ตอนที่ 265 คนเสแสร้ง

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

สิ่งที่สะท้อนความยินดีปรีดาของกลุ่มนักเรียนใหม่คือคนของเหลยถิงที่ทำหน้าทะมึน คนของเหลยถิงยังไม่กล้าทำใจเชื่อบทสรุปนี้ พวกเขาไม่กล้าเชื่อว่าสุดท้ายเหลยถิงจะพ่ายแพ้การเดิมพันครั้งนี้…ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่เหลยถิงไม่เคยลิ้มรสความพ่ายแพ้ ทว่าคราวนี้กลับทำให้พวกเขาได้ลิ้มรสมัน รสชาตินี้ย่อมรับได้ยากอยู่แล้ว

หลินจื้อตงมองไปยังรอบๆ เวทีประลองที่แทบจะถูกกลุ่มนักเรียนใหม่ล้อมรอบด้วยสีหน้าย่ำแย่ เขารู้ดีว่าช่วงเวลาต่อมาคืองานฉลองของผู้ชนะ ที่นี่ไม่ที่สำหรับเหลยถิงแล้ว และเขาก็ไม่อยากให้เหลยถิงขายหน้าต่อไปแล้วด้วย

ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เขาต้องใคร่ครวญดีๆ ว่าจะอธิบายให้หัวหน้าเฉียวฟังอย่างไรดี…การพ่ายแพ้ในครั้งนี้ย่อมทำลายชื่อเสียงของเหลยถิงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน อย่างไรเสียคนที่พวกเขาพ่ายแพ้ก็คือพวกนักเรียนใหม่ที่เพิ่งเข้าโรงเรียนทหาร

หลินจื้อตงคล้ายกับสัมผัสได้ถึงโทสะที่พุ่งทะยานของราชันสายฟ้า ร่างกายก็อดสั่นระริกไม่ได้ ผ่านไปไม่นาน หลินจื้อตงที่ใจเย็นลงแล้วค่อยกัดฟันเอ่ยด้วยเสียงคับแค้นใจว่า “พวกเราไป!”

สิ้นเสียงเสียงนี้ บรรดาสมาชิกของกลุ่มหุ่นรบเหลยถิงที่รู้สึกมานานแล้วว่าไม่มีหน้าให้อยู่ที่นี่ต่อก็รีบออกไปจากหอต่อสู้อย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าตอนที่พวกเขาจากไปก็ได้ยินคนมากมายส่งเสียงโห่อย่างรุนแรงออกมา ในนั้นมีคนของกลุ่มนักเรียนใหม่ และก็มีคนของกลุ่มอำนาจอื่นๆ ด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ผู้สนับสนุนบางคนที่เดิมทีชื่นชอบเหลยถิง ตอนนี้กลับรู้สึกผิดหวังต่อพวกเขา

เรื่องที่เหลยถิงพ่ายแพ้ให้กลุ่มนักเรียนใหม่ทำให้นักเรียนเก่ามากมายที่ไม่มีกลุ่มอำนาจรู้สึกรับไม่ได้ ความรู้สึกเช่นนี้สะท้อนขึ้นในเสียงโห่ของพวกเขาโดยตรง แน่นอนว่าในนี้ก็มีความคิดที่ว่ารักแรงแค้นแรงอยู่นิดหน่อย แต่ไม่ว่าจะพูดยังไง การที่เหลยถิงพ่ายแพ้ในครั้งนี้ทำให้บรรดานักเรียนทหารมากมายผิดหวังจริงๆ

เมื่อหลินจื้อตงออกไปจากสนามประลองก็อดหันหลังไปอีกครั้งไม่ได้ เขามองไปยังเด็กหนุ่มเคร่งขรึมเย็นชาที่ยืนอยู่ตรงกลางเวทีประลองรับเสียงเชียร์อย่างคึกคักจากบรรดาสมาชิกกลุ่มนักเรียนใหม่ ท่าทีดูเย่อหยิ่งราวกับนายพลที่กลับมาจากสงครามพร้อมชัยชนะ และยิ่งเหมือนราชาที่บุกเบิกขยายดินแดน เพลิดเพลินกับเสียงสนับสนุนของชาวประชา…

อันที่จริงหลินจื้อตงเข้าใจผิดแล้ว เดิมทีหลิงหลานก็เป็นคนที่มีสีหน้าเย็นชาเป็นน้ำแข็ง ต่อให้เผชิญหน้ากับเสียงด่าทอ เธอก็ยังทำหน้าแบบนี้ สรุปคือ สีหน้านิ่งๆ เย็นชาของหลิงหลานในสถานกาณ์แบบนี้สร้างความคับแค้นใจให้คนอื่นจริงๆ…

“อย่าลำพองใจนักเลย…เหลยถิงของเราจะต้องล้างแค้นนี้ให้ได้!” สีหน้าของหลินจื้อตงทะมึนเย็นเยียบ เขาแค่นเสียงเย็นอีกครั้งถึงค่อยหันหน้ากลับแล้วออกไปจากหอต่อสู้ที่ทำให้เขารู้สึกอัปยศอย่างหาใดเปรียบ

…….

