ตอนที่ 127-2 ภายหลังการลอบสังหาร

ชายาเคียงหทัย

สวีหงเยี่ยนนั่งเงียบอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ทำได้เพียงถอนหายใจยาวแล้วลุกขึ้นยืน “เรื่องเหล่านี้หลีเอ๋อร์ตัดสินใจจัดการเองเลยก็แล้วกัน คนแก่อย่างข้าเหนื่อยแล้ว ขอกลับไปพักผ่อนก่อนล่ะ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า รีบสั่งให้คนไปส่งสวีหงเยี่ยนกลับห้องพักทันที

 

 

เมื่อเห็นสวีหงเยี่ยนเดินออกไปแล้ว เฟิ่งจือเหยาจึงเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “ใต้เท้าสวีหมายความเช่นไรหรือ”

 

 

เยี่ยหลีเพียงเอ่ยเรียบๆ “ไม่มีอันใดหรอก ท่านลุงเพียงหมดหวังกับเรื่องบางเรื่องกับคนบางคนก็เท่านั้น”

 

 

คนที่ละเอียดรอบคอบเช่นท่านลุงรองจะเดาไม่ออกได้อย่างไรว่าเบื้องหลังมู่ฉิงชังนั้นมีผู้ใดคอยชักใยอยู่

 

 

เฟิ่งจือเหยาก็มิได้สนใจ เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “อันที่จริง ข้ามิได้สนใจว่าพระชายาจะจัดการกับมู่ฉิงชังอย่างไร ที่ข้าสนใจมากกว่าคือ คนที่จับตัวมู่ฉิงชังได้เหล่านั้นคือผู้ใด”

 

 

เมื่อได้ยินเขาพูดออกมาเช่นนี้ สายตาทุกคู่ภายในห้องหนังสือจึงไปรวมกันอยู่ที่เยี่ยหลีเพียงคนเดียว เยี่ยหลีก้มหน้าลงจิบชา เหลือบมองท้องฟ้าด้านนอกที่ค่อยๆ สว่างขึ้น ยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยว่า “แน่นอนว่าพวกเขาก็ย่อมเป็นคนของตำหนักติ้งอ๋อง ส่วนเรื่องจะเป็นผู้ใดนั้น…ตอนนี้ยังไม่สามารถบอกทุกท่านได้ แต่เชื่อว่าอีกไม่นาน ท่านอ๋องจะบอกแก่พวกท่านด้วยตัวท่านเอง”

 

 

จางฉี่หลันเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “ท่านอ๋องก็รู้เกี่ยวกับคนเหล่านี้หรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้วด้วยสีหน้าประหลาด “ท่านอ๋องต่างหากที่เป็นประมุขแห่งตำหนักติ้งอ๋องที่แท้จริง เรื่องและคนในตำหนักติ้งอ๋องเรื่องใดบ้างที่ท่านอ๋องไม่รู้”

 

 

จางฉี่หลันดูจะรับรู้ได้ว่าก่อนหน้านี้ตนได้แสดงท่าทีเสียมารยาทออกไป จึงหัวเราะเสียงใสว่า “พระชายาโปรดอภัยด้วย ความหมายของข้าน้อยคือ…ในเมื่อท่านอ๋องก็รู้เรื่องกองกำลังนี้ เช่นนั้นต่อไปข้าน้อยสามารถขอร้องให้ท่านอ๋องจัดสรรกองกำลังนี้ให้กองทัพตระกูลม่อบ้างได้หรือไม่ หากมีพวกเขารวมอยู่ในกองทัพด้วย ไม่ว่าจะทำการได้จะต้องรวดเร็วขึ้นมากอย่างแน่นอน”

 

 

คิ้วเรียวของเยี่ยหลีเลิกขึ้นเล็กน้อย หันมองสีหน้าตื่นเต้นและยินดีปรีดาของจางฉี่หลัน ไม่คิดเลยว่าจางฉี่หลันที่ดูเผินๆ เป็นนายทหารที่พูดจาตรงไปตรงมาอย่างที่ใจคิดนั้น เมื่อเป็นเรื่องการศึกและการทหารแล้วกลับละเอียดอ่อนไม่น้อย เยี่ยหลีมิได้ทำลายความหวังของเขาเสียทีเดียว นางยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “รอให้ท่านอ๋องกลับมาก่อน แล้วแม่ทัพจางลองคุยเรื่องนี้กับท่านอ๋องดูก็แล้วกัน”

 

 

เมื่อมีนักทรมานฝีมือดีอย่างเฟิ่งจือเหยาร่วมอยู่ในการสอบสวนด้วย ก็ทำให้การสอบสวนนักฆ่ากลุ่มนี้เป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้นมาก แน่นอนว่านักฆ่าที่จับตัวมาได้จำนวนมากในครานี้ พวกเขาย่อมมีแหล่งที่มาที่หลากหลาย

 

 

