บทที่ 238 วางแผน (2)
ตอนนี้ค่ายกลลับวิหคทะยานมีหวงซือเฉิงที่เป็นผู้นำในระดับเบญจลักษณ์เป็นผู้นำกลุ่มใช้ออก สภาวะคุกคามคนยิ่งกว่าเดิม จุดแสงสีทองรวมตัวเป็นพายุ ส่งเสียงพลางพัดกระแสอากาศใส่ลู่เซิ่ง
ในกระแสอากาศ แสงสีทองนี้มีอักขระตัวใหญ่หลายตัวส่องแสงระยิบระยับ เดี๋ยวสูญหายเดี๋ยวปรากฏ
“นี่เป็นค่ายกลลับวิหคทะยานของสำนักเบิกอาทิตย์ เป็นความสามารถที่ดี! ใช้คำพูดดักลู่เซิ่งจากสำนักมารกำเนิดไว้ก่อน จากนั้นก็ลงมือพร้อมกันโดยใช้พลังของคนหมู่มาก” หลี่ซิ่วอิงแห่งหุบเขาน้ำแข็งกล่าวอย่างเย็นชา
“ศิษย์พี่ใหญ่ สภาพการณ์แบบนี้เหตุใดพวกเราไม่ลงมือช่วยเหลือสำนักมารกำเนิด อย่างไรสหายลู่ก็มีพลังน่าทึ่ง สามารถร่วมมือกับพวกเราชิงอันดับที่สูงกว่านี้ได้โดยสมบูรณ์” เยวี่ยเซิ่งหย่าอาศัยจังหวะเข้าใกล้แนะนำเสียงแผ่วต่ำ
“สายไปแล้ว ข้าเองก็มีความคิดแบบนี้ แต่เกิดค่ายกลลับวิหคทะยานเป็นรูปเป็นร่าง ผู้ใดลงมือก็จะกระตุ้นการระเบิดอย่างรุนแรง คนที่อยู่ที่นี่ไม่มีใครมีความมั่นใจพอจะรับการโจมตีนี้ได้” หลี่ซิ่วอิงส่ายหน้าเอ่ย
ตอนนี้คนของสำนักจุดพิสดารกัดฟันพลางจ้องมองเหตุการณ์ คาดหวังว่าลู่เซิ่งจะรับการโจมตีนี้ไม่ได้
พายุจุดแสงพัดใส่ลู่เซิ่ง
“น่าสนใจ ใช้พลังของเยื่อดำหลอมรวมผงโลหะที่แข็งแกร่งชนิดหนึ่ง เวลาใช้ก็สาดผงออกมา แล้วควบคุมด้วยพลังของเยื่อดำ จนกลายเป็นความสามารถพิเศษเหมือนหมอกพิษ”
ลู่เซิ่งถอนใจชมเชย ความสร้างสรรค์ของกระบวนท่านี้ไม่เลวจริงๆ
เขายื่นมือขวาออกมา บังคับปราณมารให้กระจายไปทั่วฝ่ามือ แล้วคว้าใส่เสาหินของตำหนักใหญ่ด้านข้าง
กึง!
เสาหินยักษ์สูงเจ็ดแปดหมี่ กว้างครึ่งหมี่กว่าๆ ถูกเขาใช้มือกระชากลงมา
ลู่เซิ่งควงเสารอบหนึ่ง เสาอันหนักอึ้งบังเกิดเสียงฟุ่บฟั่บดังลั่น สั่นสะเทือนสวนกล้วยไม้ให้สั่นไหวน้อยๆ
คนจากสำนักต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ต่างมองจนอ้าปากตาค้าง
“มาเถอะ รับไป…”
“รอเดี๋ยว! พวกเราทิ้งสิทธิ์ยอมแพ้!”
