ตอนที่ 150 พบกันโดยบังเอิญ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 150 พบกันโดยบังเอิญ

“ท่านต้องการหยั่งเชิงตระกูลเยี่ยนงั้นหรือ ? ”

ซูโหรวนั่งอยู่ตรงข้ามฟู่เสี่ยวกวน นางมิได้เงยหน้าขึ้นมอง แต่ยังคงปักลายดอกไม้ลงไปบนผ้าอย่างใจเย็น

“เจ้าว่า…หลินเจียงมีตระกูลมั่งคั่งมากมาย แล้วเหตุใดพวกเขาจึงต้องจัดการกับซีซานของข้ากัน ? หากพวกเขาต้องการปล้นอาหาร ข้ายังเข้าใจได้ แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขามิได้มีจุดประสงค์เพื่อปล้นอาหาร แต่ที่ซีซานก็ไม่ได้มีเงินทองมากมาย มันคุ้มค่าต่อการที่พวกเขาจะเดินทางมาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“อีกอย่างหนึ่ง จวนของเศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งหลินเจียงนั้นมีการป้องกันไม่แน่นหนาเท่ากับที่นี่ด้วยซ้ำ เดิมทีข้าคาดว่าพวกเขาจะเพียงมองดูแล้วจากไป คาดมิถึงว่าพวกเขาคิดจะเล่นงานที่นี่ ดังนั้นข้ามั่นใจว่าการปล้นสะดมมิใช่วัตถุประสงค์ที่แท้จริง แต่เป้าหมายของพวกเขาคือชีวิตข้าต่างหาก”

“ข้ามิรู้ว่าเป็นผู้ใดที่ต้องการชีวิตข้ากันแน่ แต่การที่สามารถให้จอมโจรทั้งสองมาปลิดชีพข้าได้นั้น ต้องมิใช่คนธรรมดาแน่ ผู้ที่สามารถต่อสู้กับกงเซินฉางได้นั้นมีมิมาก ข้ามิอาจรู้ว่าพวกเขาใช้สิ่งใดมาแลกกับชีวิตข้ากัน แต่ก็คงมิพ้นเงินทอง กำลังทหารและอาวุธ หรือ…เขาต้องการเข้ารับการอภัยโทษ พวกเขาเหล่านี้เป็นโจร หากข้าตายในน้ำมือพวกเขา ก็มิมีสิ่งใดต้องสงสัย หากกงเซินฉางยินยอมรับการอภัยโทษจากองค์จักรพรรดิ ก็อาจได้รับตำแหน่งทางราชการได้”

“ข้าอยากเชิญเยี่ยนซีเหวินมาลองเจรจาดู เขายินดีจะรับผิดชอบหน้าที่ใหญ่หลวงนี้หรือไม่ ? ”

ซูโหรวมองดูฟู่เสี่ยวกวน ชายหนุ่มอายุเพียงเท่านี้กลับมีแผนการมากมายในใจ เขามิเหนื่อยบ้างหรือ ?

“เจ้าคิดมากไปหรือไม่ ? ”

“ข้าหวังว่าจะเป็นเยี่ยงนั้น ผมข้าร่วงติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน พรุ่งนี้จักต้องใช้ชุนซิ่วนำเหอโส่วอูตุ๋นกับซุปไก่ให้เสียแล้ว”

……

……

ท่ามกลางความมืดมิดใต้ภูเขาไต้ชาน สนามฝึกพิเศษมีทหารจำนวนกว่าสองพันคนสวมใส่เครื่องแบบใหม่ พวกเขามีอาวุธสี่ชิ้น และแบกกระเป๋าใบใหญ่น้ำหนักกว่าสี่สิบจิน

ไป๋ยู่เหลียนและซูม่อยืนอยู่ด้านหน้า แสงไฟสลัวส่องลงมาบนใบหน้าเคร่งขรึมของเขาที่มองไปยังกลุ่มคน

“ฝึกปฏิบัติยามวิกาล……ออกเดินทาง ! ”

เมื่อสิ้นคำสั่งของไป๋ยู่เหลียน เฉินป๋อนำขบวนฝึกวิ่งไปยังภูเขาไต้ชาน

ซ่งต้าเป่า จอมโจรมากความสามารถนำลูกน้องกว่าสามร้อยคนยืนอยู่บนภูเขาไต้ซาน เขาหันไปทางหลิวซานเปี้ยนแล้วเอ่ยถามว่า “นี่พวกมัน…กำลังทำสิ่งใด ? ”

