ภาคที่ 2 ตอนที่ 103 พวกเราล้วนแต่อยู่ที่ก้นบ่อ

มรรคาสู่สวรรค์

ชายชราเตี้ยผอมหรี่ตา มองดูเด็กหนุ่มขาพิการที่กำลังปีนขึ้นไปบนยอดเขาที่อยู่ไกลออกไป คล้ายมิได้สนใจเลยว่าตนเองกำลังถูกชายหนุ่มลูบศีรษะและมองอย่างเวทนา

มารร้ายที่มีสภาวะและอายุเหมือนอย่างเขา ในใจไม่รู้มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวขนาดไหน แล้วจะมาถูกวัตถุภายนอกรบกวนได้อย่างไร

ที่เขาไม่สามารถสังหารชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายได้ เป็นเพราะว่าจิตใจของชายหนุ่มนั้นเชื่อมต่ออยู่กับบางสิ่ง และบางสิ่งที่ว่านั้นสามารถทำให้เขาไม่ถูกข่ายพลังกระบี่ของชิงซานพบตัว

แน่นอน คำพูดเหล่านี้ล้วนแต่เป็นชายหนุ่มเป็นคนพูด มีโอกาสอย่างมากที่จะเป็นคำพูดโกหก

แต่เขาไม่สามารถแยะแยะได้ว่าเป็นจริงหรือเท็จ แล้วก็ไม่กล้าพนัน เพราะสิ่งที่พนันคือความเป็นความตาย

ชายหนุ่มหมุนตัวมองไปยังเด็กหนุ่มที่อยู่บนภูเขาที่อยู่ห่างออกไป จากนั้นพลันถามคำถามหนึ่งขึ้นมา

“ความตายมันน่ากลัวขนาดนี้จริงๆ หรือ? เจ้าดูเขาสิ สามารถตกลงมาจากหน้าผาจนร่างกายแหลกเหลวได้ทุกเมื่อ แต่กลับยังปีนขึ้นไปไม่หยุด”

“นั่นเป็นเพราะเขายังอายุน้อยเกินไป จึงไม่เคยคิดถึงเรื่องความเป็นความตายอย่างจริงจังและใจเย็น”

ชายชรากล่าวว่า “ถ้าเขาสามารถกลายเป็นเจ้าสำนักเสวียนอินได้จริงๆ เอาไว้ผ่านไปอีกหลายร้อยปีจนสามารถรวมวิถีมารให้เป็นหนึ่งได้ เจ้าคิดว่าตอนนั้นเขายังจะมีความกล้าเหมือนอย่างตอนนี้อยู่หรือเปล่า?”

ชายหนุ่มกล่าว “ทุกวันเฉาหยวนต้องเผชิญกับความเป็นความตายอยู่ในพายุหิมะ แต่เขาก็ไม่มีความคิดที่จะหลบหนี”

“นั่นมันอรหันต์ มิใช่คน อรหันต์เตรียมนิพพานอยู่ทุกขณะ แต่คนกลับปรารถนาชีวิตนิรันดร์ ดังนั้นเขาไม่กลัว แต่ข้ากลัว”

ชายชราหรี่ตาพลางกล่าวว่า “นอกจากพวกเราสามคนแล้ว เจ้าพวกที่หลบซ่อนอยู่ในชิงซานกับเขาอวิ๋นเมิ่งก็กลัวตายเหมือนกัน ดังนั้นข้าจึงไม่รู้สึกขายหน้า”

ชายหนุ่มกล่าว “ยิ่งมีชีวิตอยู่นานก็ยิ่งกลัวตาย คำพูดนี้ได้ยินได้ฟังมาหลายรอบแล้ว แต่ก็ยังฟังดูมีเหตุผลอย่างมากอยู่”

ชายชรากล่าว “ควรจะบอกว่ายิ่งเอาตัวรอดได้เก่ง ก็ยิ่งกลัวตาย ดังนั้นหากนักพรตจิ่งหยางยังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นเขาก็คือคนที่กลัวตายที่สุดในโลก”

