EP.229 จู่โจมกลางดึก

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

เอื้องอรหันต์เป็นกล้วยไม้ที่แปลกประหลาดซึ่งกล่าวกันว่าเป็นสื่อกลางของพระพุทธเจ้า ทว่ามีคนจำนวนไม่มากนับถือศาสนาพุทธบนแผ่นดินนี้ และเป็นศาสนาพุทธที่แตกต่างจากโลกเดิมซึ่งหลินมู่อวี่ไม่คุ้นเคยนัก แต่ก็ยังมีคำสอนที่ว่า ‘วางดาบลง แล้วหันหน้าสู่ธรรมะ’

“ข้าเคยพบเอื้องอรหันต์ในป่าล่ามังกรซึ่งอยู่ห่างออกไปราวสองวัน” ชวีฉู่กล่าวพร้อมพยักหน้า “เช่นนั้นข้าจะไปเสาะหาเอื้องอรหันต์ ส่วนเหล่ยหงอยู่ตำหนักเจ๋อเทียนสักสองถึงสามวันเพื่อคอยอารักขาฝ่าบาท ตกลงไหม?”

เหล่ยหงพยักหน้า “ได้ แล้วดอกผิงเม่ยล่ะ?”

“มิจำเป็นต้องเสาะหาดอกผิงเม่ย” ชวีฉู่ยิ้มจางๆ “ข้าเคยเห็นสมุนไพรนี้มาก่อน”

“โอ้? มันอยู่ที่ใด?”

“ที่มณฑลชางหนาน ผู้ว่าการหูเถี่ยหนิงปลูกไว้ที่สวนของเขา ขณะนี้เป็นฤดูหนาวซึ่งดอกผิงเม่ยกำลังบานสะพรั่ง เป็นช่วงเวลาที่ดีในการเก็บเกี่ยว” ชวีฉู่ไตร่ตรองเป็นอย่างดี “เรารีบไปกันเถิดและส่งคนไปที่เมืองห้าหุบเขาแห่งมณฑลชางหนานเพื่อเจรจากับหูเถี่ยหนิง”

“เราควรส่งใครไป?” เหล่ยหงถาม

ถังเสี่ยวซีจึงอาสา “ให้ข้าไปไหม?”

“ไม่ได้!” ชวีฉู่ปฏิเสธเสียงแข็ง “องค์หญิงซียังมิได้เข้าสู่ขอบเขตนภาและยังขาดความแข็งแกร่ง อีกทั้งเมืองหลวงยังห่างไกลจากมณฑลชางหนานมาก ระหว่างทางนั้นมีโจร กลุ่มทหารรับจ้าง และคนของสำนักอัศวินคอยดักอยู่มากมาย หากองค์หญิงโดนทำร้ายขึ้นมา แผนของเราทั้งหมดก็จะพังลง”

พูดจบชวีฉู่ก็หันมองหลินมู่อวี่ “อาอวี่ เจ้ามีความแข็งแกร่งขอบเขตราชันสวรรค์ และยังเป็นหนึ่งในสี่วีรบุรุษแห่งเมืองหลันเยี่ยนพร้อมทั้งครอบครองเหรียญตรามังกรทอง เช่นนั้นเจ้าไปมณฑลชางหนานแทนองค์หญิงซีได้หรือไม่ เจ้าต้องการดอกผิงเม่ยเพียงดอกเดียวจากนั้นก็สกัดเอาแก่นโอสถ”

หลินมู่อวี่กล่าวอย่างเคารพ “อืม ข้าจะไปเองขอรับ”

ฉินอินกะพริบตาอย่างลังเลที่จะกล่าว

เหล่ยหงพลันขมวดคิ้ว “เมื่อครั้งที่อาอวี่ถูกกล่าวหาว่าก่ออาชญากรรมในเมืองหยินซาน หูเถี่ยหนิงส่งมือดีหลายพันคนไล่ล่าหลินมู่อวี่ แม้มันจะจบไปแล้ว ทว่าก็มีความบาดหมางเกิดขึ้นระหว่างหูเถี่ยหนิงและหลินมู่อวี่ อีกทั้งหูเถี่ยหนิงเป็นลุงของเซี่ยงอวี้ ข้าเกรงว่าการที่อาอวี่เดินทางไปมณฑลชางหนานพร้อมเหรียญตรามังกรทองจะไม่เพียงพอ”