ลู่เซิ่งยังไม่ทันพูดจบ หวงซือเฉิงก็กระโดดออกมาตะโกนด้วยสีหน้าซีดขาว
คนทั้งสี่คนรวมถึงเขาแยกย้ายกันหลบหนี กลัวว่าจะถูกลู่เซิ่งเอาเสาฟาดใส่จนไม่เหลือแม้แต่ซาก
ล้อเล่นหรือ เสานี้อย่างน้อยก็หนักหลายหมื่นชั่ง บวกกับลู่เซิ่งควงไปมาจนเกิดเสียงดังอึงอล มองดูก็รู้ว่ามีพละกำลังมหาศาล
ทุกอย่างรวมกันไม่เพียงมีพลังกระแทกสิบกว่าหมื่นชั่ง ผู้ใดเชื่อ มีแต่ปีศาจที่จะรับสภาวะการโจมตีที่รุนแรงแบบนี้ได้
ตูม!
ลู่เซิ่งปักเสาลงพื้น แผ่นหินบนพื้นยุบเป็นหลุมลึก เศษหินปลิวว่อน
ตอนนี้จุดแสงสีทองสลายไปแล้ว ยังไม่ทันพัดถึงหน้าเขา ก็ถูกพวกหวงซือเฉิงสลายทิ้งไปก่อน
ใบหน้าลู่เซิ่งปรากฏความผิดหวัง อีกฝ่ายถึงกับไม่เหลือความกล้าในการทดลอง เสียทีที่เขาสนใจขึ้นมาหน่อยหนึ่ง
“สหายลู่มีพลังล้ำเลิศ พวกเรายอมศิโรราบ” หวงซือเฉิงกล่าวอย่างจนปัญญา “สำนักเบิกอาทิตย์ของเราขอยอมแพ้”
ทั้งสี่ท้าสู้ลู่เซิ่ง เมื่อแพ้แล้วก็หมายความว่าปล่อยให้สำนักมารกำเนิดชนะสี่ครั้ง
เขาเอาชนะสำนักจุดพิสดารไปหนึ่งครั้ง และชนะพรรคกระบี่ทรายเหลืองไปแล้วสองครั้ง
ตอนนี้บวกกับชัยชนะสี่ครั้งที่เขาหวงซือเฉิงส่งมาให้ถึงที่
ทั้งหมดรวมกันเป็นเจ็ดครั้ง ถ้าหากว่าลู่เซิ่งท้าสู้ เล่นงานตนกับกำลังหลัก อันดับต่อจากนั้นสำนักเบิกอาทิตย์อย่าหวังว่าจะแย่งแล้ว…
หวงซือเฉิงคิดถึงตรงนี้ก็ประสานมือกล่าวว่า “ในเมื่อสำนักเบิกอาทิตย์ของพวกเราแพ้แล้ว มิสู้คนที่อยู่รอบๆ นี้มอบจำนวนการท้าสู้ที่เหลือให้กับสหายลู่ ด้วยความสามารถของสหายลู่ ทุกคนย่อมวางใจได้ เมื่อเป็นแบบนี้อันดับในเขตย่อยของพวกเราก็จะถูกกำหนดแล้ว”
หลี่ซิ่วอิงแห่งหุบเขาน้ำแข็งใคร่ครวญ “ข้าเห็นด้วย”
คนของพรรคกระบี่ทรายเหลืองมีสีหน้าจนปัญญา ยังคงเงียบขรึม คนของสำนักจุดพิสดารปั่นป่วน แต่ก็เห็นด้วย
เมื่อเป็นแบบนี้ การจัดอันดับในเขตย่อยจึงถูกกำหนดเรียบร้อย
ลู่เซิ่งแห่งสำนักมารกำเนิดเป็นที่หนึ่ง จากนั้นเป็นสำนักเบิกอาทิตย์ ถัดไปเป็นหุบเขาน้ำแข็ง ท้ายสุดจึงเป็นพรรคกระบี่ทรายเหลือง รวมถึงสำนักจุดพิสดาร
