“จิ่นซู่ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เพราะนางถูกวางยาพิษ อีกทั้งหยุนลั่วยังเลือกโอกาสได้อย่างเหมาะเจาะ ตอนนั้นคอของจิ่นซู่จะต้องถูกยาพิษแผดเผาจนมิอาจเปล่งเสียงออกมาได้”
หลินเมิ้งหยาที่มีวิชาแพทย์พิษติดตัวยังรู้สึกว่าคนเหล่านี้อาจหาญเหลือเกิน
“ท่านถอนพิษได้มิใช่หรือ? ขอเพียงนายหญิงถอนพิษให้ จากนั้นสั่งให้นางพูดความจริง แล้ว…”
หลินเมิ้งหยาส่ายหน้าขัดป๋ายจี
“แม้จะรู้ความจริงแต่จะทำอะไรได้เล่า? เจ้าอย่าลืมว่าพระสนมเต๋อเฟยเป็นหมู่เฟยของท่านอ๋อง หากพวกเรายังเค้นถามความจริงกันต่อ สุดท้ายคนที่ต้องตกที่นั่งลำบากก็คือท่านอ๋อง”
หลินเมิ้งหยารู้ดี วันนี้หลงเทียนอวี้เข้ามาช่วยเหลือนาง ดังนั้นนางจึงไม่ควรสืบหาความจริงต่อ
ยิ่งไปกว่านั้น ตำแหน่งของพระสนมเต๋อเฟยในเวลานี้มิใช่สิ่งที่นางจะไปแตะต้องได้ หากทำอะไรนาง ท่านอ๋องจะยิ่งลำบากใจ
ฉะนั้นหลินเมิ้งหยาจึงเลือกที่จะอดทน
“ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ข้าถอนพิษให้ แต่นางก็คงไม่อาจพูดได้อีกแล้ว คอของนางถูกทำลายโดยสิ้นเชิง จากนี้ไปนางไม่อาจทำได้แม้แต่ส่งเสียง”
คนน่าสงสารย่อมถูกจัดการอย่างน่าสงสาร หากมิใช่เพราะจิ่นซู่ต้องการทำร้ายตัวนางแล้วล่ะก็ นางคงไม่ต้องพบจุดจบเช่นนี้
หลินเมิ้งหยาก้าวผ่านประตูเรือน จ้องมองคนทั้งสองในสวน
ป๋ายจีและป๋ายซูยืนอยู่ด้านหลังนาง ท่าทางเสมือนคนอยากจะเข้าไปแก้แค้นเพื่อพวกพ้องของตนเอง
“พวกเจ้าสำนึกผิดแล้วหรือไม่?”
ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นางคงเก็บพวกนางเอาไว้ไม่ได้
แต่ถึงกระนั้นสวรรค์ก็ควรมีเมตตา นางเองไม่คิดอยากเอาชีวิตพวกนาง ขอเพียงพวกนางให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เช่นนั้นนางจะยอมปล่อยพวกนางไปสักครั้ง
“หนู่ปี้สำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ พระชายาได้โปรดไว้ชีวิตหนู่ปี้ด้วย”
จิ่นซู่ที่ไม่อาจพูดสิ่งใดได้ทำได้เพียงปล่อยให้น้ำตารินไหล ส่วนสวีมามาที่มีสายตากระวนกระวายรีบส่งเสียงร้องไห้อ้อนวอน
“ข้าสามารถไว้ชีวิตของพวกเจ้าได้ แต่…ก็ต้องดูก่อนว่าพวกเจ้าจะเอาอะไรมาแลก”
หลินเมิ้งหยาเชิดหน้าขึ้น หลุบตาต่ำมองพวกนางที่อยู่เบื้องล่าง ดวงตาของสวีมามากลิ้งกลอก ก่อนจะโยนความผิดทั้งหมดให้กับจิ่นซู่
“นางเจ้าค่ะ! นางเป็นคนสั่งให้หนู่ปี้ทำเรื่องนี้ทั้งหมด! หากมิเป็นเช่นนี้ หนู่ปี้คงไม่ทำเรื่องชั่วช้าเหล่านี้ขึ้นมา พระชายาได้โปรดเห็นใจ หนู่ปี้ถูกใส่ร้ายเจ้าค่ะ”
จิ่นซู่ส่งสายตาเย็นชาไปทางสวีมามา มุมปากกระตุกยิ้มเย็นยะเยือก
ไม่ต่างอะไรจากหมาที่จ้องจะแว้งกัดเจ้าของ!