“ข้าจำต้องใช้สิ่งใดเพิ่มเติมหรือขอรับ?” หลินมู่อวี่เอ่ยถาม

“ทูลขอราชโองการจากฝ่าบาท ตราบใดที่เป็นคำขององค์จักรพรรดิ คงไม่ยากเกินไปที่จะได้ดอกผิงเม่ยมา”

“ขอรับ!”

ชวีฉู่เดินไปตบไหล่หลินมู่อวี่ “อาอวี่ระวังตัวด้วย แล้วนำองครักษ์อวี้หลินจากรังอินทรีไปกับเจ้า การช่วยองค์หญิงซีทะลวงระดับกลายเป็นหนึ่งในหน้าที่ของรังอินทรีแล้ว ในฐานะผู้บัญชาการ เจ้าไม่สามารถไปมณฑลชางหนานผู้เดียว”

หลินมู่อวี่หรี่ตาลงพร้อมพูดทั้งรอยยิ้ม “หูเถี่ยหนิงกล้าลงมือสังหารข้าจริงๆ หรือ?”

“กระนั้นก็ต้องเตรียมการไว้ก่อน”

ชวีฉู่วางม้วนตำราในมือลงอย่างเชื่องช้า “หูเถี่ยหนิงเป็นผู้ว่าการมณฑลชางหนานมานานหลายปี อาจถูกพิจารณาเป็นเสินโหว แม้เขาจะเข้าเฝ้าฝ่าบาทปีละครั้ง กระนั้นก็เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในมณฑลซึ่งเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส เจ้าต้องระวังตัวให้ดี”

“เข้าใจแล้ว ข้าจะระวังตัวขอรับ”

“ดี ไปเตรียมสารทหารเถิด หากเกิดสิ่งใดขึ้น ก็รีบรายงานให้เราทราบ”

“ขอรับ!”

เช้าวันใหม่หลังจากพักผ่อนเพียงเล็กน้อย หลินมู่อวี่ก็เคลื่อนทัพจากรังอินทรีพร้อมราชโองการ เว่ยโฉว เซี้ยโหวซาง และทหารนายอื่นๆ ต่างก็เป็นทหารม้ามากฝีมือ หลินมู่อวี่นำองครักษ์อวี้หลินไปด้วยยี่สิบนาย และทหารอวี้หลินแปดสิบนาย นอกประตูทิศเหนือของเมืองหลันเยี่ยนมีธงโบกสะบัดอยู่ระยะไกล เป็นธงของจักรพรรดิซึ่งมีคำว่า ‘ฉิน’ อยู่บนนั้น และมาจากกองทหารของฉินอินและเสี่ยวซีที่รอส่งหลินมู่อวี่

หลินมู่อวี่ควบม้าเข้าไป พร้อมประสานมือกล่าวอย่างเคารพ “เสี่ยวอิน เสี่ยวซี ไม่จำเป็นต้องยกกองทัพมาส่งข้าอย่างยิ่งใหญ่เช่นนี้เลย จะเป็นการป่าวประกาศให้คนอื่นรู้มากกว่า…”

ลมหนาวพัดผ่านผ้าคลุมฉินอินสะบัดไหว นางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เสี่ยวซีก็พูดเช่นนี้ในคราแรก แต่ข้ากลับคิดว่าคงดีกว่าหากผู้คนรู้ว่าท่านกำลังมุ่งหน้าไปมณฑลชางหนาน นี่อาจทำให้หูเถี่ยหนิงเคารพท่านมากขึ้น”

“อื้ม นั่นก็สมเหตุสมผล” หลินมู่อวี่พยักหน้า

“จริงสิพี่อาอวี่ ข้ามีของขวัญจะให้”

“โอ้? มันคือสิ่งใดหรือ?” หลินมู่อวี่ถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

ฉินอินยิ้มบางๆ ก่อนจะหันไปบอกสาวใช้ด้านหลัง “นำมันมา”

“พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง!”