เมื่อทุกคนในกลุ่มนักเรียนใหม่กรูกันเข้ามาที่เวทีประลอง ฮั่วเจิ้นอวี่ที่เป็นหนึ่งในผู้เข้าประลองก็ออกไปจากเวทีด้วยความเปล่าเปลี่ยวใจมาก นอกจากสมาชิกทีมหลายคนของเขาแล้ว คนอื่นๆ ต่างไม่สนใจการเคลื่อนไหวของเขาที่เดิมทีเป็นราชาแห่งการต่อสู้อีกเลย

เวลานี้สายตาของทุกคนเพ่งไปที่ตัวหลิงหลานซึ่งอยู่ตรงกลางเวทีประลอง เขาคือตัวละครหลักของเวทีประลองนี้ เป็นราชาแห่งการต่อสู้ที่เพิ่งถือกำเนิดใหม่ของโรงเรียนทหาร!

ฮั่วเจิ้นอวี่ย่อมเห็นพวกคนของเหลยถิงจากไปด้วยความหดหู่ใจ และก็ได้ยินเสียงโห่ในสนามประลองอย่างมืดฟ้ามัวดิน ในใจเขารู้สึกเศร้าสร้อย อย่างไรเสียก็เป็นเพราะความสามารถของเขาไม่ดีถึงทำให้เกิดผลลัพธ์นี้ขึ้นมา

ในตอนนี้เอง ลูกทีมของเขาเห็นแบบนี้ก็รีบเอ่ยว่า “ลูกพี่ฮั่ว พวกเราไปศูนย์รักษากันเถอะ นายได้รับบาดเจ็บหนักมากเลยนะ…”

ฮั่วเจิ้นอวี่ได้ยินคำพูดนี้ก็ใช้มือซ้ายตบแขนขวาที่สูญเสียความรู้สึกไปแล้วของตัวเองเบาๆ ก่อนจะเอ่ยอย่างนิ่งเรียบว่า “แค่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น ไม่สำคัญอะไร น่าเสียดายที่ฉันแพ้แล้ว ทำให้เหลยถิงแพ้การเดิมพันไปด้วย…”

“บาดเจ็บเล็กน้อยได้ยังไง? อีกหนึ่งเดือนลูกพี่ฮั่วยังต้องเข้าร่วมการประเมินของกองทัพนะ” ลูกทีมคนนั้นกล่าวด้วยความร้อนใจ นี่เกี่ยวข้องกับการเติบโตในอนาคตของลูกพี่ฮั่วเชียวนะ

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ลูกพี่ฮั่วรีบไปรักษาตัวที่ศูนย์รักษาเถอะ!” ลูกทีมคนอื่นทยอยกันเอ่ยโน้มน้าว

ฮั่วเจิ้นอวี่ไม่ปฏิเสธอีกต่อไป จากนั้นก็ไปที่ศูนย์รักษากับลูกทีมหลายคน

ระหว่างทางมีลูกทีมคนหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แสดงความไม่พอใจออกมาว่า “ลูกพี่ฮั่ว พวกหัวหน้ากลุ่มของเหลยถิงในตอนนี้ทำเกินไปแล้ว ไม่มีใครเข้ามาดูนายเลยสักคน…ถ้ารู้แต่แรกว่าเป็นแบบนี้ ตอนนั้นลูกพี่ฮั่วไม่ควรเข้าร่วมการต่อสู้เดิมพันครั้งนี้เลย”

“ช่างเถอะ ถึงยังไงฉันก็เป็นหัวหน้ากลุ่มเหลยถิงคนก่อน พวกเขามาหาฉัน ฉันไม่ออกไปประลองไม่ได้” ฮั่วเจิ้นอวี่เอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น ต่อให้เขามอบเหลยถิงให้กับเฉียวถิงแล้ว ทว่าเขายังไม่อาจปฏิเสธยามที่เหลยถิงต้องการเขาได้

