บทที่ 39 วางเค้าโครงแดนลับเสร็จสมบูรณ์ หกฝ่ายรวมตัวกัน พายุฝนในเมืองศักดิ์สิทธิ์เริ่มต้น!

จอมบงการเทพยุทธ์

เฉินมู่ยืนอยู่บนยอดเขา และเดินมุ่งหน้าเข้าไปในหุบเขา

ก่อนจะสร้างแดนลับที่ห้านี้ เขายังต้องตรวจสอบพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อทําความเข้าใจในสถานการณ์โดยรอบให้ถี่ถ้วนเสียก่อน

ต้องบอกว่า ช่างเป็นทิวเขาที่เหนือคําบรรยายเสียจริง

ภาพของทิวเขาที่ดูราวกับสถานสักการะมังกรนับหมื่นนั้นไม่ได้หาที่ไหนก็ได้ เกรงว่าในแดนร้างตะวันออกคงไม่มีสถานที่เช่นนี้อีก

นั่นทําให้ฉันม่ค่อนข้างประหลาดใจ

ในที่แห่งนี้ เขาพบกับเหมืองต้นกําเนิดที่ถูกทิ้งร้างไว้บางแห่งเสียด้วยซ้ํา

เหมืองต้นกําเนิดนั้นตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาเหล่านี้

แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่สามารถขุดหินต้นกําเนิดได้หรือเป็นเพราะเหตุผลอื่น

เหมืองต้นกําเนิดเหล่านี้จึงถูกทิ้งร้างและไม่มีการขุดค้นอีกต่อไป

หลังจากสํารวจพื้นที่โดยรอบอย่างละเอียด ฉันม่ก็ไปยังจุดศูนย์กลางของหุบเขาที่รายล้อมไปด้วยทิวเขาอันแสนงดงาม

“เข้าไปยังมิติงดินแดนลับ!”

เพียงชั่วความคิด ร่างของเขาก็หายไปจากเทือกเขาศักดิ์สิทธิ์และไปยังพื้นที่ของดินแดนลับ

“แลกเปลี่ยนอนุสรณ์โบราณ”

“แลกเปลี่ยนเต่ระดับจักรพรรดิโบราณ!”

“แลกร่องรอยเต่ระดับจักรพรรดิสูงสุด!”

“แลกหินต้นกําเนิด ยาสมบัติ!”

“แลกเปลี่ยน…”

เสียงของฉันมู่ยังดังต่อไปเรื่อยๆ

แต้มตกใจลดลงไปเรื่อยๆ พร้อมกับสิ่งของที่ปรากฏขึ้นมาในมิติงแดนลับ

ต่อจากนั้น เพียงแค่ฉันม่คิด สิ่งของเหล่านี้ก็เริ่มหลอมรวมกันเป็นส่วนหนึ่งของแดนลับที่ห้า

ฉันม่วางแผนไว้แล้วในใจ ดังนั้นการสร้างแดนลับนี้จึงเป็นเรื่องง่าย

เวลาผ่านไป และแดนลับก็ค่อยพัฒนาขึ้นทีละน้อย

ตอนนี้แต้มตกใจที่ฉันม่มีก็ลดลงอย่างรวดเร็ว

ต้องบอกว่าแดนลับที่ห้านี้ ที่ฉินมู่คิดเอาไว้นั้น มันจะเป็นแดนลับที่งดงามอย่างมาก

แต้มตกใจที่เขาใช้ไปทั้งหมดนั้นมากเกินกว่าแดนลับใดๆ ที่เขาสร้างมาก่อน

แต่ตอนนี้เขา “ร่ํารวย” แล้ว และมีแต้มตกใจอยู่กว่าสามล้านแต้ม ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยรู้สึกกังวลอะไรกับการใช้แต้มไปเป็นจํานวนมากเช่นนี้

เพราะสุดท้ายแล้ว เขาก็สามารถได้มันคืนมาหลังจากใช้ไปอยู่ดี

และจะไม่ขาดทุนแน่นอนเมื่อใช้กับแดนลับนี้

เพราะแดนลับที่ห้านี้ ในความคิดของฉันจะให้มันเป็นแดนลับถาวร!

