เมื่อมาถึงรังอินทรีหลินมู่อวี่ก็หลับยาวจนถึงเที่ยงวัน ทันใดนั้นผู้ส่งสารก็เข้ามารายงานอย่างเคารพ “ผู้บัญชาการหลิน องค์หญิงซีอยู่ประตูทิศเหนือของเมืองหลันเยี่ยนเพื่อส่งท่านถังปินกลับ นางมีความประสงค์จะชวนท่านไปโรงเตี๊ยมนอกเมืองเพื่อรับประทานซาลาเปาด้วยกันขอรับ!”
“เข้าใจแล้ว ข้าจะออกไปทันที”
“ขอรับ!”
หลินมู่อวี่ลุกขึ้นยืน อาการเมาค้างทำให้รู้สึกแย่มาก จึงใช้ทักษะชีพจรวิญญาณชำระล้างอาการเมาค้างเล็กน้อย ก่อนจะใส่เสื้อผ้าแล้วควบม้าออกจากภูเขา
…
นอกประตูทางทิศเหนือของเมืองหลันเยี่ยน ถังเสี่ยวซียืนอยู่ที่นั่นพร้อมม้าตัวเล็กขณะที่ถังปินยืนอยู่ด้านข้างพร้อมทหารกว่าสิบนาย พวกเขากำลังรอหลินมู่อวี่
เมื่อเสียงกีบเท้าม้าดังขึ้น เสี่ยวซีก็หันมามองหลินมู่อวี่ที่ลงมาจากรังอินทรีเพื่อนาง พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มู่มู่ ในที่สุดเจ้าก็มา”
ถังปินขมวดคิ้วและไม่พูดอะไร
หลินมู่อวี่เดินมาใกล้ก่อนจะประสานมือกล่าว “เสี่ยวซี คุณชายถังปิน”
ถังปินประสานมือทั้งรอยยิ้ม “ข้าไม่มีโอกาสได้กล่าวแสดงความยินดีกับท่านผู้บัญชาการหลินเมื่อวานนี้ ทว่าวันนี้ก็คงมิได้สายเกินไป ขอแสดงความยินดีกับผู้บัญชาการหลินที่ได้รับเหรียญตรามังกรทองขอรับ!”
หลินมู่อวี่ตะลึง ก่อนจะตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณมากขอรับคุณชายถังปินสำหรับความกรุณา”
“มู่มู่ ข้าต้องไปส่งลูกพี่ลูกน้องนอกเมืองราวสิบไมล์ เจ้าจะไปกับข้าไหม? มีโรงเตี๊ยมที่ขายซาลาเปาเลื่องชื่ออยู่ทางเหนือของเมืองหลันเยี่ยน เราไปทานอาหารกลางวันที่นั่นกัน” ถังเสี่ยวซียิ้มอย่างร่าเริง
“อื้ม ได้สิ”
จากนั้นทุกคนก็ขี่ม้าออกไป ถังปินดูไม่พอใจเล็กน้อย อาจเป็นเพราะเห็นว่าถังเสี่ยวซีสนิทกับหลินมู่อวี่มากเพียงใด
…
ห่างออกไปสิบไมล์จากเมืองหลันเยี่ยน มีโรงเตี๊ยมชื่อดังอยู่ที่นี่ตามดังกล่าว เหล่าพ่อค้าสัญจรแวะเวียนมาที่นี่เพื่อกินซาลาเปาไส้เนื้อและดอกจื่อยินอุ่นๆ ท่ามกลางอากาศหนาว
ถังเสี่ยวซีรับเป็นเจ้ามือและดึงหลินมู่อวี่เข้ามา ถังปินนั่งลงตรงหน้าทั้งคู่ด้วยท่าทางจริงจัง
“พี่ใหญ่ เหตุใดต้องทำท่าจริงจังเช่นนั้น? มีใครรังแกท่านหรือ?” ถังเสี่ยวซีเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
ถังปินอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “ผู้ใดจะสามารถรังแกพี่ชายเจ้าได้ เพียงได้เห็นเสี่ยวซีใช้ชีวิตในเมืองหลันเยี่ยนอย่างมีความสุข ข้าก็วางใจ”
“จริงหรือ? ท่านดูไม่เป็นเช่นนั้นเลย”
“ฮ่าๆ เสี่ยวซีอย่าได้คิดมาก” ถังปินเงยหน้ามองหลินมู่อวี่แล้วขมวดคิ้ว “เสี่ยวซี เจ้ารู้จักท่านผู้บัญชาการหลินตั้งแต่เมื่อใด?”