“แต่ว่าเสียดายแทนเนี่ยเฟิงหมิง เขาต้องพลาดการประเมินอีกหนึ่งเดือนให้หลังแน่นอน เขาเอาแต่คิดเรื่องอยากสมัครเข้ากองพลที่ยี่สิบสามอยู่ตลอดเลย” ลูกทีมอีกคนพูดด้วยใบหน้าโศกเศร้า อ้างอิงจากข้อมูลที่สมาชิกทีมในศูนย์รักษาส่งกลับมา เนี่ยเฟิงหมิงต้องใช้เวลารักษาตัวสิบเดือน ถึงจะสามารถกลับมาแข็งแรงโดยสมบูรณ์ และก็ต้องพลาดการประเมินของปีนี้ไป

ฮั่วเจิ้นอวี่เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยอย่างหนักใจว่า “ฉันทำผิดต่อเฟิงหมิงแล้ว”

“ไม่ เป็นเพราะหลิงหลานคนนั้นต่างหาก เขาลงมือโหดเหี้ยมเกินไปจริงๆ” ลูกทีมหนึ่งในนั้นกล่าวด้วยใบหน้าเคืองแค้น

พวกเขาหลายคนตั้งทีมหุ่นรบขึ้นมาในโรงเรียนทหาร เติบโตมาด้วยกันห้าปี กลายเป็นพี่น้องต่างแซ่ที่สนิทสนมไม่ด้อยไปกว่าพี่น้องแท้ๆ มานานแล้ว ช่วยไม่ได้ที่พวกเขาจะเคียดแค้นหลิงหลานที่ลงมืออย่างอำมหิตทำให้เนี่ยเฟิงหมิงมีสภาพแบบนี้

“วางใจเถอะ ฉันไม่มีทางลืมความแค้นนี้เด็ดขาด” ฮั่วเจิ้นอวี่เอ่ยอย่างเย็นชา

ต่อให้รู้ว่าที่เนี่ยเฟิงหมิงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวเขาเองด้วย แต่ว่าฮั่วเจิ้นอวี่ไม่อาจยอมรับที่พี่น้องของตัวเองตกอยู่ในสภาพน่าเวทนานี้ได้ในด้านความรู้สึก…ความคิดของฮั่วเจิ้นอวี่กับหลิงหลานใกล้เคียงกันมากในด้านการปฏิบัติต่อบรรดาพี่น้องตัวเอง นั่นก็คือต่อให้คนของตัวเองทำผิดอีกสักแค่ไหน ก็ไม่ยอมให้คนอื่นมาลงมือเหมือนกัน!

“หนึ่งเดือนให้หลัง ฉันตัดสินใจว่าจะสมัครเข้ากองพลที่ยี่สิบสาม หลังจากนั้นค่อยรอเนี่ยเฟิงหมิงกลับมาที่กองพล ต้องมีสักวันที่เราได้เจอหลิงหลาน เวลานั้นก็คือเวลาที่พวกเราจะล้างความแค้นในวันนี้”

ฮั่วเจิ้นอวี่บอกการตัดสินใจของเขาออกมา ทำให้พวกลูกทีมที่อยู่ข้างๆ ประหลาดใจไม่หยุด เนื่องจากพวกเขารู้ว่าเดิมทีเป้าหมายของลูกพี่ฮั่วคือกองพลที่หนึ่ง เพราะว่าไอดอลของเขาคือจอมพลที่หนึ่งของสหพันธรัฐ แต่นายพลหลิงเซียวผู้บัญชาการกองพลที่ยี่สิบสามคือไอดอลของเนี่ยเฟิงหมิง นี่ก็คือเหตุผลที่เนี่ยเฟิงหมิงเลือกสมัครเข้ากองพลที่ยี่สิบสาม

“ในเมื่อลูกพี่ฮั่วสมัครเข้ากองพลที่ยี่สิบสาม งั้นฉันก็สมัครด้วย!”

“ฉันก็จะไปกองพลที่ยี่สิบสามเหมือนกัน”

“ฉันด้วย!”