ไม่เหมือนกับแดนลับก่อนหน้า แดนลับนี้ หลังจากสร้างขึ้นมาแล้ว มันจะคงอยู่เป็นเวลานาน และฉินมู่จะไม่เก็บมันกลับคืนมา

ดังนั้นแล้ว ดินแดนลับนี้จะคงอยู่ตลอดไป

การมีอยู่ของแดนลับที่ห้าจะทําให้ฉันม่มีแต้มตกใจหลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าจะใช้แต้มตกใจตอนนี้ไปมากเท่าไหร่มันก็คุ้มค่า!

เวลาผ่านไปสองวันเต็ม

ฉินมู่จัดการกับรายละเอียดของแดนลับที่ห้านี้จนเสร็จสมบูรณ์

ฉันม่เชื่อ

หากแดนลับที่ห้าปรากฏตัวขึ้นมา ณ เวลานี้ แดนร้างตะวันออกจะต้องสั่นสะท้านไปอย่างแน่นอน!

“ในเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ในตอนนี้ก็เหลือแค่ลมตะวันออก”

เฉินมู่มองไปยังแดนลับที่เขาสร้าง ทันทีที่เขาคิด เขาก็ออกมาจากแดนลับ

ทางเข้าแดนลับนั้นถูกสร้างขึ้นบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์

หลังจากทําทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เขาก็มุ่งหน้าไปยังเมืองเชิงหยาง

ดินแดนลับเสร็จเรียบร้อยแล้ว

ตอนนี้เหลือแค่ให้ปลามากินเบ็ด!

เมืองเชิงหยาง

ในตอนนี้ภายในเมืองเชิงหยางเปี่ยมไปด้วยผู้คนที่ส่งเสียงจอแจ

ไม่รู้ว่ามีขุมกําลังที่ยิ่งใหญ่อยู่ในเมืองนี้มากเพียงไหน

ตอนนี้ เหล่ามนุษย์ที่น่าเป็นที่จับตามองแทบทุกคนได้มารวมตัวกันในเมืองเชิงหยางแห่งนี้แล้ว

เพราะว่าเหล่าปรมาจารย์สูงสุดของหกกองกําลังหลักในแดนร้างตะวันออกนั้นได้มารวมตัวกัน เพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับหนทางข้างหน้าสําหรับมนุษย์ในแดนางตะวันออก!

และกองกําลังทั้งหกนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นกองกําลังระดับต้นๆ ของเหล่ามนุษย์ในแดนร้าง ตะวันออกเลยก็ว่าได้

แต่ละฝ่ายมีมรดกที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน และยืนหยัดอยู่บนแดนางตะวันออกนี้มาเป็น

เวลานาน

หากทั้งหกฝ่ายนี้ร่วมมือกัน เกรงว่าพวกเขาคงสามารถรวบรวมพลังของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในแดนร้างได้เกินครึ่งก็เป็นได้

เพราะเหตุนี้ ผลจากการพูดคุยกันของกองกําลังทั้งหกนี้จึงมีความสําคัญอย่างมาก

และมันจะส่งผลกระทบต่อเส้นทางของมนุษย์ในอนาคตของแดนางตะวันออกเป็นวงกว้าง

เมืองโบราณนี้นั้นรุ่งเรือง เปี่ยมไปด้วยพระราชวังและถนนมากมาย

ผู้คนเดินทางเข้าออกเมืองนี้ และเกินครึ่งนั้นเป็นจอมยุทธ์ นอกจากถนนที่เต็มไปด้วยผู้คน ยังมีบ้านเรือนที่ดูงดงามแทรกอยู่ไปทั่ว ดูงดงามยิ่ง