สามวันให้หลังจากที่เกิดเรื่องวุ่นวายในตำหนักติ้งอ๋องขึ้น บนโต๊ะหนังสือของเยี่ยหลีมีม้วนกระดาษหนาๆ วางอยู่ เพียงเปิดดูผ่านๆ ข้อมูลที่อยู่ด้านในก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้ใดก็ตามรู้สึกตกใจได้เลยทีเดียว ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการลอบฆ่าครานี้ มีทั้งผู้มีอิทธิพลทั้งหลายจากต้าฉู่ ซีหลิง เป่ยหรงและหนานจ้าว เมื่ออ่านรายงานจบเยี่ยหลีถึงกับอดหัวเราะขื่นๆ ออกมาไม่ได้ หลายปีมานี้ ตำหนักติ้งอ๋องตกเป็นเป้าหมายที่คนทั้งใต้หล้าจ้องจะทำลายให้สิ้นซากไปแล้วจริงๆ เพียงแต่ เมื่อเกิดเรื่องในครานี้ขึ้น เชื่อแน่ว่าคงมิมีผู้ใดกล้าคิดทำอันใดตำหนักติ้งอ๋องอีกเป็นแน่

 

 

เยี่ยหลีผินหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง สวนดอกไม้ภายใต้แสงแดดอ่อนๆ ยังคงมีดอกไม้แข่งกันผลิบานสีสันสดใส ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เพียงสองวัน แต่กลับไม่มีภาพอันน่าหวาดกลัวและกลิ่นคาวเลือดอย่างเมื่อหลายวันก่อนให้เห็นอีก

 

 

“เรียนพระชายา มู่ฉิงชังอยากพบพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีวางม้วนกระดาษในมือลง เลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “แค่เพียงสามวันเขาก็ทนไม่ไหวแล้วหรือ”

 

 

ฉินเฟิงขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ตั้งแต่มู่ฉิงชังถูกพวกเราจับตัวมาก็ดูหดหู่ท้อแท้มาโดยตลอด พวกข้าน้อยทำตามคำสั่งของพระชายาอย่างเคร่งครัด มิได้ทรมานอันใดเขาเลยแม้แต่น้อย เป็นตัวเขาเองที่ตัดสินใจขอพบพระชายาพ่ะย่ะค่ะ หากไม่ได้พบพระชายาเขาจะไม่ยอมพูดอันใดทั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลียิ้มโบกมือ “คนอย่างมู่ฉิงชังนั้นทรมานเขาอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์หรอก มีแต่จะไปกระตุ้นความโกรธแค้นในใจเขาเท่านั้น ไปนำตัวเขาเข้ามาเถิด”

 

 

ฉินเฟิงไม่เห็นด้วย “พระชายา นำตัวเขามาที่ห้องหนังสือจะไม่…”

 

 

“ไม่เป็นไร เขาก่อเรื่องอันใดอีกไม่ได้หรอก ไปเถิด”

 

 

ไม่นาน มู่ฉิงชังก็ถูกคนนำตัวเข้ามาในห้องหนังสือ เพียงชั่วเวลาสั้นๆ เพียงสามวัน เขาได้เปลี่ยนจากนักฆ่าในชุดดำที่มีรังสีสังหารอันน่าเกรงขาม กลายเป็นนักโทษที่ผมเผ้าหลุดลุ่ยและมีสีหน้าอ่อนแรง แววตาที่มองมายังเยี่ยหลีดูไม่มีประกายหรือความโกรธเลยแม้แต่น้อย

 

 

ในใจเยี่ยหลีนึกทอดถอนใจ มู่ฉิงชังอายุมากเกินไปแล้วจริงๆ

 

 

“ออกไปก่อนเถิด” เยี่ยหลีเอ่ยกับฉินเฟิงที่ยืนประกบอยู่ข้างมู่ฉิงชัง

 

 

ฉินเฟิงใช้สายตาคมกริบกวาดมองมู่ฉิงชังทีหนึ่ง ก่อนเดินออกไปเงียบๆ

 

 

ภายในห้องหนังสือเงียบกริบลงทันที ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้ยินมู่ฉิงชังเอ่ยขึ้นว่า “ไม่คิดเลยว่าคนในตำหนักติ้งอ๋องจะยินยอมรับฟังคำสั่งของเด็กสาวที่อายุเพียงสิบกว่าปีเท่านั้น”

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “ไม่ว่าข้าจะอายุเพียงสิบกว่าปีหรือหลายสิบปี แต่ท่านมู่ก็ควรยอมรับฐานะอีกฐานะหนึ่งของข้า นั่นคือข้าคือชายาติ้งอ๋อง อาศัยเพียงแค่เรื่องนี้ก็สามารถทำให้พวกเขายอมฟังคำสั่งของข้าได้แล้ว”

 

 

มู่ฉิงชังส่ายหน้า “ชายาติ้งอ๋อง…ชายาติ้งอ๋องที่สามารถบัญชาการหน่วยเฮยอวิ๋นฉีและกองทัพตระกูลม่อได้นั้น มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นในประวัติศาสตร์ต้าฉู่”