หลิวซานเปี้ยนก็มิเข้าใจเช่นกัน เขาขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “หรือพวกมันจะเห็นพวกเราแล้ว ? ”

“มิน่าใช่ ทิศทางที่พวกมันไปเป็นอีกทางหนึ่ง”

“รอดูสถานการณ์ไปก่อน เกรงว่าจะมีแผนการซ่อนอยู่”

ซูม่อเดินตามปิดท้ายขบวนฝึก พวกเขาหารู้ไม่ว่าบัดนี้มีคนอีกกลุ่มหนึ่งจับตามองพวกเขาอยู่ พวกเขายังคงวิ่งขึ้นไปบนภูเขาไต้ซาน เมื่อคบเพลิงดับลง ทั้งสี่ทิศก็มืดมิด ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าท่ามกลางความเงียบสงัดของป่าเขา

เฉินป๋อได้รับคำสั่งจากไป๋ยู่เหลียนว่าในค่ำคืนนี้จะไม่ฝึกซ้อมตามเส้นทางเดิม เขาจึงได้เปลี่ยนเส้นทาง

เส้นทางนี้เป็นทิศทางที่ซ่งต้าเป่าซ่อนตัวอยู่ ซ่งต้าเป่าเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าเหล่านั้นแล้วกล่าวว่า “พวกมันมุ่งหน้ามาทางเรา”

หลิวซานเปี้ยนตกตะลึง เขามิรู้ว่าผู้ใดในกลุ่มพลาดท่าตอนไหน ครานี้แย่แน่ ๆ

“พวกเราถอนกำลังก่อน”

“มิสู้หรือ ? ”

“สู้ได้เยี่ยงไร ? คนมากมายเพียงนั้น สามารถล้อมพวกเราได้โดยง่าย”

ซ่งต้าเป่าออกคำสั่งแล้วเดินนำลงมาจากภูเขา

ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วธูป กองทหารที่นำโดยเฉินป๋อได้เดินทางมาถึงจุดที่ซ่งต้าเป่าซ่อนตัวอยู่ พวกเขาหาได้รู้ไม่ว่าก่อนหน้านี้มีคนกลุ่มหนึ่งซ่อนตัวอยู่ จึงได้วิ่งผ่านไปโดยมิสังเกต

ซ่งต้าเป่าที่ยืนดูอยู่จากตีนเขามีสีหน้าตกตะลึง ดึกดื่นเช่นนี้พวกเขามิหลับนอน แต่กลับออกมาวิ่งเพื่อเหตุใดกัน ?

เขามองไปยังหลิวซานเปี้ยน หลิวซานเปี้ยนเองก็จ้องเขาตาเขม็ง แม้พวกเขาจะได้รับสมญานามว่าเป็นผู้ฉลาดหลักแหลม แต่บัดนี้พวกเขาทั้งสองก็มิอาจเข้าใจได้

เสียงฝีเท้าเริ่มเบาลงกระทั่งสิ้นเสียง

“พวกเราไปดูสักหน่อยดีหรือไม่ ? ”

หลิวซานเปี้ยนครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “อืม ดูแล้วพวกมันมิได้รู้ว่าพวกเราอยู่ที่นี่”

ดังนั้นซ่งต้าเป่าจึงได้พาลูกสมุนอีกสามร้อยคนขึ้นสู่ภูเขา ผ่านไปสองยาม แสงไฟด้านล่างก็เริ่มสว่างขึ้น คนกลุ่มนั้นคล้ายว่าวิ่งกลับไปยังตำแหน่งเดิม

ลาดตระเวนงั้นหรือ ?

เจ้านายพวกเจ้าเป็นใครกัน ?

ความคิดพิกลยิ่งนัก !

ซ่งต้าเป่ามองไปยังกลุ่มคนด้านล่าง พวกเขาแยกย้ายตัวกันกลับไปยังที่พักของตน เวลาผ่านไปครึ่งเล่มธูป แสงไฟทั้งหมดก็ถูกดับลง คาดว่าคงเข้านอนแล้ว

“พวกเราเข้าไปจัดการพวกมันดีหรือไม่ ? ” ซ่งต้าเป่าเอ่ยถาม หลิวซานเปี้ยนรีบเอ่ยห้ามว่า “มิได้ อาจทำให้เรื่องสำคัญผิดพลาดได้ รอให้พวกเราผ่านบริเวณนี้ไปจนถึงเรือนซีซาน และนำหัวของฟู่เสี่ยวกวนมาให้ได้ จากนั้นควรรีบหลบหนี มิควรอยู่ต่อทำสงครามกับพวกเขา”

“อืม”

ซ่งต้าเป่านั่งลงที่พื้น เขานำกระบองเหล็กวางลงบนต้นขา ล้วงหยิบไก่ย่างขึ้นมากินกับสุราอย่างสบายอารมณ์

เมื่อถึงเวลาสองยาม เขาได้นำมือเช็ดปากอันมันเยิ้มแล้วหยิบกระบองเหล็กขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “ออกเดินทาง !”