เดิมทีลูกทีมหลายคนยังลังเลอยู่ว่าติดตามลูกพี่ฮั่วหรือว่าไปที่กองพลของไดอลตัวเองดี แต่ว่าตอนนี้พวกเขาไม่มีความกังวลอีกต่อไปเพราะว่าลูกพี่เปลี่ยนความคิดแล้ว ดังนั้นจึงพากันแสดงความเห็นออกมา

ฮั่วเจิ้นอวี่ไม่กล่าวอะไร ทว่าใบหน้ากลับเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย นี่เป็นเรื่องเดียวที่เขาสามารถทำให้เนี่ยเฟิงหมิง วางรากฐานเพื่อเขาให้ดีก่อนที่เขาจะเข้าสู่กองพล หลังจากนั้นทีมของพวกเขาค่อยรวมกลุ่มกันอีกครั้ง ต่อสู้สร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมด้วยกัน สุดท้ายก็ค่อยไปหาหลิงหลาน ล้างความแค้นอย่างลึกล้ำในวันนี้

…….

เวลานี้หลี่ซื่ออวี๋ที่อยู่ในบ็อกซ์เห็นบทสรุปของเรื่องราว เหล่านักเรียนใหม่กรูกันไปที่เวทีประลอง เขาก็หันหน้ามาเอ่ยกับอวิ๋นซิวว่า “พวกเราไปกันเถอะ”

อวิ๋นซิวได้ยินคำกล่าวก็เอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “ฮะ? ไปตอนนี้เลยเหรอ?”

ควรรู้เอาไว้ว่า ตอนนี้เป็นเวลาที่คนออกไปจากสนามประลองมากที่สุด ก่อนหน้านี้หลี่ซื่ออวี๋จะรอครึ่งชั่วโมงก่อน ให้ทีมส่วนใหญ่จากไปแล้วถึงค่อยออกไป ทำไมครั้งนี้ถึงรีบร้อนออกไปขนาดนี้ล่ะ?

“ฉันต้องไปที่ศูนย์รักษา ดูว่าน้องชายโง่เง่าของฉันยังขยับตัวได้หรือเปล่า…” หลี่ซื่ออวี๋อธิบาย

“ฮะ นายมีความรักใคร่ปรองดองต่อพี่น้องขนาดนี้เลยเหรอ?” อวิ๋นซิวไม่เชื่อคำอธิบายของหลี่ซื่ออวี๋เลยสักนิด

หลี่ซื่ออวี๋ถลึงตาใส่อวิ๋นซิวทันที เขาต้องมีความรักใคร่ปรองดองต่อพี่น้องมากอยู่แล้ว เพียงแต่ความรักใคร่ปรองดองต่อพี่น้องของเขามอบให้ญาติผู้พี่คนโตของเขาเท่านั้น

อวิ๋นซิวเห็นหลี่ซื่ออวี๋ถลึงตาใส่อย่างดุดันก็รีบยกมือยอมแพ้ บ่งบอกว่าเขาไม่พูดอะไรอีกแล้ว ตามหลี่ซื่ออวี๋ออกไปจากบ็อกซ์ด้วยความเชื่อฟัง

……

จ้าวจวิ้นที่อยู่ภายในบ็อกซ์อู๋จี๋อ้าปากหาวกว้างๆ เอ่ยถามหลายคนที่อยู่ข้างกายว่า “เรื่องจบแล้ว พวกนายยังอยู่ที่นี่ต่ออีกเหรอ?”

สีหน้าของหานอวี้ดูทะมึนอยู่บ้าง เขากล่าวว่า “ฉันยังอยากดูคลิปที่บันทึกไว้อีกรอบน่ะ ถ้าพวกนายไม่สนใจก็ไปก่อนได้เลย”

กลุ่มนักเรียนใหม่แข็งแกร่งเหนือความคาดหมาย ทำให้หานอวี้รู้สึกถึงวิกฤติที่รุนแรงอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมาชิกส่วนใหญ่ของกลุ่มนักเรียนใหม่ต่างเป็นคนของฝ่ายสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ นี่ทำให้เขาจำเป็นต้องกังวลว่าสุดท้ายกลุ่มนักเรียนใหม่จะเข้าร่วมกลุ่มศูนย์กลางโดฮาหรือเปล่า

ขณะเดียวกันเว่ยจี้ก็ผงกศีรษะพูดว่า “ฉันเองก็อยากดู พวกนายตามสบายเลย”

จ้าวจวิ้นกับหลี่หลานเฟิงแลกเปลี่ยนสายตากันเงียบๆ ครั้งหนึ่ง จากนั้นจ้าวจวิ้นก็เอ่ยว่า “ฉันไม่สนใจ ไว้รอให้คนพวกนั้นกลายเป็นยอดฝีมือหุ่นรบแล้วค่อยว่ากันอีกที หลานเฟิง นายล่ะ? ไปด้วยกันหรือว่าจะอยู่ที่นี่”