ตอนแรกสวีมามาคนนี้มักจะเรียกนางว่าแม่นางจิ่นซู่เสียงอ่อนเสียงหวาน
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อถึงเวลาทุกข์ยาก สวีมามาจะโยนก้อนหินทับร่างของนางเช่นนี้
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าจงไปเถิด ป๋ายจี มอบเงินให้สวีมามาห้าตำลึงเพื่อเป็นค่าเดินทาง ต่อจากนี้อย่าได้เข้ามาเหยียบจวนแห่งนี้อีก”
สวีมามาคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวจะง่ายดายเช่นนี้ นางไม่เพียงได้ชีวิตของตนเองคืนมา แต่กลับยังได้รับรางวัลจากพระชายา
ก้มหน้าก้มตาขอบคุณ รับเงินแล้วรีบออกจากประตูตำหนักหลิวซิน หลินเมิ้งหยาหันไปมองจิ่นซู่ นางต่างหากที่เป็นตัวแปรสำคัญ
“เจ้าเองก็เห็นแล้วว่าข้าเป็นคนพูดจริงทำจริง ข้ารู้ว่าเจ้าพูดไม่ได้ แต่ก็คงเขียนได้ใช่หรือไม่ หากเจ้าทำตัวว่านอนสอนง่าย ข้าก็จะมอบโอกาสให้เจ้าเช่นกัน เจ้าจะได้รับเงินและบินหนีไปให้ไกล”
สิ้นเสียงของหลินเมิ้งหยา ป๋ายจีหยิบกระดาษและหมึกออกมาวางไว้ตรงหน้าจิ่นซู่
“เขียนสิ มีเพียงวิธีนี้ที่จะทำให้เจ้ามีชีวิตรอด”
ทว่าจิ่นซู่กลับจ้องมองนางด้วยสายตาสงบนิ่ง ก่อนจะรีบร้อนเชียนข้อความออกมาทีละตัว
“นำข้อความที่นางเขียนมาให้ข้าอ่าน”
หลินเมิ้งหยาคิดว่าจิ่นซู่จะยอมรับผิด แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางจะเขียน…
“…เจ้าสามารถหลอกสวีมามาได้ แต่มิใช่กับข้า ไม่ว่าจะเขียนอะไร เกรงว่าเจ้าก็ไม่มีวันปล่อยข้าไป คาดว่ายังไม่ทันที่สวีมามาจะกลับถึงบ้าน นางก็คงถูกฆ่าตายเสียก่อน ข้าไม่ได้โง่ เจ้าฆ่าข้าเลยเถิด…”
อ่านจนจบ ทว่าหลินเมิ้งหยากลับไม่โกรธ
มุมปากเหยียดยิ้มเล็กน้อย
“เจ้าฉลาดมากและพูดถูกแล้ว ที่ข้าปล่อยสวีมามาไป หนึ่งเพราะนางไม่รู้ความลับอะไรทั้งสิ้น สองก็เพราะข้าต้องการดึงดูดความสนใจจากคนเหล่านั้น เจ้าวางใจเถิด ที่นี่ล้วนเป็นคนของข้า ขอเพียงเจ้าบอกข้ามา ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”
อันที่จริงหลินเมิ้งหยาไม่ได้คาดหวังอะไรกับจิ่นซู่ นางเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่ถูกเขี่ยทิ้งเท่านั้น นางอาจเป็นหมากที่ไร้ประโยชน์หรืออาจเป็นจุดอ่อนที่สำคัญ ต้องดูว่านางตกอยู่ในเงื้อมมือของใคร
นางเดาว่าจิ่นซู่เป็นเพียงตัวตายตัวแทนแต่เพียงเท่านั้น
หรือบางที พ่อแม่พี่น้องของนางอาจตกอยู่ในเงื้อมมือของใครบางคน
ฉะนั้นนางจึงไม่ได้คาดหวังว่าจิ่นซู่จะมีประโยชน์ต่อนาง
จิ่นซู่เขียนต่อไปอีกสองสามประโยค หลินเมิ้งหยาอ่าน ก่อนจะเหยียดยิ้มเย็นชา