ลู่เซิ่งพึงพอใจยิ่ง เขารู้ว่าสำนักอื่นๆ กลัวว่าเขาจะใช้สิทธิ์ท้าสู้เล่นงานกำลังหลักของพวกเขา ดังนั้นจึงถอยให้ อย่างไรพรรคกระบี่ทรายเหลืองกับสำนักจุดพิสดารก็จบสิ้นแล้ว สามอันดับแรกมีแค่พวกเขาสามสำนักแบ่งกัน
หลังจากแก้ปัญหาเรียบร้อย หวงซือเฉิงก็เรียกนักพรตที่จดบันทึกในที่ลับของสำนักบัวสวรรค์มา ให้เขาเขียนผลลัพธ์ จากนั้นจึงกลายเป็นสถานการณ์ที่แน่นอน
หลังจากอันดับได้รับการยืนยันและบันทึกแล้ว พรรคกระบี่ทรายเหลืองกับสำนักจุดพิสดารก็ไม่มีความหวังอีก ได้แต่แยกย้ายบอกลา เมื่อเหลืออยู่เพียงสามสำนัก หวงซือเฉิงจึงเสนอว่า ให้รวมตัวกันที่สำนักมารกำเนิด ปรึกษาการเคลื่อนไหวไปด้านนอก
ลู่เซิ่งก็เห็นด้วยเช่นกัน
เหล่าผู้นำของสามสำนักรั้งอยู่ นั่งลงข้างเสาหินที่ลู่เซิ่งกระชากออกมา
หวงซือเฉิง จ้าวจ้าว หลี่ซิ่วอิง เยวี่ยเซิ่งหย่า รวมถึงลู่เซิ่งและเหอเซียงจื่อ
นี่เป็นผู้กำหนดกลยุทธ์จากหลายสำนัก
ลมเย็นพัดหวีดหวิวในคฤหาสน์ของสวนกล้วยไม้ ผงหินกับเศษใบไม้ถูกลมเป่าจนฟุ้งกระจาย
คนทั้งหกนั่งบนพื้นโดยไม่รังเกียจความสกปรก อย่างไรก็มีเยื่อดำกั้นอยู่ พวกฝุ่นผงแค่กระแทกเบาๆ ก็ทำลายได้แล้ว
หวงซือเฉิงพูดเป็นคนแรก
“ขอไม่ปิดบัง ค่ายกลลับวิหคทะยานที่ใช้กับสหายลู่เมื่อก่อนหน้าความจริงข้าน้อยเตรียมจะใช้กับยอดฝีมือระดับสุดยอดที่อยู่อีกเขต เพียงแต่นึกไม่ถึง…” เขายิ้มฝาด
“ยอดฝีมือของเขตอื่น หรือสหายหวงจะหมายถึงยูงเงินซูเซียนแห่งเขามยุเรศ” หลี่ซิ่วอิงพูดแทรกมา
“นางเป็นแค่หนึ่งในนี้ ครั้งนี้หยวนปากับเสิ่นโยวโยวจากภูผาไพรเป็นคนที่ร้ายกาจถึงขีดสุด ครั้งก่อนข้าออกจากเขตย่อยก็ถูกเสิ่นโยวโยวโจมตีพ่ายแพ้ในสามกระบวนท่าทันที ไม่อาจไม่ยอมแพ้” หวงซือเฉิงถอนใจ “ทว่าครั้งนี้พวกเรามีสหายลู่รวมถึงพลังของสหายลู่ เพียงแค่วางแผนดีๆ จะต้องได้อันดับที่พอใช้ได้แน่”
พอพูดถึงลู่เซิ่ง เขาก็ฮึกเหิมขึ้นเล็กน้อย รู้สึกว่าการยอมแพ้ของตนช่างชาญฉลาดนัก
จะสู้กับลู่เซิ่งจริงๆ ด้วยคุณสมบัติร่างกายอันน่ากลัวและแปลกประหลาดของเขา นอกจากเสียทหารสูญแม่ทัพจนต้องยอมแพ้แล้ว ก็ไม่มีวิธีอื่นอีก