สาวใช้เดินกลับมาพร้อมผ้าห่มขนสัตว์สีขาวขอบทองซึ่งดูมีราคามาก ฉินอินเอื้อมมือไปรับก่อนที่ดวงตาคู่งามจะมองหลินมู่อวี่อย่างเปิดเผย “นี่คือผ้าห่มจิ้งจอกหิมะ และข้าเป็นผู้ปักดอกจื่อยินด้านข้างเอง…พี่อาอวี่กำลังจะออกเดินทางไปมณฑลชางหนานซึ่งต้องใช้เวลาราวสามถึงห้าวัน ค่ำคืนนี้คงจะหนาวเย็นมาก จงใช้ผ้าห่มผืนนี้เสีย มิเช่นนั้นอาจไม่สบายได้”

หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะยิ้ม “เสี่ยวอินเอาใจใส่ถึงเพียงนี้…”

“อืม…ท่านคิดว่าอย่างไร?” เสี่ยวอินราวกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ขณะที่ทำปากมุ่ย “พี่อาอวี่ต้องดูแลตัวเองให้ดี แม้ร่างกายและจิตวิญญาณจะแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป ทว่าก็ยังสร้างจากเลือดเนื้อ หากไม่ดูแลตัวเอง ท่านอาจไม่สบายกลับมาได้ เช่นนั้นคงต้องลำบากข้าและเสี่ยวซีดูแล”

“ไม่แน่นอน” หลินมู่อวี่รู้สึกอบอุ่นหัวใจขณะที่กอดผ้าห่ม “เสี่ยวอินและเสี่ยวซีวางใจเถิด ข้าดูแลตัวเองได้ ดูสิข้าอายุเท่าไหร่แล้ว เจ้าอายุเพียงยี่สิบปี ขณะที่ข้าอายุยี่สิบสี่แล้ว อายุมากกว่าถึงเพียงนี้ หากดูแลตัวเองไม่ได้ สี่ปีที่มากกว่านั้นคงสูญเปล่า”

ฉินอินหัวเราะ “อือ พี่อาวี่พูดถูก!”

จากนั้นถังเสี่ยวซีเดินมาด้านหน้า “มู่มู่ อย่าบอกลาแต่เสี่ยวอินผู้เดียวสิ ข้าก็เตรียมบางสิ่งมาให้เจ้า!”

“โอ้? มันคือสิ่งใดหรือ?”

“ทหาร นำมันออกมา”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

ทหารหลายนายของจวนเดินถือห่อผ้าสีขาวที่ส่งกลิ่นหอมจางๆ ถังเสี่ยวซีเปิดออกห่อหนึ่งแล้วพูดทั้งรอยยิ้ม “นี่คือเนื้อหอมกรุ่น ขากระต่ายหิมะ และผลไม้เพื่อช่วยย่อยอาหาร เจ้าต้องการมันขณะเดินทาง”

หลินมู่อวี่อึ้ง หญิงสาวทั้งสองเอาใจใส่เขาจนแทบน้ำตาไหลด้วยความปีติ หลินมู่อวี่จึงวางผ้าห่มลงบนหลังม้า ก่อนจะส่งห่ออาหารให้เว่ยโฉวและเซี้ยโหวซาง “ขอบคุณมากเสี่ยวซี เจ้าช่างเอาใจใส่เช่นเดียวกับเสี่ยวอิน”

ถังเสี่ยวซีตอบกลับด้วยรอยยิ้มจางๆ “รีบกลับมาล่ะ เพียงเดินทางตามถนนสายหลักนี้ เจ้าเป็นองครักษ์รักษาพระองค์พร้อมทหารติดตามมากมาย พวกโจรและทหารรับจ้างเหล่านั้นคงมิกล้าทำร้ายเจ้า”

“อืม ข้ารู้ เช่นนั้นข้าไปล่ะ!”