หลี่หลานเฟิงยักไหล่กล่าวด้วยท่าทีสบายๆ ว่า “ก็เหมือนที่นายพูดไว้ ไว้รออีกสองปีให้พวกเขากลายเป็นยอดฝีมือหุ่นรบก่อน บางทีฉันอาจจะยังสนใจนิดหน่อย ตอนนี้คิดเรื่องพวกเขาไปก็ไม่คุ้มค่าอยู่บ้าง”

จ้าวจวิ้นได้ยินคำพูดก็เอ่ยพลางยิ้มแย้มว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นเราก็ไปด้วยกันเถอะ”

หลี่หลานเฟิงลุกขึ้นมาและเอ่ยว่า “ได้ พวกเราไปกันเถอะ” เขาเอ่ยกับหานอวี้และเว่ยจี้ว่า “ให้ความสำคัญนิดหน่อยก็ได้อยู่ แต่ว่าคนแรกที่อยากจัดการกลุ่มนักเรียนใหม่ต้องเป็นราชันสายฟ้าแน่นอน” ความหมายในคำพูดนี้คือ ยังเร็วไปหน่อยที่อู๋จี๋ต้องกังวลเรื่องกลุ่มนักเรียนใหม่ในตอนนี้ ไม่สู้รอให้พวกเขาทนรับโทสะเหลยถิงของราชันสายฟ้าก่อนถึงจะเป็นเวลาเหมาะกว่า

หานอวี้กับเว่ยจี้ยิ้มรับ หลังจากที่เห็นจ้าวจวิ้นกับหลี่หลานเฟิงจากไป หานอวี้ถึงค่อยเก็บรอยยิ้ม แค่นเสียงเย็นกล่าวว่า “เขายังคิดว่าตัวเองเป็นเสนาธิการของอู๋จี๋เราจริงๆ หรือไง?”

หลี่หลานเฟิงแสดงท่าทีว่าอยู่เหนือกว่าคนอื่นขั้นหนึ่งทุกด้าน ทำให้หานอวี้ยิ่งมองยิ่งไม่พอใจ ไม่รู้ว่าเขาเริ่มไม่ชอบหลี่หลานเฟิงมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ก่อนเขาคิดว่าหมอนี่เป็นคนดีมากอย่างแน่นอน ทำไมตอนนี้เขาถึงดูเสแสร้งขนาดนั้นนะ?

เว่ยจี้ตอบอย่างเรียบเฉยว่า “ช่วยไม่ได้ สองปีก่อนเราต้องพึ่งเขาวางแผนมากมายจริงๆ ถึงเขาจะไม่ใช่เสนาธิการอย่างเป็นทางการของเรา แต่คนของอู๋จี๋ต่างคิดว่าเขาเป็น” เว่ยจี้กล่าวถึงตรงนี้ก็อดมองไปที่หานอวี้ไม่ได้และกล่าวว่า “ฉันไม่รู้ว่าทำไมนายถึงเกลียดหลี่หลานเฟิง ฉันคิดว่าเขาไม่ได้ทะเยอทะยานมากมายเลย และก็ใส่ใจอู๋จี๋มากด้วย…”

หานอวี้นิ่วหน้ากล่าวว่า “ความจริงแล้ว ก็เริ่มตั้งแต่ปีก่อน ฉันรู้สึกมาตลอดว่าหลี่หลานเฟิงดูทะแม่งๆ อยู่บ้าง ตอนนี้ยิ่งเห็นเขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามีปัญหา นายไม่รู้สึกว่ารอยยิ้มของเขาดูเสแสร้งมากเลยเหรอ?”

เว่ยจี้ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน เขายังมองไม่ออกจริงๆ ถ้าหากไม่ใช่เพราะตอนนี้หานอวี้ไม่พอใจหลี่หลานเฟิงอย่างมาก เขาก็ไม่อยากแตกคอกับอีกฝ่ายจริงๆ ถึงยังไงตอนแรกความสัมพันธ์ของพวกเขาสี่คนก็ดีมากเลย

หานอวี้มองไปทางโจวย่ากับหวังฮุยสองคนแล้วถามว่า “พวกนายคิดว่าไง?”

หวังฮุยส่ายหน้าตาม บ่งบอกว่าเขาก็มองไม่ออกเหมือนกันว่าหลี่หลานเฟิงมีอะไรไม่เหมาะสม

——————————-