บนกระดาษเขียนว่า “ขนาดสาวใช้ของตนเองยังไม่อาจปกป้องได้ เช่นนั้นจิ่นซู่คงมิอาจเอื้อมไปรบกวนพระชายาหรอกเพคะ ได้โปรดมอบความตายให้แก่หม่อมฉัน”
อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็รู้สึกเหมือนถูกหลอก
อันที่จริงจิ่นซู่เป็นหมากที่ต้องพลีชีพตั้งแต่ต้น
มิเช่นนั้นสาวใช้คนนี้จะใช้คำพูดยั่วยุอารมณ์ของนางตั้งแต่แรกทำไม
สิ่งเดียวที่พอจะอธิบายได้ก็คือนางถูกฝึกมาให้ใช้คำพูดยั่วยุหลินเมิ้งหยาให้โกรธเกรี้ยวและรู้สึกอับอาย สุดท้ายก็ปล่อยให้โดนนางฆ่าตาย
ดีมาก ราวกับพวกเขารู้จักอารมณ์ของนางดี แต่น่าเสียดายที่หลินเมิ้งหยาไม่ใช่คนที่ชอบตกอยู่ในกับดักของผู้อื่น
“เจ้าอยากตายหรือ? ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าสมหวังหรอก ป๋ายซู จงมัดนางเอาไว้แล้วนำตัวไปส่งให้อาจารย์เพื่อทำเป็นมนุษย์ลองยา อ้อ จริงสิ ถอดกระดูกแขนขาทั้งสี่ข้างของนางด้วย มนุษย์ทดลองจะต้องว่านอนสอนง่าย ข้าได้ยินมาว่าท่านอาจารย์มียาชนิดหนึ่งชื่อว่าหญ้าเลือด จะต้องใช้ร่างกายของมนุษย์เป็นๆ ในการทดลอง ไปเถิด นำตัวนางไปมอบให้ท่านอาจารย์ บอกท่านด้วยว่าข้านำของมามอบให้เพื่อแสดงความกตัญญู”
เพียงได้ฟังคำสั่งที่ถ่ายทอดออกมา ดวงตาของจิ่นซู่เบิกกว้าง
นางเคยนึกถึงความตายหลายร้อยรูปแบบในมือของหลินเมิ้งหยา แต่นางคาดไม่ถึงเลยว่าพระชายาคนนี้จะโหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้
ดวงตาเปล่งประกายราวกับหยดน้ำจับจ้องมองนางราวกับมิได้ใส่ใจเท่าไรนัก
สีหน้าขาวซีด จิ่นซู่ที่เคยมีท่าทางหยิ่งผยองรีบทรุดตัวลงแล้วโขกหัวกับพื้น
“ตอนนี้คิดอยากให้ข้าไว้ชีวิตแล้วหรือ ไม่สายไปหน่อยหรือไร? แต่ว่า…ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก แม้หญ้าเลือดจะสามารถเติบโตได้ในร่างกายของเจ้าและทำให้เจ้ารู้สึกเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส แต่เพราะแขนขาของเจ้าถูกถอดกระดูกหมดแล้ว อีกทั้งยาชนิดนั้นยังเป็นยาบำรุงหายาก กว่าเจ้าจะตายก็คงต้องใช้เวลาสามสิบถึงห้าสิบปี”
ทุกคำพูดของหลินเมิ้งหยาทำให้หัวใจของจิ่นซู่สั่นกลัว
เพียงได้ยินคำบอกเล่าถึงความเจ็บปวดจนต้องยอมเผชิญหน้ากับความตายดีกว่าปล่อยให้ทรมานนั้น นางอยากขอร้องให้หลินเมิ้งหยาฆ่านางเสียตั้งแต่ตอนนี้
“ป๋ายซู ลงมือ”
ร่างกายของจิ่นซู่สั่นสะท้าน สายตาหวาดกลัวจับจ้องมองทางหลินเมิ้งหยา ราวกับตัดสินใจอะไรบางอย่างแล้ว นางพุ่งตัวออกจากสวนไปทางภูเขาปลอม
“โอ้ สาวน้อย เจ้ามาที่นี่ทำไมหรือ? ชิชิ หากใบหน้านวลของเจ้าถูกกรีดคงน่าเสียดายไม่น้อย”