“อืม…คงจะเป็นตั้งแต่ที่เมืองหยินซาน มีอะไรหรือพี่ใหญ่?”
“เปล่า ซาลาเปามาแล้ว กินตอนที่ยังร้อนเถิด กินให้เยอะๆ ดูสิเจ้าผอมแค่ไหน”
“ฮ่าๆ สำหรับหญิงสาว…ยิ่งผอมก็ยิ่งงดงามมิใช่หรือ?”
“เจ้าต้องห่วงสุขภาพด้วย มาสิ กินเพิ่มอีกหน่อย”
“เจ้าค่ะ”
หลินมู่อวี่รู้สึกได้ถึงความเป็นปรปักษ์ที่ถังปินมีต่อเขา จึงไม่พูดสิ่งใดที่เป็นการสร้างความบาดหมาง เขาทานซาลาเปาอยู่ด้านข้างเงียบๆ เมื่อกินไปได้สองลูกก็รู้สึกอิ่มอย่างน่าประหลาด โดยปกติจอมยุทธ์สามารถกินได้มากกว่านี้ เนื่องจากกฎแห่งความสมดุลระหว่างสวรรค์และแผ่นดิน พลังของจอมยุทธ์เกิดจากการดูดซับพลังงานทางโลกและแปรเปลี่ยนเป็นปราณยุทธ์หรือปราณแท้ ดังนั้นหากหลินมู่อวี่แข็งแกร่งมากเท่าใด ก็จะยิ่งหิวกระหายมากเท่านั้น มิได้เหมือนกับตำนานที่ว่าจอมยุทธ์สามารถฝึกตนจนไม่ต้องกินสิ่งใดอีก…
“ท่านผู้บัญชาการหลิน…”
ถังปินมองไปที่หลินมู่อวี่ขณะที่มีท่าทางลังเล
“คุณชายถังปินมีสิ่งใดหรือ?” หลินมู่อวี่เผยยิ้มจางๆ “พูดสิ่งที่อยากพูดมาโดยตรงเถิดขอรับ”
ถังปินพยักหน้า “มีป้ายเหล็กตระกูลถังสามชิ้นบนแผ่นดินนี้ ชิ้นหนึ่งอยู่ที่ท่านปู่ อีกชิ้นอยู่กับข้า ส่วนอีกหนึ่งชิ้นอยู่ที่เสี่ยวซี แต่ดูเหมือนว่าเสี่ยวซีจะมอบสิ่งนี้ให้ท่านเป็นของขวัญ นั่น…เป็นเพราะเสี่ยวซีใสซื่อเกินไป และไม่รู้ว่าป้ายเหล็กตระกูลถังมีค่ามากเพียงใด ถังปินมิได้ต้องการล่วงเกินและหวังว่าท่านผู้บัญชาการหลินจะสามารถคืนป้ายเหล็กตระกูลถังชิ้นนั้น”
“โอ้?”
หลินมู่อวี่พลันหยิบป้ายเหล็กตระกูลถังออกมาจากถุงสรรพสิ่ง “คุณชายถังวางแผนจะจัดการกับป้ายเหล็กตระกูลถังชิ้นนี้อย่างไร?”
