พายุหิมะส่งเสียงหวีดหวิว
บนผืนน้ำแข็ง ฝูงชนยังคงหลั่งไหลไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง
แม้อากาศโดยรอบจะหนาวเหน็บ แต่ขณะเดียวกันก็ปรากฏการต่อสู้ขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว
ทุกคนต้องการจะผ่านที่นี่ไปให้ได้ แม้จะเร็วขึ้นแม้เพียงน้อยก็ตาม
ขณะนี้ ซูเซี่ยเอ๋ออยู่ด้านหลังสุด
เธอยืนอยู่เบื้องหน้าร่างศพและเฝ้าสังเกตมันอย่างเงียบๆ
โดยในเวลานี้ มากกว่าครึ่งของร่างศพได้จมลงไปในผืนน้ำแข็งแล้ว
ซูเซี่ยเอ๋อมองดูศพที่ค่อยๆจม ในจิตใจบังเกิดความสงสัยขึ้นอย่างเงียบๆ
เธอเหยียบลงบนผืนน้ำแข็ง
น่าแปลกจัง พื้นน้ำแข็งนี่ มันก็แข็งมาก แล้วร่างกายจะจมลงไปได้ยังไง?
ซูเซี่ยเอ๋อวาดมือ พร้อมกับคทาที่ปรากฏออกมา
เธอจี้คทาไปยังทิศทางของศพ ปากเอ่ยกล่าว “จำกัดแต้มพลังวิญญาณ”
แต่คทายังคงนิ่งเงียบ
ร่างกายมิได้ตอบสนอง
ซูเซี่ยเอ๋อลอบถอนหายใจบรรเทาความตึงเครียดลง
เพราะไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใด ก็ล้วนมีแต้มพลังวิญญาณอยู่ในกาย แต่ร่างศพนี้กลับไม่มี
หากอ้างอิงตามตรรกกะดังกล่าว ก็พอที่จะสรุปได้ว่าชายคนนี้ยังไม่ตายลงจริงๆ แต่ถูกส่งกลับไปยังอัลเบอัส
ท่ามกลางผืนน้ำแข็ง พายุหิมะดูจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
เอาล่ะ นี่ก็ได้เวลาที่เธอจะติดตามกลุ่มฝูงคนขนาดใหญ่ก่อนหน้านี้ไปได้แล้ว ในเมื่อคนที่ถูกฆ่าไม่ได้ตายลงจริงๆ เรื่องการต่อสู้คงไม่จำเป็นต้องยั้งมือ จะทำอะไรๆคงง่ายดายขึ้น
แต่หลังจากที่เริ่มมุ่งหน้าต่อไปเพียงไม่กี่ก้าว ซูเซี่ยเอ๋อก็เริ่มลังเลอีกครั้ง
ความรู้สึกอันลึกลับและไร้ที่สิ้นสุดสะท้อนไปมาอยู่ในจิตใจของเธอ
เธอคือผู้สืบทอดของทะเลเลือด ผู้ที่ได้รับการฝึกฝนอย่างพิถีพิถันจากจอมมารทะเลเลือด ตนจึงสามารถมีความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตอย่างเป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร
… มันดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างผิดปกติจริงๆนะ
ซูเซี่ยเอ๋อหยุดและเดินกลับไปที่ร่างศพ
ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่ลมหายใจ ร่างศพเกือบทั้งหมดก็แทบจะจมลงไปใต้แผ่นน้ำแข็งแล้ว
เฝ้ามองไปยังฉากแปลกๆนี้ ซูเซี่ยเอ๋อก็กัดฟันของเธอ
ไหนๆก็สงสัยและลงมือตรวจสอบไปนิดๆหน่อยๆแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ขอตรวจแบบละเอียดๆไปเลยก็แล้วกัน
เธอยกคทาขึ้น และชี้ไปยังร่างศพ “ทาสรับใช้กายโลหิตเอ๋ย จงน้อมรับคำสั่งของนายเหนือแห่งทะเลเลือด!”
นี่เป็นเทคนิคมนตราทะเลเลือดระดับสูง มันสามารถใช้เลือดควบคุมร่างกาย และบังคับให้ลุกขึ้นกลับมาต่อสู้อีกครั้งได้!