ไหนเลยจะเหมือนตอนนี้ เปลี่ยนจากศัตรูเป็นมิตร ให้ผู้นำของเขตอื่นเผชิญพลังประหลาดน่ากลัวของลู่เซิ่ง ให้พวกเขารู้ซึ้งถึงความหวาดกลัวของพวกตนเมื่อก่อนหน้า
พอคิดถึงตรงนี้ เขาก็ฮึกเหิมโดยไม่รู้ตัว
“แต่จะวางแผนอย่างไร” หลี่ซิ่วอิงถามอย่างสนใจ
“นี่ขึ้นอยู่กับว่าสหายลู่ยินดีช่วยเหลือหรือไม่” หวงซือเฉิงมองลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งมองพวกเขา แต่ละคนต่างมองเขาด้วยสายตาคาดหวัง
เขายิ้มขึ้น
“ไม่”
รอยยิ้มบนใบหน้าทุกคนพลันแข็งทื่อ
“ถึงจะออกจากเขตไป จำนวนท้าสู้ต้องนับใหม่อยู่ดี ทั้งยังมีจำนวนห้าครั้งเหมือนเดิม แต่ข้าอย่างมากสุดท้าสู้ได้แค่ห้าคน ไม่แน่ว่าจะรับประกันชัยชนะทั้งหมดได้ ในสถานการณ์แบบนี้ พวกท่านวางแผนอะไรไป ก็ไม่ได้มีความหมายมากนัก” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างไม่นำพา “ข้าช่วยอะไรพวกท่านไม่ได้”
กล่าวตามจริง เขาไม่มีหน้าที่ต้องช่วยสองสำนักนี้ หวงซือเฉิงเป็นตัวอะไร ไม่ได้รู้จักมักจี่กัน ก่อนหน้านี้ยังลงมืออย่างอำมหิต ตอนนี้สู้ไม่ได้เลยยอมแพ้ ยังคิดจะให้เขาช่วยอีกหรือ เหลวไหล
เป้าหมายของลู่เซิ่งไม่ใช่แสดงความโดดเด่น ขอแค่รักษาอันดับไม่ให้การสืบทอดขาดสะบั้นก็พอ ปัจจุบันบรรลุเป้าหมายแล้ว ต่อจากนี้แค่อยู่เฉยๆ ก็ได้ จะออกหน้าไปทำไม
หวงซือเฉิงกับหลี่ซิ่วอิงต่างมีสีหน้าจนปัญญา
“เช่นนั้น…ก็ได้ ในเมื่อสหายลู่ไม่ยินยอม พวกเราก็ได้แต่บอกลา” หวงซือเฉิงเงียบขรึม ยังคงลุกขึ้นจากไป
หลี่ซิ่วอิงกับเยวี่ยเซิ่งหย่าจากหุบเขาน้ำแข็งรั้งอยู่ ไม่ได้ไปไหน หลี่ซิ่วอิงพิจารณาลู่เซิ่งอย่างตั้งใจ
“ถ้าสหายลู่ยินยอมลงมือ ข้ายินดีมอบเหมืองเงินอาทิตย์ชาดขนาดเล็กให้เหมืองหนึ่ง แลกเปลี่ยนกับโอกาสลงมือของสหายลู่ครั้งหนึ่ง” หลี่ซิ่วอิงกล่าวเบาๆ ด้วยสีหน้าจริงจัง
เหมืองเงินอาทิตย์ชาดหรือ
ลู่เซิ่งไม่รู้ว่าเหมืองเงินอาทิตย์ชาดคืออะไร แต่พอเห็นสีหน้าของเยวียเซิ่งหย่ากับเหอเซียงจื่อที่อยู่ด้านข้าง เขาก็รู้ว่าสิ่งนี้จะต้องมีมูลค่ามากแน่ ต่อให้สำหรับสำนักที่มีสายเลือดจากอาวุธเทพเอง ก็เป็นมูลค่ามหาศาล สมควรมีส่วนช่วยต่อสำนักมารกำเนิด