“ข้าจะนำมันกลับไปด้วย ซึ่งเป็นของที่ควรจะอยู่ในเมืองชีไห่”
“ทว่าเสี่ยวซีมอบให้ข้า เช่นนั้นจะไม่เป็นการทรยศเสี่ยวซีหรือ?” ดวงตาหลินมู่อวี่เต็มไปด้วยความยั่วยุ “ในเมื่อชางหลานมอบป้ายเหล็กตระกูลถังแก่เสี่ยวซี นั่นก็หมายความว่าเขาได้มอบอำนาจทั้งหมดที่เหรียญนี้แก่เสี่ยวซีด้วย ดังนั้นข้าคงต้องคืนให้เสี่ยวซีเท่านั้น มิใช่ท่าน”
ถังปินขมวดคิ้ว“หลินมู่อวี่ข้าหวังว่าท่านจะเข้าใจถึงคุณค่าของป้ายเหล็กตระกูลถัง…ผู้ที่ครอบครองมันจะสามารถบัญชาการทหารห้าหมื่นนายในมณฑลชีไห่ อำนาจของป้ายเหล็กนี้มีมากเสียยิ่งกว่าเหรียญตรามังกรทอง ท่านคิดหรือว่าข้าจะปล่อยให้มันตกอยู่ในมือคนนอก?”
หลินมู่อวี่ยิ้ม “เช่นนั้นข้าจะมอบมันแก่เสี่ยวซี”
“แล้วหากข้าพูดว่าไม่ล่ะ?”
ถังปินพูดอย่างจริงจัง “เสี่ยวซีผู้อยู่ในฐานะองค์หญิงแห่งเมืองชีไห่มิได้เข้าใจสิ่งใดเลย แล้วยังมอบป้ายเหล็กตระกูลถังให้แก่ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง นางไม่คู่ควรกับป้ายเหล็กนี้! ข้าต้องนำมันกลับไปให้ท่านปู่ นี่เป็นเรื่องภายในตระกูลถังแห่งเมืองชีไห่ หลินมู่อวี่ ข้าจะย้ำอีกครั้ง นี่เป็นเรื่องภายในตระกูลถัง อย่าเข้ามายุ่ง!”
หลินมู่อวี่เป็นผู้ที่อ่อนนอกแข็งใน เขากล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “เสี่ยวซีเป็นสหายของข้า หากท่านต้องการขโมยสิ่งของของสหาย ข้าคงไม่มีทางเห็นด้วย! เสี่ยวซี เจ้าต้องการยกป้ายเหล็กตระกูลถังแก่เขาหรือไม่?”
“มู่มู่ ข้า…”
ถังเสี่ยวซีกัดริมฝีปากก่อนจะมองไปที่ถังปิน “พี่ใหญ่ ข้าจะคืนป้ายเหล็กตระกูลถังให้กับท่านปู่เอง ท่านมิต้องลำบากหรอก”
ถังปินขมวดคิ้ว “เสี่ยวซี เจ้ายังเป็นเด็ก และไม่เข้าใจโลกภายนอก ข้าในฐานะพี่ใหญ่จำเป็นต้องสอนเจ้าเรื่องมารยาทในการโต้ตอบ และการเลือกคบสหายเสียแล้ว”
จู่ๆ หลินมู่อวี่ก็ตบโต๊ะเสียงดังพร้อมคำราม “ถังปิน! พูดอีกสิหากแน่จริง!”
ถังปินพลันยิ้มแล้วยกแขนขึ้น “หลินมู่อวี่ต้องการจะต่อต้านข้าหรือ? นายพลหลี่ เรียกทหารมา! บอกพวกเขาว่าหลินมู่อวี่จากสี่วีรบุรุษแห่งเมืองหลันเยี่ยนและนายพลท่านอื่นต้องการเป็นศัตรูกับถังปินผู้นี้!”
นายพลหลี่ผิวปากทันที ก่อนจะมีกลุ่มคนเคลื่อนไหวออกมาจากชายป่า เสียงเท้าม้าดังก้องขณะที่ทหารม้าพันนายปรากฏตัวบนถนน แต่ละนายมีจิ้งจอกอัคนี้บนไหล่ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำตระกูลถังแห่งเมืองชีไห่
“ที่แท้ก็นำกองทัพมาด้วย…”
หลินมู่อวี่ยกมือขึ้นขณะที่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่แปลกใจเหตุใดจึงท่าทางหยิ่งยโสถึงเพียงนี้ หากรู้ว่าจะลงเอยเช่นนี้ข้าคงนำองครักษ์อวี้หลินมาด้วย จะดูสิว่าตระกูลถังแห่งเมืองชีไห่นั้นแข็งแกร่งดังที่ตำนานว่าไว้หรือไม่”
ถังปินเผยยิ้มจางๆ “น่าเสียดายที่ผู้บัญชาการหลินมิได้นำกองทำมาด้วย น่าเสียดายอย่างแท้จริง”
“ทว่าข้ายังมิได้ยอมแพ้เรื่องป้ายเหล็ก เช่นนั้นท่านจะทำอย่างไร?”