อย่างไรก็ตาม เนื่องเพราะภายในร่างกายมิได้มีจิตวิญญาณหลงเหลืออยู่อีกต่อไป ความทรงจำของทาสรับใช้กายโลหิตจึงขาดหายไปมาก ดังนั้นเขาจึงใช้ได้เพียงหนึ่งในสกิลที่มีติดตัวมาตลอดทั้งชีวิตก่อนตายได้เท่านั้น
คทาสั่นเล็กน้อย
เทคนิคมนตราเริ่มขับเคลื่อน
ร่างศพที่ถูกแช่อยู่ในผืนน้ำแข็งค่อยๆขยับไหว
มันพยายามดิ้นรนอย่างเดือดดาลในน้ำแข็ง ไม่ช้าก็สามารถทำลายน้ำแข็งโดยรอบ และทะลุตัวออกมาได้ในที่สุด
ร่างศพค่อยๆผุดลุกขึ้นอย่างช้าๆ และเดินมาคุกเข่าลงเบื้องหน้าซูเซี่ยเอ๋อ
นับจากช่วงเวลานี้ไป มันจักจงรักภักดี และซื่อสัตย์ต่อเธอเพียงผู้เดียว
“โจมตีออกไปด้านหลังซะ”
ซูเซี่ยเอ๋อจ้องมองร่างศพ เอ่ยสั่งการจากในจิตใจอย่างเงียบๆ
ร่างศพหวีดร้องออกมา ขณะเดียวกันก็เหวี่ยงกำปั้นวูบกลับไป พร้อมระเบิดเปลวไฟสลัวๆปะทะออกไปยังทิศทางเบื้องหลังเขา
ประกายไฟกระพริบไหวท่ามกลางพายุหิมะ
ซูเซี่ยเอ๋อเฝ้ามองดูฉากนี้อย่างเงียบๆ ทั้งคนทั้งร่างรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบวิ่งผ่านแทรกเข้ามาในหัวใจ
ใช่แล้วล่ะ คนๆนี้เดินทางมากับทุกคนด้วยกันตลอด หลังจากที่ผ่านพ้นปัญหาแล้วปัญหาเล่า จนกระทั่งในที่สุดก็มาถึงทุ่งผืนน้ำแข็งแห่งนี้
แท้จริงแล้วตัวเขาเป็นผู้ฝึกเพลงหมัดธาตุไฟ
ตามกฏของเทคนิคมนตราทะเลเลือด ‘ร่างศพปลอมๆ’จะไม่สามารถถูกควบคุมได้
มีเพียงศพของสิ่งมีชีวิตจริงๆเท่านั้น ที่จะถูกทำให้กลายเป็นทาสของทะเลเลือดได้!
-หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ … นี่คือศพคนจริงๆ!
เขาได้ตกตายลงที่นี่ และไม่ได้กลับไปยังอัลเบอัส!
ว่าแต่แล้วเรื่องแต้มพลังวิญญาณล่ะ สมควรที่จะอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าอย่างไร?
แต่ทันใดนั้นซูเซี่ยเอ๋อก็พลันนึกไปถึงเรื่องที่เมฆหมอกไฟสีแดงลอยออกมาจากร่างศพ และผลุบเข้าไปในร่างของอีกหลายๆคนที่สังหารเขาก่อนหน้านี้
‘มันอบอุ่นมาก’ — เจ้าสิ่งนี้ที่คนกลุ่มนั้นพูดถึงคงจะเป้นแต้มพลังวิญญาณแน่ๆ
พวกเขาทั้งยิ้มทั้งหัวเราะ และเริ่มมุ่งหน้าลึกเข้าไปในทุ่งผืนน้ำแข็ง
ซูเซี่ยเอ๋อเงียบไปสักพักหนึ่ง
นี่มันไม่ถูกต้อง
ในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ชายคนนี้แข็งแกร่งมาก ดังนั้นเขาจึงสมควรที่จะครอบครองแต้มพลังวิญญาณพอสมควร
แต่หลังจากที่เขาได้เผชิญกับการต่อสู้หลายครั้งหลายคราเข้า อาการบาดเจ็บก็เริ่มสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายก็ล้มลงในพื้นที่ทุ่งน้ำแข็งในที่สุด
แต่พวกที่สังหารเขา กลับได้รับแต้มพลังวิญญาณไปเพียงแค่เศษเสี้ยวเท่านั้น
ถ้าอย่างงั้นแล้วแต้มพลังวิญญาณส่วนใหญ่ที่เขามีมันหายไปที่ไหนกัน?