หลินมู่อวี่ขึ้นไปบนม้าและมองไปที่สาวงามทั้งสอง ก่อนจะแสดงท่าทางจริงจังโดยการวางมือขวาที่หน้าอกพร้อมก้มหัวเล็กน้อย ซึ่งเป็นการแสดงความเคารพเฉกเช่นทหารแห่งจักรวรรดิ

การคำนับของหลินมู่อวี่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ทว่าการแสดงออกที่สงบนิ่งและจริงจังพร้อมทั้งชุดของวิหารที่ปลิวไสวทำให้หลินมู่อวี่ดูเหมือนวีรบุรุษมากขึ้น ทันใดนั้นหัวใจของฉินอินและเสี่ยวซีก็เกิดความสับสนวุ่นวาย ฉินอินเงยหน้าขึ้นมอง “พี่อาอวี่รีบกลับมาล่ะ”

“อืม ข้าไปล่ะ”

หลินมู่อวี่ถอยหลังพร้อมตะโกน “เคลื่อนทัพ!”

ม้าศึกส่งเสียงร้องยาวพร้อมเสียงเท้าม้าดังก้อง ขณะที่พวกเขาเคลื่อนตัวออกจากเมืองหลันเยี่ยนอย่างรวดเร็ว

เมื่อกลุ่มของหลินมู่อวี่ลับสายตา ฉินอินก็ถอนหายใจราวกับสูญเสียบางอย่างในใจ นางเอื้อมมือไปหยิบกระบี่จื่อยินและสัมผัสพลังงานระดับปราชญ์อันแข็งแกร่งที่ส่งออกมาจากใบดาบ หัวใจนางพลันรู้สึกอบอุ่นอีกครั้งขณะที่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวซี เรากลับตำหนักเจ๋อเทียนกันดีไหม?”

“อืม”

ถังเสี่ยวซีทอดสายตาออกไประยะไกล ก่อนจะควบม้าตามฉินอิน

กองทหารควบม้าไปตามถนนสายหลัก เมื่อถึงเวลาพลบค่ำก็มีผู้สัญจรบางตาลงเรื่อยๆ เว่ยโฉวควบม้ามาด้านหน้าและเอ่ยถาม “ท่านหลิน จะมีจุดพักอีกสิบไมล์ด้านหน้า คืนนี้ควรพักแรมที่นั่นไหมขอรับ?”

“ไม่จำเป็น”

หลินมู่อวี่จับบังเหียนแน่น “เราจะเดินทางต่อ และหยุดตั้งค่ายพักแรมในกลางดึก”

“ขอรับ!”

เวลาผันผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนกระทั่งดวงดาวประดับเต็มฟากฟ้า ไม่นานก็กลายเป็นเวลาดึกสงัด ทว่าพวกเขายังห่างไกลจากจุดหมาย หลินมู่อวี่ยกมือออกคำสั่ง “เราจะสร้างค่ายพักแรมในป่าบริเวณนี้ และออกเดินทางทันทีเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น”

“ขอรับท่านผู้บัญชาการ!”

ทหารทุกคนลงจากหลังม้า และหน่วยวิญญาณอัคนีเริ่มเตรียมอาหาร ส่วนหลินมู่อวี่เดินไปผูกม้าและให้อาหาร จากนั้นก็ชักกระบี่วิญญาณมังกรออกลาดตระเวน เมื่อสำรวจบริเวณโดยรอบก็พบว่าเป็นพื้นที่รกร้างไร้ผู้คนหรือแม้แต่ร่องรอยของสัตว์ป่า ดูเหมือนว่าค่ำคืนนี้จะค่อนข้างเงียบสงบ