“ต้องบอกให้ชัดเจนก่อน ข้าเพียงแค่พลังเยอะและว่องไว ความจริงพลังของวิชาลับไม่สูงมาก หากเจอคู่ต่อสู้ที่ร้ายกาจ ก็ต้านทานพลังเยื่อดำของพวกเขาไม่ได้” ลู่เซิ่งกล่าวเตือน
“ข้าทราบ” หลี่ซิ่วอิงพยักหน้า
แค่พลังและความว่องไว อย่างมากสุดก็ทำลายกายเนื้อของยอดฝีมือได้สองสามครั้ง แต่สำหรับยอดฝีมือมากกว่าระดับเบญจลักษณ์ อาการบาดเจ็บของร่างกายเช่นแขนขาขาดสามารถฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว ไม่มีผลต่อพลังมากนัก ขอแค่สายเลือดไม่อ่อนแอเกินไป ก็ฟื้นฟูโดยสมบูรณ์ได้ในระยะเวลาสั้นๆ
ส่วนพลังเยื่อดำของพวกเขามีความเป็นพิษรุนแรงสุดขีด พลังฟื้นฟูก็น่าสะพรึง ถ้าลู่เซิ่งทำลายเยื่อดำไม่ได้ พวกเขาก็สามารถฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้ในเวลาสิบกว่าอึดใจสั้นๆ หนำซ้ำลู่เซิ่งที่มีดีแค่กายเนื้อก็ป้องกันความเป็นพิษจากเยื่อดำระดับสูงไม่ได้ด้วย
“ไม่เป็นไร ถึงเวลา ขอแค่สหายลู่ลงมือช่วยข้าในเวลาสำคัญก็พอ” หลี่ซิ่วอิงกล่าวอย่างราบเรียบ
“อย่างนั้นพวกเราขอลา” นางลุกขึ้น แล้วผละจากไป
เยวี่ยเซิ่งหย่าขยิบตาให้ลู่เซิ่ง ติดตามศิษย์พี่ใหญ่ผละไปพร้อมด้วยรอยยิ้ม
ลู่เซิ่งไม่เข้าใจสาเหตุ กลับเป็นเหอเซียงจื่อที่อยู่ข้างๆ ไขความสงสัย
“ศิษย์น้อง สตรีจากหุบเขาน้ำแข็งนั้นคล้ายต้องตาเจ้า”
“ข้าไม่สนใจ ข้าแต่งงานแล้ว” ลู่เซิ่งพูดอย่างไม่นำพา
ความจริงพลังที่เขาใช้ในครั้งนี้ยังเป็นพละกำลังปกติในสภาพหยินโชติช่วง ถ้าเปลี่ยนเป็นสภาพหยางโชติช่วงจริงๆ พละกำลังจะสูงกว่าเดิมหลายเท่า ส่วนสภาพหยินหยางรวมเป็นหนึ่ง พละกำลังและความเร็วล้วนเหนือกว่าตอนนี้ไม่รู้กี่เท่า อย่าว่าแต่ยังสามารถเผาไหม้ปราณเหลวจนระเบิด
“เหมืองเงินอาทิตย์ชาด…คิดไม่ถึงพอแข็งแกร่งแล้ว จะได้เงินง่ายขนาดนี้” สีหน้าของเหอเซียงจื่อที่อยู่ด้านข้างเริ่มหดหู่
เรื่องนี้ลู่เซิ่งไม่รู้จะปลอบนางอย่างไร
ทั้งสองคนนอนหลับพักผ่อน วันต่อมาก็ฝึกฝนวิชาลับในสวนกล้วยไม้ต่อ รอจนถึงตอนบ่าย เสียงระฆังทอดยาวก็ดังขึ้น
