม่า เจ้าเป็นคนเรียกข้ารึ’

 

 

เสียงทุ้มต่ำสำเนียงโบราณดังขึ้นในสมองของซูรุ่ย เขาค่อยๆ ชายตาทั้งคู่ขึ้น แววตาแหลมคมกลับหดตัวอย่างรุนแรงในทันที สิ่งที่ตนอัญเชิญออกมานั้น เป็นถึง…

 

 

นครใต้ ตระกูลซู

 

 

ในตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่ม เหล่าวิญญาณที่รวมตัวกันอยู่นอกลานคฤหาสน์ตระกูลซู เริ่มแย่งกันพุ่งตัวเข้าด้านใน

 

 

พวกผีบริวารที่ไร้สติปัญญาถูกกีดกันด้วยกุศลของตระกูลซู ถูกเกราะป้องกันที่มองไม่เห็นสะท้อนกลับครั้งแล้วครั้งเล่า แต่พวกมันยังคงพุ่งเข้ามาต่อเนื่องอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

 

 

“ทำยังไงดี ทำยังไงดี ”

 

 

ในตอนนี้ ซูเจินเจินที่อยู่ในห้องกำลังขดตัวอยู่บนเตียง เนื้อตัวสั่นเทาไปหมด

 

 

“ผีบริวารพวกนั้นเข้ามาไม่ได้หรอก ส่วนพวกวิญญาณผีที่พลังจิตค่อนข้างแข็งแรงต่อให้เข้ามาได้ พวกมันก็เข้าใกล้ตัวเธอไม่ได้ เธอยังมีบุญกุศลคุ้มครองร่างกายอยู่”

 

 

ในตอนนี้ซูหว่านกำลังนั่งขัดสมาธิฝึกฝนอยู่ใต้แสงจันทร์ คอยฟังคำถามของซูเจินเจิน อดไม่ได้ที่จะลืมตาขึ้นมาตอบ “ตอนนี้เธอควรภาวนาให้ใกล้ๆ ตระกูลซูไม่มีผีดุร้ายอาศัยอยู่ ไม่อย่างนั้น เธอและฉันอาจรักษาชีวิตไว้ไม่ได้”

 

 

ผี ผีดุร้าย?

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดของซูหว่าน สีหน้าของซูเจินเจินซีดมากกว่าเดิม “ซูหว่าน เธอเป็นผีบำเพ็ญเพียรไม่ใช่เหรอ ถ้ามีผีดุร้ายจริง เธอสู้มันไม่ได้เหรอ”

 

 

หือ

 

 

ซูหว่านจ้องซูเจินเจินแวบหนึ่ง “เธอรู้เยอะเหมือนกันนี่!”

 

 

“ฉัน จริงๆ แล้วฉันแค่……”

 

 

ซูเจินเจินกัดริมฝีปาก สุดท้ายตัดสินใจ พูดออกมาอย่างรวดเร็ว “ซูหว่าน เธออาจจะไม่เชื่อ จริงๆ แล้วนี่เป็นโลกในนิยายแฟนตาซีร่วมสมัย ในนี้นอกจากจะมีจอมเวทผู้หยั่งรู้และยังมีภูตผีปีศาจอีกมากมาย ที่ฉันรู้มากขนาดนี้ เพราะฉันเคยอ่านหนังสือเล่มนี้ รู้จุดจบของคนในนี้หลายคน ซูหว่าน เธอต้องช่วยฉันนะ ครั้งนี้เธอต้องช่วยฉันนะ ถ้าเธอช่วยฉันได้ ฉันจะพาเธอออกจากตระกูลซู พวกเราไป…ไปเขาเหมาซาน ไปหาสวินหรานตู!”

 

 

“ไปหาสวินหรานตู? ให้เขาช่วยเธอ? แล้วก็ถือโอกาสกำจัดฉัน?”

 

 

ซูหว่านได้ยินคำพูดของซูเจินเจิน กลับแค่ยิ้มอย่างเย็นชา

 

 

แต่ซูเจินเจินในตอนนี้กลับส่ายหัวอย่างสุดชีวิต “ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ซูหว่านเธออย่าเข้าใจผิด! ”

 

 

ทำไมเธอถึงลืมไปนะ ตอนนี้ตัวเองนั่นแหละที่เป็น ‘ซูหว่าน’ และซูหว่านตัวจริงกลายเป็นผีตนหนึ่งไปแล้ว

 

 

ถ้าหากไปเขาเหมาซานละก็ เจอนักพรตไม่ว่าคนไหนก็ถูกกำจัดอยู่ดี

 

 