ในตอนนั้นเอง ที่ใจกลางเมืองเชิงหยางก็มีกระแสพลังที่ทรงอานาจพวยพุ่งออกมา พร้อมกับสายตาจํานวนนับไม่ถ้วนที่จับจ้องมายังที่แห่งนี้

ตรงใจกลางเมืองศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นสถานที่อันลึกลับ

ระหว่างฟ้าดิน เปี่ยมไปด้วยกระแสพลังอันเข้มข้น

บนท้องฟ้ามีเมฆหมอกมากมาย และเบื้องบนก้อนเมฆเหล่านั้นมีต่าหนักมากมายลอยอยู่เหนือสวรรค์ทั้งเก้า

ตําหนักแต่ละแห่งนั้นยิ่งใหญ่และสง่างาม

ที่แห่งนี้คือสถานที่ที่กองกําลังทั้งหกของมนุษย์รวมกันอยู่

ณ ขณะนี้ ปรมาจารย์สูงสุดของกองกําลังทั้งหกอยู่ในส่วนลึกของต่าหนักลอยฟ้าแห่งนี้ พูดคุย ปรึกษากัน พยายามหาทางก้าวเดินไปข้างหน้าสําหรับมนุษย์ในแดนรกร้างตะวันออก

ภายในตําหนักลอยฟ้าอื่นๆ เหล่าจอมยุทธ์จากกองกําลังทั้งหกรวมตัวกัน เฝ้ารอผลลัพท์อย่างเงียบๆ

ในตอนนั้นเอง ภายในต่าหนักลอยฟ้าแห่งหนึ่ง

สถานที่แห่งนี้เปี่ยมไปด้วยเมฆหมอกที่ปกคลุม มีหญิงสาวหน้าตางดงามเต้นรําอยู่ในตําหนักเหล่านั้น พร้อมกับเสียงอันงดงามยอดเยี่ยมไร้ที่ติ

เหล่าชายหญิงใส่ชุดอันแสนงดงามเปี่ยมด้วยกระแสพลังอันยิ่งใหญ่นั่งเรียงกันอยู่บนตาหนักลอยฟ้าทั้งสองข้าง นั่งอยู่หลังผ้าม่านหมอก กําลังพูดคุยอะไรบางอย่าง

ชายหญิงเหล่านี้นั้นต่างเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์จากกองกําลังหลักทั้งหก และพวกเขานั้นเรียกได้ว่าเป็นเหล่าผู้นําของเหล่าคนรุ่นใหม่

ชายหนุ่มและหญิงสาวเหล่านี้ เขาเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์จากกองกําลังหลักทั้งหก และถือได้ว่าเป็นผู้นําในหมู่ผู้เยาว์ของกองกําลังทั้งหมด พวกเขาต่างเป็น “โอรสศักดิ์สิทธิ์” หรือ “ธิดาศักดิ์สิทธิ” ที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้นํากองกําลัง

ในครั้งนี้ พวกเขาติดตามผู้นํากองกําลังของตนมายังเมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เพื่อแสวงหาประสบ การณ์

“ในวันนี้ กองกําลังใหญ่ทั้งหกของแดนร้างตะวันออกได้มารวมตัวกันในเมืองเชิงหยาง ไม่ได้เห็นภาพที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้มาหลายร้อยปีแล้ว”

ด้านหลังที่กั้นหยก หญิงสาวในชุดสีขาวเปิดปากพูดด้วยเสียงที่งดงามราวกับส่งลงมาจากสวรรค์

“เป็นภาพที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่ได้เห็นมาหลายร้อยปีแล้วอย่างแท้จริง”

ในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ ในแดนร้างตะวันออกนั้น ตอนแรกมีข่าวลือเกี่ยวกับเก้ามังกรลากโลงใกล้เมืองหิมะและน้ําแข็งพร้อมกับจักรพรรดินีปรากกฏตัวขึ้นมาบนโลงศพ
“เมื่อไม่นานมานี้ มีข้อสงสัยว่าสิ่งมีชีวิตขั้นสูงของเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้ปรากฏตัวขึ้นมายังโลกแห่งนี้ และได้ทําลายล้างเผ่าพันธุ์ปีศาจงครึ่งหนึ่งด้วยนิ้วเดียว และทําให้เหล่าเผ่าพันธุ์โบราณในแดนร้างตะวันออกนี้ต้องตกตะลึง”

“ฝุ่นควันในประวัติศาสตร์ถูกปัดเป่า ไม่คาดคิดเลยว่าเผ่าพันธุ์ของเราเคยมีประวิตศาสตร์อันรุ่งโรจน์เช่นนี้”

ชายหนุ่มผมทองในชุดเกราะสีทองเข้มกล่าวก่อง

เขาเป็นคนหล่อเหลาและกล้าหาญ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีความตื่นเต้นและตกใจอยู่ในน้ําเสียงของเขา

ภายในต่าหนักลอยฟ้า เหล่าโอรสศักดิ์สิทธิ์และธิดาศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ ก็พยักหน้าเช่นกัน ใบหน้าของพวกเขาเปี่ยมไปด้วยความปราถนาและคาดหวัง

การที่กายาจักรพรรดิปรากฏตัวขึ้นมา ทําให้แดนร้างตะวันออกต้องสั่นสะเทือน

พวกเขาหวังที่จะได้อยู่ในที่แห่งนั้น ณ เวลานั้น จะได้เป็นผู้รับชมความแข็งแกร่งของกายาจักรพรรดิด้วยตาของตนเอง

แต่อนิจจา พวกเขาทําได้เพียงสัมผัสถึงกระแสพลังของกายาจักรพรรดิ แต่ไม่เคยพบเห็นด้วยตาของตนเอง เรียกได้ว่าช่างเป็นความเสียใจที่บรรยายออกมาไม่ได้

ทว่า ในตอนที่ในใจของทุกคนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น และในใจของพวกเขาเปี่ยมไปด้วยความโหยหา ก็มีเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นมาขัดความเงียบนั้น แต่ดังก้องไปทั่วตําหนักลอยฟ้า

“ข้าว่าพวกเจ้าคงมองโลกในแง่ดีมากไปหน่อย สิ่งที่ปรากฏตัวเมื่อไม่กี่วันก่อนนั้นทรงพลังอย่างแท้จริง แต่พวกเจ้าทุกคนเคยเห็นกับตาตัวเองหรือเปล่า?”

“พวกเจ้ารู้สึกได้เพียงกระแสพลังจากระยะไกล บอกได้ยากว่าเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์หรือเปล่า”

“นอกจากนี้ การกลับมาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งหลังผ่านไปหลายพันล้านปีนั้นจะเป็นไปได้ด้วยหรือ?

“กระทั่งจอมจักรพรรดิโบราณก็ไม่สามารถอยู่ได้ตลอดไป”

“เผ่าพันธุ์มนุษย์เคยแข็งแกร่ง แต่เมื่อหลายล้านปีที่ผ่านมา? พวกเจ้าเชื่ออย่างนั้นหรือ?”

“ส่วนจักรพรรดินีของมนุษย์ที่ปรากฏตัวขึ้นมานั่น ช่างไร้สาระยิ่งกว่า”

“มันก็แค่ข่าวลือจากพวกผู้ฝึกยุทธ์ระดับต่ํา มีพวกเจ้าคนใดเห็นด้วยตาตนเองบ้างหรือไม่กัน?”
“ในเมื่อข้าไม่เคยเห็น มันจะเป็นความจริงได้อย่างไรกัน?”

“ในความคิดของข้า ข้าเกรงว่าพวกผู้ฝึกยุทธ์พวกนั้นถูกกดขี่จนสร้างภาพลวงตาขึ้นมาเองเสียมากกว่า”

“แต่ความจริงคือ ทุกอย่างนี้ไม่มีตัวตนแม้เพียงนิด!”