ช่วงแรกของการต่อสู้ภายในเขตย่อยจบลงแล้ว
ลู่เซิ่งกับเหอเซียงจื่อเปิดประตูเดินออกจากสวนกล้วยไม้ ห่างออกไปมีนักพรตนำทางขบวนหนึ่งเดินมาทางนี้
“ขอเชิญศิษย์พี่ที่ชนะทุกท่านมุ่งหน้าไปยังตำหนักนภากาศ ข้าน้อยมานำทาง” นักพรตคนหนึ่งในนี้ตะโกนเสียงดัง
พวกลู่เซิ่ง พวกหวงซือเฉิง และพวกหลี่ซิ่วอิงมารวมตัวกัน แล้วเดินตามนักพรตนำทางผู้นี้ไปยังทางตะวันตกของตำหนักจิตหยก
พื้นที่ด้านตะวันตกเป็นสวนดอกไม้ที่อุมดมสมบูรณ์ ด้านหลังสวนดอกไม้เป็นลานกว้างสีเทาที่มีรูปปั้นหินรูปเต่ายักษ์วางอยู่ตัวหนึ่ง
บนลานกว้างมีนักพรตจัดโต๊ะเก้าอี้ให้ทุกสำนัก ให้ความรู้สึกเหมือนงานชุมนุมกลางแจ้ง
ข้างๆ ลู่เซิ่งเป็นเยวี่ยเซิ่งหย่า นางกล่าวเตือนเบาๆ ”สหายลู่ ศิษย์พี่ใหญ่ให้ข้าแจ้งท่านว่า โปรดท้าสู้ไป๋ชิงถางรองผู้นำของเขามยุเรศ พลังของท่านสมควรมีปัญหาไม่มาก”
“ไป๋ชิงถาง?” ลู่เซิ่งกำลังจะพยักหน้า อยู่ๆ ลมแรงหอบหนึ่งก็พัดมา
ลมนี้แปลกประหลาด ไม่ได้อ่อนโยนเหมือนแรงลมทั่วไป แต่ว่ากรีดเฉือนบนผิวซ้ำไปซ้ำมาเหมือนกับมีด
ลู่เซิ่งเงยหน้ามองสตรีผมขาวนางหนึ่งที่ยืนอยู่อีกด้านของลานกว้างซึ่งเป็นต้นลม
สตรีผมขาวผู้นี้รูปร่างเป็นสตรีแต่หน้าตาเป็นบุรุษ ขนนกสีขาวขนาดใหญ่เจ็ดเส้นลอยอยู่ด้านหลังของนาง ตอนนี้ขนนกเส้นหนึ่งในนี้กำลังยิงแสงสีขาว เห็นได้ชัดว่าลมนี้เป็นนางสร้างขึ้น
‘ระดับนี้…เหนือจินตนาการไปหน่อย…’ ลู่เซิ่งหยีตา แตกต่างกับคนอื่น เขามองแวบเดียวก็คำนวณระดับคร่าวๆ ของสตรีนางนี้ออก
“ซูเซียน อะไรกัน เพิ่งเลื่อนระดับก็คิดท้าสู้พวกเราทุกคนแล้วหรือ?!” บุรุษผอมสูงแขวนมีดบินพวงหนึ่งไว้ที่เอว ลุกขึ้นกล่าวอย่างเย็นชา
“พวกเจ้ามาพร้อมกันก็ได้ ข้าจะได้ประหยัดเวลา” สตรีผมขาวกล่าวอย่างราบเรียบ
“โอหัง!”
“เขามยุเรศจะเป็นศัตรูกับสำนักระดับสามขั้นล่างทั้งหมดหรือ”
“ศิษย์พี่ซูบ้าคลั่งเกินไปแล้วหรือไม่”
ผู้นำจากสำนักต่างๆ สีหน้าเปลี่ยนแปลง พากันลุกขึ้นอย่างอดไม่ได้
รอบๆ เป็นยอดฝีมือระดับสุดยอดที่เดินออกมาจากห้าเขตย่อย คนหลายสิบคนรวมตัวกัน สภาวะค่อนข้างยิ่งใหญ่
……………………………………….