“พอเถอะ ไม่ต้องอธิบายแล้ว”

 

 

ซูหว่านเห็นซูเจินเจินที่สีหน้าเหมือนอยากจะกรอเทปแล้วเริ่มใหม่ อดไม่ได้ค่อยๆ ยืนขึ้น “ถ้าอยากผ่านด่านนี้ไปอย่างราบรื่น เมื่อถึงเวลาขอให้เธอฟังฉัน ฉันรับรองว่าเธอจะปลอดภัยแน่นอน”

 

 

“จริงเหรอ”

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดของซูหว่าน ซูเจินเจินดีใจจนเบิกตากว้าง “งั้นฉันของพึ่งเธอด้วยนะ ซูหว่าน”

 

 

ซูหว่านหมดคำจะพูดต่อ…

 

 

ตอนนี้ฉันเป็นแค่ผีที่เพิ่งเริ่มฝึกบำเพ็ญเองนะ เธอนี่ใจช่างใหญ่จริงๆ เลย~

 

 

กลางดึก ห้าทุ่มครึ่ง

 

 

“มาแล้ว!”

 

 

อากาศภายในห้องชื้นและวังเวงมากกว่าเดิม แววตาของซูหว่านกระตุกเล็กน้อย เธอลอยตัวเบาๆ ลอยไปอยู่ด้านหลังของซูเจินเจิน

 

 

ซูเจินเจินชะงักงัน…

 

 

“ซูหว่าน เธอทำอะไร”

 

 

“พวกผีที่มีพลังบำเพ็ญสูงหน่อยกำลังจะเข้ามาแล้ว เมื่อถึงเวลาเธอกันพวกมันไว้”

 

 

อะไรนะ

 

 

ซูเจินเจินอึ้งไปในทันที ตกลงกันแล้วว่าจะปกป้องฉันไม่ใช่เหรอ

 

 

“เธออย่ากลัว เธอมีบุญกุศลป้องกันตัวอยู่ ถ้าพวกมันเข้าใกล้จะถูกแสงสีทองจากผลบุญกุศลทำร้าย จากนั้นฉันจะถือโอกาสที่มันเจ็บจัดการมันเอง พวกเราร่วมมือกัน จะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน”

 

 

รู้สึกถึงความหวาดกลัวของซูเจินเจิน ซูหว่านที่อยู่ด้านหลังอดไม่ได้จึงพูดปลอบเธอสองสามประโยค

 

 

“จริงเหรอ”

 

 

ซูเจินเจินได้ยินคำพูดของซูหว่าน แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ แม้ว่าจะมีเหตุมีผล แต่ก็อดขนลุกในใจไม่ได้

 

 

“ฟู่”

 

 

ในตอนนี้เอง อยู่ๆ ก็ลมพัดแรงทำให้หน้าต่างเปิดออก ตามมาด้วยเงาสีขาวๆ เป็นสายๆ พุ่งมาข้างเตียงด้วยความเร็ว

 

 

“ฮือ…”

 

 

เสียงร้องโหยหวนของผี ทำให้ซูเจินเจินขนลุกซู่ ตกใจจนหลับตาแน่น

 

 

จะตายแล้วจะตายแล้ว คราวนี้จะตายอีกแล้ว!

 

 

“ฮือ!”

 

 

เสียงร้องของผีดังมาอีกระลอกหนึ่ง เหมือนจะโหยหวนมากกว่าเมื้อกี้ แต่ว่า…

 

 

ซูเจินเจินไม่รู้สึกเจ็บปวดเหมือนที่คิดไว้ เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้นเล็กน้อยให้พอมองเห็นด้วยอาการสั่นเทา เงาสีขาวที่พุ่งเข้ามาเมื่อกี้ตอนนี้กำลังร้องอย่างเจ็บปวดบนพื้น วิญญาณเหล่านั้นเหมือนโดนอะไรแผดเผามา มีรอยดำๆ เป็นดวงๆ อยู่

 

 

และตอนนี้เงาของซูหว่านลอยไปมาในห้องอย่างรวดเร็ว พลังจิตของเธอกลายเป็นมีดเล่มคมปักลงบนเงาสีขาวเหล่านั้น ส่วนพวกวิญญาณที่บาดเจ็บหนักอยู่แล้วเมื่อโดนพลังจิตของซูหว่านโจมตีก็กลายเป็นแสงดาวระยิบระยับ ค่อยๆ ถูกร่างวิญญาณของซูหว่านกลืนเข้าไปอย่างช้าๆ

 

 

ระหว่างผีและผี สามารถกลืนกินซึ่งกันและกันได้