เสียงหยอกเย้าของชิงหูดังขึ้น จิ่นซู่ที่กำลังหวาดผวาชะงักงันด้วยความตกใจ
ใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาเจ้าเล่ห์ รังสีอำมหิตที่ทำให้คนมองรู้สึกสั่นสะท้าน
“ไอหยา ไอหยา พระชายา ข้าที่เป็นบุรุษควรทะนุถนอมสตรีใช่หรือไม่”
นิ้วขาวเรียวยาวกดลงไปที่ลำคอของจิ่นซู่ ดวงตาของจิ่นซู่เบิกโพลง นางเพิ่งพบว่าตนเองมิอาจทำได้กระทั่งการขยับลิ้น
มองดูรอยยิ้มของชายหนุ่มตรงหน้า
“คิก หากข้ายังไม่อยากให้เจ้าตาย เจ้าเองก็ยังตายไม่ได้ ฉะนั้น เจ้าจงน้อมรับโชคชะตาของเจ้าเถิด ป๋ายซู ส่งนางไปที่ห้องของท่านอาจารย์ อีกไม่กี่วันหลังจากนี้ ท่านอาจารย์จะว่างมากขึ้น เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะไปศึกษาหญ้าเลือดกับเขา”
หลินเมิ้งหยาเหยียดกาย ใบหน้าแฝงไว้ซึ่งรอยยิ้มอำมหิต ความมืดมนที่แผ่กระจายออกมาไม่ต่างอะไรจากหมอกควันในนรก
“เจ้าค่ะ นายหญิง”
เรียนรู้วิธีการจากชิงหู นางกดจุดของจิ่นซู่ สีหน้าของป๋ายซูเย็นชา นางพาตัวจิ่นซู่ออกไปจากสวนตำหนักหลิวซิน
“เจ้าเด็กน้อย หญ้าเลือดนั่นน่ากลัวถึงเพียงนั้นเชียวหรือ์ เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินเล่า หากมีของเช่นนั้นจริง ข้าขอลองดูหน่อยได้หรือไม่?”
ตอนนี้ไม่มีใครอื่นอยู่อีกแล้ว
สีหน้าของชิงหูเปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจ เขาหัวเราะคิกคักก่อนจะซบศีรษะลงบนบ่าของหลินเมิ้งหยา
“มีของแบบนั้นเสียที่ไหนเล่า ข้าเพียงแค่ขู่นางเท่านั้น เจ้ายังจำฮูหยินหวังได้หรือไม่? ท่านอาจารย์บอกว่าอาการของนางดีขึ้นมากแล้ว ฉะนั้นเขาต้องการทำการรักษาที่อันตรายมากกว่าเก่า ที่ข้าสั่งให้ป๋ายซูนำตัวคนส่งไปก็เพื่อให้นางได้เห็นวิธีการรักษาของท่านอาจารย์ ข้าเชื่อว่าหลังจากที่นางได้เห็นแล้ว นางจะต้องคิดว่าท่านอาจารย์เป็นคนเสียสติอย่างแน่นอน ทำให้นางหวาดผวาสักสองสามวัน จากนั้นนางจะต้องเชื่อฟังพวกเราอย่างแน่นอน”
ชิงหูกระพริบตาปริบๆ เขามองนางอย่างเลื่อมใส
สวรรค์โปรด เจ้าเด็กคนนี้นิสัยไม่ดีเหลือเกิน
ไม่เลว เขาเองก็สนุกตามนางเช่นเดียวกัน
“จริงสิ เรื่องที่ข้าสั่งให้เจ้าไปแอบฟังมาเป็นเช่นไร?”
ในที่สุดก็พูดเข้าเรื่อง ท่าทางของชิงหูเคร่งขรึมขึ้นมา
“หลายวันมานี้เหตุการณ์ที่บ้านเจ้าเป็นปกติดี คนที่คอยจับตามองมีค่อนข้างมาก ข้าลองตรวจสอบดูแล้ว การป้องกันของจวนเจ้าแน่นหนายิ่งนัก ไม่มีทางที่จะมีใครลอบเข้าไปได้ง่ายๆ ดังนั้นเจ้าสบายใจได้”
หลินเมิ้งหยาพยักหน้า ทว่านางกลับรู้สึกเป็นกังวล