หลินมู่อวี่ลุกขึ้นยืนแล้วหันไปวางป้ายเหล็กประจำกูลถังลงบนฝ่ามือถังเสี่ยวซีพร้อมพูดทั้งรอยยิ้ม “ป้ายเหล็กนี้เป็นของเสี่ยวซีแล้ว ถังปิน หากท่านขโมยมันจากมือเสี่ยวซีด้วยกองทัพที่นำมา เช่นนั้นก็เท่ากับการขโมยทหารห้าหมื่นนายของเมืองชีไห่ที่เสี่ยวซีควบคุมใช่หรือไม่?”
ถังปินกล่าวอย่างเย็นชา “เสี่ยวซีเป็นน้องสาวคนเล็กของข้า หยุดยั่วยุให้เราแตกคอกันเสียที”
หลินมู่อวี่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เป็นเช่นนั้นหรือ? ถังปิน ท่านเกือบจะได้เป็นผู้สืบทอดแห่งเมืองชีไห่อยู่แล้ว เหตุใดจึงโลภมากเช่นนี้? จะไม่ยอมปล่อยมือจากป้ายเหล็กตระกูลถังที่เสี่ยวซีถือครองอยู่อย่างนั้นรึ?”
“หยุดพูดไร้สาระเดี๋ยวนี้! อย่ามาใส่ร้ายข้า!”
“ใส่ร้ายหรือ?” หลินมู่อวี่เลิกคิ้วข้างหนึ่ง “กล้าพูดไหมว่าท่านไม่เกรงกลัวความรักที่ชางหลานมีต่อเสี่ยวซีจะทำให้ท่านสูญเสียมรดกในฐานะคุณชาย? กล้าพูดไหมว่าท่านมิได้กังวลว่าเสี่ยวซีจะเป็นภัยคุกคามตน?”
“เจ้า…”
ใบหน้าถังปินแดงก่ำด้วยความโกรธและมิสามารถโต้แย้งสิ่งใดได้อีก นายพลหลี่ด้านหลังควบม้าเข้ามาพร้อมชักกระบี่ “คุณชายมิต้องพูดสิ่งใดกับมันอีก เพียงสั่งทหารม้าจู่โจมและสังหารไอ้หมาเลวตัวนี้เสีย โดยให้เหตุผลว่ามันเอาป้ายเหล็กตระกูลถังไปอย่างไม่ยุติธรรม เช่นนั้นแล้วแม้แต่ฝ่าบาทก็มิอาจพูดสิ่งใดได้”
ถังเสี่ยวซีรีบกางแขนขวางหน้าหลินมู่อวี่ ใบหน้าของนางโกรธเกรี้ยวขณะที่ตะโกนเสียงดัง “หลี่เหลียนอี้ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง บังอาจต่อต้านข้ารึ?”
หลี่เหลียนอี้ตะลึง
ขณะเดียวกันก็มีเสียงกีบม้าดังมาจากด้านหลัง ไม่นานกองทัพทหารอวี้หลินก็ปรากฏตัวขึ้น ผู้บัญชาการชักกระบี่ขึ้นพร้อมตะโกนจากระยะไกล “มีกองทัพนิรนามบุกเข้าเมืองหลันเยี่ยน ทหาร! เตรียมพร้อมรบ!”
…
มิใช่ใครอื่น นอกจากผู้บัญชาการกองพันและยังเป็นครูฝึกระดับดาวสีทองแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์…จางเหว่ย!