ใครที่เป็นคนเอาแต้มพลังวิญญาณส่วนใหญ่ของเขาไป?
ซูเซี่ยเอ๋อจมลงสู่ความคิดอย่างเงียบๆ
“สาวน้อย ดูเหมือนว่าเธอจะสังเกตเห็นถึงอะไรบางอย่างสินะ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางพายุหิมะ
ซูเซี่ยเอ๋อหันขวับกลับไปทันที
เห็นแค่เพียงกลุ่มคนที่พึ่งจะจากไป ได้กลับมายังที่นี่อีกครั้ง
พวกมันคือกลุ่มคนกลุ่มเดียวกันกับที่สังหารชายคนนี้
พวกเขาประสานงานกันได้อย่างยอดเยี่ยม เคลื่อนไหวกันได้อย่างรวดเร็ว จนเหยื่อทุกคนไม่มีเวลาตอบโต้ และถูกสังหารลงในที่สุด
ซูเซี่ยเอ๋อเฝ้ามองดูพวกเขาอย่างระมัดระวัง ขณะเดียวกันก็ชี้หัวคทาไปยังเบื้องหน้า และค่อยๆขยับก้าวถอยหลังไปอย่างเงียบๆ
“คุ๊ๆๆ ดูท่าทีระมัดระวังนั่นสิ ฉันคงต้องบอกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ทั้งสวยทั้งฉลาดจริงๆ บอกตามตรงเลยนะว่าฉันชอบเธอ” อีกเสียงหนึ่งกล่าว
ว่าแล้วทั้งหมดก็กระจายตัวออกไป และล้อมกรอบซูเซี่ยเอ๋อ
ชายหัวหน้าที่ดูบึกบึนแข็งแกร่งคนหนึ่ง ก้าวจากในวงล้อม เข้ามาเผชิญหน้ากับซูเซี่ยเอ๋อ
“อันที่จริงแล้ว … ฉันล่ะสงสัยจริงๆว่าทำไมคนที่โดดเด่นอย่างเธอ ถึงยังไม่ได้ดาวโหลดระบบลงในร่างซักที” เขากล่าว
ซูเซี่ยเอ๋อจิกริมฝีปาก ทว่ามิได้ตอบสิ่งใด
วิสัยทัศน์ของเธอตกอยู่บนจอม่านแสง
ที่ปรากฏบรรทัดตัวอักษรขนาดเล็กขึ้น
“คำเตือน!”
“คำเตือน!”
“เนื่องจากคุณยังคงปฏิเสธที่จะดาวโหลดเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : เชื้อไฟ อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเชื้อไฟจึงได้ทำการยืนยันว่าคุณเป็นศัตรู”
“และคุณกำลังถูกล้อมกรอบโดยพวกที่ดาวโหลดเชื้อไฟ”
“นอกจากนี้ เชื้อไฟก็ยังกำลังเพ่งเล็งมาที่คุณ และเพิ่มกำลังรุนแรงมากยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
“ทั้งนี้ทั้งนั้น ระบบกำลังทำการต่อต้านการบุกรุกของเชื้อไฟ โดยระยะเวลาจะขึ้นอยู่กับแต้มพลังวิญญาณที่คุณได้สั่งสมเอาไว้”
“เวลาที่เหลือ : 19 นาที 57 วินาที”
นั่มไม่ใช่เวลานานเลยนะ!
ซูเซี่ยเอ๋อลองหยั่งเชิงเอ่ยถาม “ระบบ แล้วถ้าแต้มพลังวิญญาณของฉันหมดลง มันจะเกิดอะไรขึ้น”
“ระบบจะไม่สามารถช่วยปกป้องคุณได้อีกต่อไป และเชื้อไฟก็จะเข้ามาบุกรุกแทรกแทรงระบบ และคุณจะต้องถูกบังคับให้เข้าสู่วิถีมาร” ระบบตอบกลับ
ซูเซี่ยเอ๋อชะงักงัน
นั่นหมายความว่า หากแต้มพลังวิญญาณหมด ตัวเองก็จะกลายเป็นมารอย่างงั้นหรอ?