 

 

เยี่ยหลียกยิ้มขึ้น “ท่านมู่เอ่ยชมผิดแล้ว”

 

 

“ท่านอยากรู้เรื่องใด” มู่ฉิงชังเอ่ยถามขึ้นตรงๆ

 

 

เยี่ยหลีเองก็ไม่เกรงใจ ถามกลับว่า “ท่านมู่อยากได้สิ่งใด”

 

 

สีหน้ามู่ฉิงชังยังคงเรียบเฉย นิ่งอยู่พักใหญ่ถึงเอ่ยถามขึ้นว่า “เชื่อว่าพระชายาคงรู้ถึงฐานะของข้าน้อยแล้ว”

 

 

เยี่ยหลีมองชายที่อายุยังไม่ถึงสี่สิบปีดี แต่ใบหน้ากลับดูเลยวัยไปมากแล้ว นางทั้งไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ

 

 

มู่ฉิงชังมิได้ใส่ใจ เอ่ยถามเรื่องที่ตนอยากรู้ต่อว่า “หลายวันนี้มีผู้ใดมาสอบถามเรื่องของข้าบ้างหรือไม่”

 

 

เยี่ยหลีหลุบตาลง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ท่านมู่หวังอยากให้มีผู้ใดมาสอบถามเรื่องของท่านหรือ ในเมื่อท่านได้ทำการบุกเข้ามาลอบสังหารชายาติ้งอ๋องถึงในตำหนักติ้งอ๋องแล้ว ท่านคิดว่าจะยังมีผู้ใดในเมืองหลวงกล้าแสดงตนว่ามีความสัมพันธ์กับท่านอีกหรือ ข้าขอเอ่ยวาจาก้าวล่วงหน่อยเถิด ในยามนี้ต่อให้เป็นฮ่องเต้ ก็คงมิกล้ายอมรับว่ามีความสัมพันธ์อันใดกับท่านเช่นกัน”

 

 

มู่ฉิงชังนิ่งขรึมไป หันมองเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยว่า “เชื่อว่าพระชายาคงรู้ถึงฐานะของข้าน้อยแล้วใช่หรือไม่”

 

 

เยี่ยหลียิ้มแต่ไม่ตอบ แววตามู่ฉิงชังก็ดูมั่นใจมากขึ้น เอ่ยว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นพระชายาของติ้งอ๋อง ข้าน้อยขอนับถือ”

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้า “มิได้ ข้าไม่รู้อันใดเลย ข้าหวังเพียงให้ตำหนักติ้งอ๋องและคนในตระกูลข้าอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขเท่านั้น เช่นนั้นท่านมู่อยากได้สิ่งใดหรือ”

 

 

แววตามู่ฉิงชังดูว่างเปล่าและฉงนสงสัย เอ่ยพึมพำเสียงต่ำ “ข้าอยากได้สิ่งใด…”

 

 

เยี่ยหลีหลุบตาลงมองมือทั้งสองข้างที่วางอยู่บนโต๊ะ เอ่ยเสียงเบาว่า “ในเมื่อท่านมู่อยากพบข้า เชื่อว่าคงจะมีอันใดอยากแลกเปลี่ยนกับข้า เช่นนั้น…ท่านมู่จะต้องมีสิ่งที่ต้องการอย่างแน่นอน”

 

 

มู่ฉิงชังนิ่งเงียบไปพักใหญ่ เงยหน้าขึ้นมองเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยว่า “พระชายาคงรู้ถึงฐานะข้าโดยละเอียดแล้ว ข้าอยากรู้ว่า…สำหรับพวกเขาแล้ว ข้ามีฐานะเช่นไรกันแน่!”

 

 

เยี่ยหลีมองเขาด้วยดวงตาเจือแววสงสาร เอ่ยเรียบๆ ว่า “เหตุใดท่านมู่ถึงต้องทำเช่นนี้ หากท่านต้องการหนีห่างออกจากเรื่องเหล่านี้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ด้วยความสามารถของท่าน หากไปจากคนหรือเรื่องราวในเมืองหลวง ท่านก็จะกลายเป็นนกที่มีท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ให้โผบินออกไปมิใช่หรือ”

 

 

ดวงตามู่ฉิงชังมีแววมืดครึ้มและเศร้าโศกเล็กน้อย เขาส่ายหน้าเอ่ยว่า “หากคิดอยากหนีไป ข้าน้อยย่อมสามารถทำได้ด้วยตนเอง มิใช่หรือ”

 

 

“ท่านแน่ใจแล้วหรือ” เยี่ยหลีเอ่ยถามเพื่อความมั่นใจ

 

 

มู่ฉิงชังพยักหน้าอย่างแน่วแน่

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้าน้อยๆ เอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้น เชิญท่านมู่เปิดเผยสิ่งที่ท่านมีอยู่ในมือมาเถิด”

 

 

มู่ฉิงชังเอ่ยว่า “จะต้องทำให้พระชายาพอใจอย่างแน่นอน”