เขายังมิทันได้ก้าวขาออกไป ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงนกหวีดดังมาจากค่าย เขาตกใจแล้วออกคำสั่งว่า “ช้าก่อน ! ” จากนั้นมองไปยังต้นเสียง

หลังจากสิ้นเสียงนกหวีด แสงไฟก็ส่องสว่างขึ้นอีกครา เขาแลเห็นคนจำนวนมากวิ่งออกมารวมตัวกัน

“…ท่านลุงซานเปี้ยน ท่านว่าพวกมันค้นพบพวกเราแล้วหรือไม่ ? ”

นี่มันน่าสับสนยิ่ง ?

หลิวซานเปี้ยนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วส่ายหัว “พวกมันยังมิได้พบพวกเรา หากรู้ว่าพวกเราอยู่ที่นี่เหตุใดเมื่อครู่จึงมิเข้าจับกุม ? ”

ซ่งต้าเป่านำมือลูบหัวด้วยความสงสัย “หากว่า…พวกเขากำลังปั่นให้พวกเราหัวหมุนเล่า ? ”

มิน่าจะเป็นไปได้ !

“พวกเราเดินทางออกจากที่แห่งนี้อีกเส้นทางหนึ่ง มิต้องสนใจพวกเขา จัดการเรื่องสำคัญเสียก่อน มอบหมายสองสามคนอยู่ที่นี่ดูความเคลื่อนไหวของพวกเขาเป็นพอ”

พวกเราจะมัวเสียเวลาต่อไปมิได้ หากถูกคนกลุ่มนี้จูงจมูกจนกระทั่งเช้าจะทำเยี่ยงไร ?

ซ่งต้าเป่าคิดว่าสมเหตุสมผล จึงได้เดินทางออกจากภูเขาทางทิศตะวันตก

ไฟที่ค่ายนั้นมอดลงอีกครั้งหนึ่ง เฉินป๋อได้นำพวกเขาฝึกฝนการโจมตียามวิกาล พวกเขาเหล่านั้นมายังทางทิศตะวันตกของภูเขาไต้ชาน และแฝงตัวอยู่ที่นั่น

นี่คือหนึ่งในเป้าหมายของการฝึกฝนยามวิกาล ค่ำคืนนี้มิได้ต่างจากที่ผ่านมา เนื่องจากพวกเขาได้คุ้นเคยกับการรวมตัวและออกรบในสถานการณ์คับขันแล้ว

พวกเขาเปรียบเสมือนกับเสือชีตาร์ แบ่งเป็นกลุ่มละ 5 คนและกำลังคืบคลานท่ามกลางความมืด ก้าวไปข้างหน้าอย่างเงียบ ๆ

ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวกับไป๋ยู่เหลียนว่า เหตุการณ์เช่นนี้มักพบได้บ่อยครั้ง เป้าหมายคือคฤหาสน์หรือค่ายของศัตรู ดังนั้นจะต้องมีความอดทนสูงและมีจิตใจที่สงบนิ่ง เนื่องจากเป้าหมายมักอยู่ระยะไกล เหล่าทหารจะต้องเข้าใกล้ศัตรูโดยมิให้พวกเขารู้ตัว และโจมตีกะทันหัน

ไป๋ยู่เหลียนจดจำคำสั่งของฟู่เสี่ยวกวนอย่างขึ้นใจ เนื่องจากพวกเขาได้ทดลองมาหลายคราแล้วพบว่าสิ่งนี้ได้ผลดี แต่ก็ช่างอันตรายนัก

บัดนี้เฉินป๋อเดินนำอยู่หน้าสุด และมีซูม่อเดินตามมา

ทันใดนั้น ซูม่อได้ยินเสียงฝีเท้ามาจากบนเขา เขาใช้ภาษามือออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว กระทั่งส่งต่อไปยังแถวสุดท้าย

ทหารทุกนายเมื่อได้รับสัญญาณนี้ก็เปลี่ยนทิศทาง จากนั้นหยิบคันธนูขึ้นมาพร้อมเตรียมลูกธนู