“แล้วสถานะของคนพวกนี้ล่ะ เขาได้เข้าสู่วิถีมารรึยัง?”
“ไม่ อย่างไรก็ตาม พวกเขาอยู่ในสถานะเตรียมพร้อมที่จะตายแล้ว แต่นั่นก็เป็นเพราะเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online ยังไม่ได้เริ่มต้นขึ้นเสียที ดังนั้นเชื้อไฟจึงยังคงอนุญาตให้พวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ชั่วคราว แต่ขณะเดียวกันก็ต้องช่วยเชื้อไฟค้นหาแหล่งพลังงานเพิ่มมากยิ่งขึ้นกว่านี้ไปด้วยในตัว”
“เมื่อไหร่ก็ตามที่ระบบของราชามารตื่นขึ้นมา จิตวิญญาณเหล่านี้ก็จะกลายเป็นอาหารของระบบ”
“ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?”
“เนื้องเพราะเชื้อไฟดูเหมือนว่าจะไม่มีมีความชมชอบใดๆสำหรับพวกเขา พวกเขาไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะกลายเป็นมาร และได้รับความไว้วางใจมากพอจากเชื้อไฟ”
“โปรดจดจำเอาไว้ให้ดี ว่าพวกเขากำลังไล่ตามหาแต้มพลังวิญญาณสำหรับเชื้อไฟอยู่ ดังนั้นความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาจึงเพิ่มพูนขึ้นโดยฝีมือของเชื้อไฟ”
ซูเซี่ยเอ๋อมองไปที่คนเหล่านั้น
ท่าทีของพวกเขาดูจะกำลังตื่นเต้นกันมาก แม้กระทั่งบนใบหน้าก็ฟุ้งไปด้วยเจตนาฆ่าและความปรารถนาที่พลุ่งพล่านออกมาจากในจิตใจ
ในความเป็นจริงแล้ว พฤติกรรมของพวกเขาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วถึงสิ่งหนึ่ง
นั่นก็คือ พวกเขาน่ะมันมีความชั่วร้าย(มาร)อยู่ในตนเองอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องเข้าสู่วิถีมารอีกต่อไป
ซูเซี่ยเอ๋อสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังของคนเหล่านั้น เธอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
นี่มันก็เป็นเวลานานมากแล้ว ที่เธอไม่ได้พบเจอกับสถานการณ์อันตรายแบบนี้
ชายหัวล้านคำราม “ทุกคน! ฆ่านังลูกเจี๊ยบนี่ซะ!”
“เฮ้ๆ ฆ่าทันทีเลยหรอ ช่วยอ่อนโยนกับเธอก่อนจะได้ไหม เก็บเธอไว้เล่นกันก่อนไม่ดีกว่าหรือ?”
บางคนอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา
“ไอ้ลามกนี่ พวกเรารู้นะว่าแกคิดอะไรอยู่”
แล้วเสียงหัวเราะก็ระเบิดขึ้นโดยรอบ
แต่ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน หลายๆคนก็กำลังลอบมองดูปฏิกิริยาตอบสนองของซูเซี่ยเอ๋ออยู่
เพราะบางครั้ง การที่ผู้หญิงตัวคนเดียวถูกกลุ่มคนจำนวนมากรายล้อม มันอาจสร้างความหวาดกลัวในทางจิตวิทยา จนไม่สามารถลงมือต่อสู้ได้อย่างเต็มที่ได้
ทว่าพวกเขาก็ต้องผิดหวัง
เพราะซูเซี่ยเอ๋อกลับยังคงยืนนิ่ง คล้ายกับว่าเธอไม่ได้ยินสิ่งใดเลย
ไร้ซึ่งแรงกระเพื่อมไหวของความรู้สึกใดๆ ภายในดวงตาที่เย็นชาของเธอ
ซูเซี่ยเอ๋อยกคทาขึ้น ปากเอ่ยเสียงกระซิบ “กำบังทะเลเลือด”
สิ้นเสียง ก็บังเกิดชั้นคลื่นทะเลสีเลือดที่กระเพื่อมไหวอย่างต่อเนื่องผุดขึ้นมากลางอากาศ พวกมันควบรวมกันเป็นผ้าไหมเส้นยาวที่มีสีแดงสด
ไหมโลหิตว่ายวนไปมารอบๆร่างของซูเซี่ยเอ๋อ สร้างกำบังป้องกันขึ้น
ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามกำลังเล่นจิตวิทยาน่ารังเกียจ แต่ซูเซี่ยเอ๋อกลับฉวยโอกาสนั้น เลือกที่จะใช้เทคนิคป้องกันตนเองก่อนเป็นอันดับแรก
เธอยังคงร่ายคาถามนตรา และพยายามเปิดใช้งานชุดคาถาเทคนิคมนตราต่อไป
รอยยิ้มของกลุ่มคนที่รายล้อมค่อยๆหุบลง
เพราะพวกเขาพบว่าหญิงสาวยังคงสงบ แถมยังเตรียมพร้อมที่จะเริ่มต่อสู้กันอย่างจริงจังอีกด้วย
“ทุกคน! ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นผู้ใช้เทคนิคมนตราล่ะ! จงอย่าให้เธอมีเวลาเพียงพอในการร่ายคาถา! ” ชายหัวล้านเร่งตะโกน
“รีบไป! กำจัดเธอซะ!”
ภายใต้การนำของชายหัวล้าน 7-8คนที่ถูกเสริมแกร่งก็พรวดเข้าหาซูเซี่ยเอ๋อ
ทว่าซูเซี่ยเอ๋อกลับยังคงไม่มีทีท่าว่าจะตระหนักถึงมัน ที่เธอทำก็เพียงแค่สวดคาถาต่อไป และเตรียมการขั้นต่อไป
พร้อมกันกับคาถาของเธอ แสงระยิบระยับก็สาดออกมาจากตัวคทา และจมลงไปในแผ่นน้ำแข็งใต้ฝ่าเท้าของซูเซี่ยเอ๋อ
ไม่รีรอให้พวกวิถีมารได้เข้ามาใกล้ ซูเซี่ยเอ๋อก็วาดคทาออกไป
ท่ามกลางพายุหิมะ ได้ยินเพียงเสียงกระซิบ
“คลื่นโลหิตเอ๋ย ข้าขออัญเชิญเจ้า!”
ว่าแล้ว เธอก็แทงปลายคทาลงกับพื้นน้ำแข็งอย่างแรง
ปัง!!
บังเกิดคลื่นของทะเลเลือดพุ่งทะยานขึ้นไปสู่ฟากฟ้า
หลายคนที่เสริมแกร่งตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว พริบตาที่คลื่นทะเลเลือดปรากฏ พวกเขาก็ถอยฉากกลับไปในทันที
ทั้งหมดยืนอยู่บนหินยักษ์ในสถานที่ห่างไกล เฝ้ามองไปยังซูเซี่ยเอ๋ออย่างรอบคอบ
เห็นแค่เพียงรอบตัวของซูเซี่ยเอ๋อในรัศมี 10 เมตร ทุ่งน้ำแข็งอันเย็นเยียบเมื่อครู่ ได้แปรสภาพกลายเป็นแอ่งเลือดที่กำลังเดือดพล่าน
ขณะที่ซูเซี่ยเอ๋อยืนอยู่เงียบๆใจกลางแอ่งเลือด สาดสายตาเย็นชามองมายังพวกเขา
“พวกเราน่ะเป็นมืออาชีพจากแต่ละมุมโลก มีประสบการณ์ต่อสู้มามากมาย แล้วผู้หญิงอย่างเธอคิดว่า กับดักที่เห็นอยู่โต้งๆนั่น จะทำให้พวกเราเข้าไปติดกับเหรอ?” ชายตัวใหญ่ที่มีรอยแผลเป็นบนหัวหัวเราะออกมา
แต่ซูเซี่ยเอ๋อก็ไม่สนใจคำของเขาเลย
เธอประกบสองมือกุมคทา ขณะเดียวกันก็เริ่มบรรเลงบทสวดอ้อนวอนคลื่นโลหิต “สถานที่ใดมีข้า ที่แห่งนั้นย่อมแปรสภาพเป็นทะเลเลือดอันไร้ที่สิ้นสุด”
เทคนิคมนตราทั้งหมดที่จำเป็นก็ถูกจัดวางได้สำเร็จแล้ว และคาถานี้คือเป้าหมายสูงสุดของเธอ!