นั่นเป็นเรื่องดี…สงบสุขก็ดีกว่าวุ่นวาย

หลังทานอาหารเสร็จหลินมู่อวี่ก็เอนตัวลงที่มุมกระโจมเพื่อพักผ่อนและห่มผ้าขนสัตว์จิ้งจอกหิมะที่ฉินอินมอบให้ เขาพลันรู้สึกอบอุ่นหัวใจ ฉินอินและเสี่ยวซีต่างก็เป็นเด็กสาวที่เอาใจใส่ดูแลเขาอย่างดี เช่นนั้นเขาจะทำสิ่งใดได้บ้าง? แม้ว่าหลินมู่อวี่จะไม่ใช่คนที่อ่อนไหวง่าย แต่ก็ไม่ใช่คนโง่เขลา เขาคงต้องตัดสินใจในสักวัน…

เซี้ยโหวซางนอนอยู่ด้านข้างอย่างมีความสุขพร้อมกรนเสียงดังราวฟ้าถล่ม

เวลาผันผ่านไปนานเพียงใดไม่ทราบ จู่ๆ เว่ยโฉวก็เดินมาด้วยสีหน้าจริงจังพร้อมแตะที่ไหล่หลินมู่อวี่เบาๆ “ท่านหลินมู่อวี่ ตื่นขอรับ”

“หืม? เช้าแล้วหรือ?” หลินมู่อวี่ถาม

“ไม่ใช่ขอรับ” เว่ยโฉวพูดเสียงแผ่วเบา “มีกลุ่มคนห่างจากเราไปห้าไมล์ ซึ่งมีจำนวนราวสองร้อยคนกำลังมุ่งตรงมาทางเรา และคงจะมาถึงที่นี่อีกไม่นาน”

“โอ้ เจ้าเห็นชัดหรือไม่ว่าเป็นใคร?” หลินมู่อวี่ลุกขึ้นนั่ง

“คนของสำนักอัศวินขอรับ”

“โอ้?”

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้ว “คนของสำนักอัศวินต้องการทำศึกกับกองทัพแห่งจักรวรรดิอีกครั้งรึ นี่พวกเขาไปกินดีเสือมาหรืออย่างไร?”

เว่ยโฉวเผยยิ้มจางๆ “หลังจากฝ่าบาททรงราชโองการให้กำจัดสำนักอัศวินในมณฑลหลิงหนาน คนจากสำนักอัศวินก็เริ่มก่อจลาจลมากขึ้น พร้อมกับตระโกนคำขวัญกบฏ”

“คำขวัญอะไร?”

“ข้าน้อยมิกล้าเอ่ย…”

“พูดมา!”

“พวกมันพูดว่า…จักรพรรดิทรราชและโง่เขลา กองทัพหลวงเป็นเพียงหมาที่ภักดี มิสมควรมีชีวิตอยู่บนผืนแผ่นดิน”

“เป็นเช่นนี้เอง…”

หลินมู่อวี่หรี่ตาลง เขารู้ดีว่าคนของสำนักอัศวินมีเป็นเช่นไร ทว่าในเมื่อพวกเขาแสดงออกอย่างบ้าคลั่งถึงเพียงนี้…ก็หมายความว่าต้องมีผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังเป็นแน่ และคนคนนั้นก็วางแผนมาเป็นอย่างดี บางทีคนอย่างเจิ้งอี้ฝานก็มิได้น่ากลัวแต่อย่างใด แต่คนที่หลบซ่อนอยู่เบื้องหลังเช่นนี้น่าเกรงกลัวเป็นที่สุด!

“เราควรทำอย่างไรดีขอรับ?” เว่ยโฉวเอ่ยถาม

หลินมู่อวี่ชักกระบี่ขึ้น “อย่าส่งเสียงดัง แล้วไปปลุกทุกคนซะ จัดการคบไฟรอบค่ายให้ดีและให้ทุกคนซ่อนตัวในป่าทางทิศตะวันออก เมื่อใดที่คนของสำนักอัศวินเข้ามาก็ล้อมจับทั้งหมดด้วยตาข่าย!”

“ขอรับ!” ดวงตาเว่ยโฉวเผยความตื่นเต้น

………………