ทหารอวี้หลินนับพันพุ่งเข้ามา ทว่าหลินมู่อวี่พลันยกมือขึ้นและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านจางเหว่ยอย่าเพิ่งรีบร้อน นี่เป็นเพียงความเข้าใจผิดกัน ฮ่าๆ”
หลินมู่อวี่ดีใจ จางเหว่ยมาทันเวลาพอดีราวกับสวรรค์เมตตา
จางเหว่ยเข้าใจถึงสถานการณ์ทันทีก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น “โอ้ เป็นคุณชายถังปินเองหรือ ข้าก็นึกสงสัยว่าเป็นผู้ใด…ทว่าคุณชายถังปิน การนำกองทัพจำนวนมากเพียงนี้เข้ามาในเมืองหลวง จำต้องรายงานก่อนขอรับ ทหารรักษาพระองค์ของเรายังมิได้รับรายงานเรื่องทหารม้าหนึ่งพันนายของคุณชายถังปินเลย มีสิ่งใดผิดพลาดหรือไม่?”
ถังปินกัดฟันแน่นขณะที่ประสานมือคำนับ “ท่านจางเหว่ย มันเป็นเรื่องผิดพลาดอย่างแท้จริง ทหารม้าหนึ่งพันนายเหล่านี้ถูกส่งมาจากเมืองชีไห่เพื่อรับข้ากลับ จึงไม่มีเวลารายงานแก่ทหารรักษาพระองค์ ท่านจางเหว่ยโปรดให้อภัยเรื่องนี้ด้วย”
ริมฝีปากจางเหว่ยยกขึ้นและกล่าวว่า “โอ้ เป็นความผิดพลาดจริงหรือ ข้านึกว่าคุณชายถังปินต้องการจะต่อต้านท่านหลินมู่อวี่เสียอีก ท่านหลินมู่อวี่เพิ่งได้รับสมญานามว่าเป็นสี่วีรบุรุษแห่งเมืองหลันเยี่ยน ดังนั้นหากใครคิดต่อต้านท่านหลินมู่อวี่ ก็จะเป็นการต่อต้านฝ่าบาทด้วย เป็นเรื่องดีที่มันมิได้เป็นเช่นนั้น หากคุณชายกำลังจะเคลื่อนทัพไป อาวุโสจางผู้นี้ไม่ส่งล่ะ ยังมีหน้าที่ต้องลาดตระเวนต่อ”
ถังปินพยักหน้ารับ “ขอรับ แล้วเจอกันใหม่!”
“ข้าไม่ส่งล่ะ!”
แม้ว่าถังปินจะไม่เต็มใจ แต่ก็หมดโอกาสแล้วครานี้ จางเหว่ยนำทหารม้าชั้นยอดจำนวนหนึ่งพันนายเข้ามา ซึ่งแข็งแกร่งไม่แพ้ทหารม้าหนึ่งพันนายจากเมืองชีไห่เลย แทบไม่ต้องพูดถึงหลินมู่อวี่ที่มีพลังมหาศาล อีกทั้งถังเสี่ยวซีก็ยังเป็นคนโปรดของถังหลาน เรื่องนี้มันใหญ่เกินไปและไม่มีผลดีต่อเขาสักนิด
…
เมื่อเห็นคนของถังปินเดินจากไป เสี่ยวซีก็กัดริมฝีปากแน่นก่อนกล่าวว่า “มู่มู่ ข้าโทษจริงๆ สำหรับเรื่องครานี้…”
หลินมู่อวี่เผยยิ้มจางๆ ขณะที่จับมือเสี่ยวซี “มีสิ่งใดต้องขอโทษสำหรับมิตรภาพของเราอีกหรือ…แต่ถังปินผู้นี้จองหองเกินไป มณฑลชีไห่คงได้ล่มสลายหากมีผู้ปกครองเช่นนี้ เสี่ยวซี…เจ้ามิต้องการชิงตำแหน่งผู้สืบทอดเมืองเชียงไห่มาหรือ?”
“ทว่าข้า…”
ดวงตาคู่งามของถังเสี่ยวซีหมองลงอย่างหมดหนทาง
………………………………….