ด้วยคาถานี้ของซูเซี่ยเอ๋อ ก็บังเกิดศีรษะยักษ์ผุดขึ้นมาจากแอ่งเลือด
มันคือยักษ์ที่ทั้งตนทั้งร่างเป็นสีแดงฉ่ำ
แต่ดูเหมือนว่าจะยากเย็นไม่น้อย กว่าที่มันจะผุดขึ้นมาได้
นั่นเป็นเพราะแอ่งทะเลเลือดที่มีรัศมีเพียง 10 กว้างเพียง 20 เมตร มันเล็กเกินไป เล็กเกินกว่าขนาดหัวของมันจะผุดออกมาได้!
โฮกกกก!
ยักษ์สีเลือดคำรามคลั่ง
มันผลุบหายเข้าไปในทะเลเลือดอีกครั้ง ก่อนที่คราวนี้จะยื่นสองมือของตนออกมา และพยายามแหวกแอ่งเลือดให้แยกออกจากกัน!
ช่องว่างของแอ่งเลือดพลันขยายตัวกว้างขึ้น
ไม่นานนัก ตลอดทั้งทุ่งน้ำแข็งทั่วบริเวณจากแอ่งเลือด ก็แปรสภาพขยายกว้างออกเป็นทะเลสาบเลือด!
ดูราวกับมอนสเตอร์ในตำนานจากยุคก่อนประวัติศาสตร์
“แอสทารอส ทำไมเจ้าถึงเป็นคนเลือกมาในคราวนี้?” ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยถาม
ยักษ์ใหญ่ยืนขึ้นบดบังซูเซี่ยเอ๋อเอาไว้เบื้องหลัง ปากอ้าขยับเปล่งเสียงสะท้านสะเทือนโลก “นั่นเพราะความตายและความคลุ้มคลั่งกำลังจะมาเยือน ซูเซี่ยเอ๋อ จงระวังตัวเอาไว้ให้ดี เวลานี้พวกเขากำลังเฝ้ามองเจ้าอยู่ในความว่างเปล่า”
พอได้ฟัง หัวใจของซูเซี่ยเอ๋อก็หม่นทะมึนลงทันที
แอสทารอสเป็นหนึ่งในไพ่หลักของสำรับทะเลเลือด และมันครอบครองลางสังหรณ์อันน่าตื่นตะลึงยิ่ง ดังนั้นคำเตือนของมันย่อมมิใช่สิ่งไร้เหตุผล
ลางสังหรณ์ของมันสัมผัสได้ถึงอันตรายอะไรบางอย่าง
นี่หมายความว่าฉันจะตาย? หรือไม่ก็กลายเป็นมารอย่างงั้นหรอ?
หัวใจของซูเซี่ยเอ๋อค่อยๆหนักอึ้ง
เธออดไม่ได้ที่จะมองไกลออกไป
เห็นแค่เพียง7-8คนที่ซ่อนตัวอยู่ไกลลิบ
พวกเขารวมตัวกัน และกำลังทำบางสิ่งที่น่าฉงน
เพราะตอนนี้ ทั้งหมดต่างก็กำลังเอามือวางลงบนศีรษะของชายหัวล้าน
“เร่งมือเร็วกว่านี้อีกสิ อย่ามากั๊กมันไว้ในเวลาแบบนี้จะได้ไหม!!”
ชายหัวล้านที่เฝ้ามองยักษ์เลือดแอสทารอส สีหน้าของเขาฟุ้งไปด้วยความตึงเครียด
ราวกับตระหนักได้ถึงบางสิ่ง ชายแกร่งหัวล้านอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา “เฮ้ย มันยังไม่พอเว้ย! ฉันต้องการแต้มพลังวิญญาณที่พวกแกเก็บเอาไว้ให้มากกว่านี้! ฉันถึงจะสามารถร้องขอให้เชื้อไฟส่ง ‘อสูรกาย’ ลงมาได้!”