ชายหนุ่มนิ่งเงียบไป สายตาทอดมองออกไปไกลกว่าเดิม มองไปยังเมฆเบาบางที่เชื่อมฟ้าดินเข้าด้วยกัน สีหน้าดูอ้างว้างโดดเดี่ยว

ชายชรามองใบหน้าด้านข้างของเขา คิ้วขมวดขึ้นมาพลางกล่าวว่า “แต่ที่ข้าไม่เข้าใจก็คือ เจ้าก็เอาตัวรอดเก่งเหมือนกัน เหตุใดกลับดูไม่หวาดกลัวต่อความตายเลยแม้แต่น้อย?”

“เพราะ…อยู่ใต้บ่อน้ำมันน่าเบื่อน่ะสิ ต่อให้สามารถมีชีวิตหลายหมื่นปีเหมือนอย่างหยวนกุยได้ แล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไร?”

ชายหนุ่มกล่าว “เมื่อก่อนเสี่ยวไป๋เองก็น่าสนใจอย่างมาก ตอนนี้กลับกลายเป็นเหมือนพี่ใหญ่บนยอดเขาปี้หู ข้าไม่อยากเป็นอย่างมัน”

……

……

เมืองเจาเกอช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิเริ่มมีฝนน้อยลง

ไม่ว่าจะเป็นชายหลังคาของวัดไท่ฉางหรือว่าระเบียงทางเดินของเรือนตระกูลเจ้าก็ล้วนแต่สะท้อนแสงอาทิตย์ที่ค่อยๆ เจิดจ้าขึ้น ล้วนอบอุ่นจนทำให้คนอยากจะนอน

เจ้าล่าเยวี่ยใบหน้าขาวซีด แต่ดวงตากลับใสกระจ่าง สีดำขาวแบ่งชัดเจน ดูแน่วแน่เป็นอย่างมาก

จิ๋งจิ่วกล่าวไว้อย่างชัดเจน นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาพูดคุยถึงปัญหานี้

“การอยู่ร่วมกันหรือการเลี้ยงแกะนั้นล้วนแต่เป็นความคิดของผู้บำเพ็ญพรต คนธรรมดาไม่สามารถบำเพ็ญเพียรได้ แต่สติปัญญาของพวกเขากลับมิได้ด้อยกว่าพวกเรา พวกเขาจึงย่อมต้องมีความคิดเป็นของตัวเอง อย่างเช่นคนในเรือนเป่าซู่หรือราชสำนัก พวกเขาจะเป็นฝ่ายเข้ามามีส่วนรวมในโลกนี้ เพื่อแสวงหาเงินทองหรืออำนาจ จะได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมาช่วงชีวิตอันแสนสั้น”

จิ๋งจิ่วกล่าว “เป็นเพราะพรสวรรค์และเหตุผลบางอย่าง จึงทำให้ซือเฟิงเฉินไม่สามารถก้าวไปได้ไกลบนเส้นทางแห่งการบำเพ็ญพรต แล้วก็อาจจะเป็นเพราะเจอกับเรื่องบางเรื่องในวัยเด็กมา จึงทำให้เขาอคติต่อผู้บำเพ็ญพรตอย่างมาก เรียกได้ว่าเต็มไปด้วยความรู้สึกสงสัยและโกรธแค้น นี่สามารถแสดงให้เห็นท่าทีของคนธรรมดาบางคนได้พอดี”

เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “คนที่มีท่าทีเช่นนี้มีอยู่เยอะ?”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ในช่วงเวลาหลายหมื่นปีที่ผ่านมา การข่มเหงรังแกและการกดขี่ที่ผู้บำเพ็ญพรตมีต่อคนธรรมดานั้นไม่เคยหยุดลงเลย ราชวงศ์ตระกูลจิ่งน่าจะถือเป็นยุคสมัยที่ดีที่สุดแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ แต่แน่นอน คนธรรมดาไร้กำลังต่อต้าน ขอเพียงยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ภายนอกย่อมต้องไม่กล้าแสดงความไม่เคารพต่อผู้บำเพ็ญพรตออกมาแม้แต่นิดเดียว แล้วก็ไม่กล้าแสดงความไม่เคารพ แต่นั่นมิได้หมายความว่าเพลิงแค้นนั้นไม่มีอยู่ หากแต่ยังแอบซ่อนอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดในจิตใจของพวกเขาทุกคน ทันทีที่ผู้บำเพ็ญพรตสูญเสียพลังของตัวเอง เพลิงแค้นเหล่านี้ก็จะระเบิดออกมาอย่างแน่นอน แล้วก็จะกลายเป็นพลังอันมหาศาลจนยากจะจินตนาการได้ไหลทะลักออกมา ทำลายทุกสรรพสิ่งที่เจ้าเคยชิน”

……

……

บนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่นอกเมืองไห่โจว พายุเพิ่งจะผ่านไป

เงามืดขนาดใหญ่บินโฉบผ่านผิวน้ำไป ก่อให้เกิดคลื่นลมตามมา เหล่าชาวประมงไม่ต้องเงยหน้าขึ้นไปมองก็รู้ว่านั่นคือวาฬบิน

เรือลำหนึ่งไม่อาจต้านทานพลังของธรรมชาติ ล่มลงอย่างน่าเศร้า ถึงแม้นจะมีเรือประมงตามมาช่วย แต่ก็ยังมีชาวประมงหญิงสองคนเสียชีวิตไป

ศพของชาวประมงหญิงถูกห่อด้วยผ้า ค่อยๆ จมลมไปใต้ทะเล ท่ามกลางคลื่นทะเลที่อยู่ไกลออกคล้ายมีเสียงร้องเพลงของนางเงือกลอยมา

ทุกคนต่างทราบดีว่าศพของชาวประมงหญิงสองคนนี้ไม่มีทางจมลงไปถึงก้นทะเล เพราะพวกนางจะถูกสิ่งมีชีวิตที่ดุร้ายใต้ทะเลฉีกกระชาก จากนั้นกลืนกินเป็นอาหาร แต่สีหน้าของเหล่าชาวประมงกลับเฉยชา เพราะเรื่องแบบนี้มักจะเกิดขึ้นบ่อยครั้ง พวกเขาเห็นจนชินเสียแล้ว

ทุกคนต่างรู้ว่าการงมไข่มุกนั้นหาเงินได้เยอะที่สุด แต่กลับมีชาวประมงเพียงไม่กี่คนที่ยอมทำ เพราะมันอันตรายเกินไป

แต่ทุกปีสำนักกระบี่ซีไห่มีจำนวนไข่มุกหยวนชี่ที่ต้องเก็บแทนราชสำนักอยู่ ยังไงก็ต้องมีคนทำ

……

……

ด้านนอกเมืองเจาเกอมีบ่อนพนันแห่งหนึ่งแอบซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้าน

เวลารุ่งเช้า ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินสบถออกมาจากในบ่อยพนัน ทั่วทั้งร่างส่งกลิ่นสาบเหงื่อออกมา ไม่รู้ว่าอยู่ในบ่อนพนันมากี่วันกี่คืน

เมื่อดูจากสีหน้าและดวงตาทั้งสองข้างที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดของเขาแล้ว เขาน่าจะเสียพนันจนหมดตัว

เขาเดินไปถึงหน้าต้นไม้ต้นหนึ่ง ก่อนจะปลดสายรัดกางเกงแล้วเริ่มปัสสาวะ

ท่ามกลางแสงแดดยามเช้าที่ยังสลัวพลันมีลำแสงกระบี่บินโฉบไป ก่อนจะหายไปในพริบตา

ชายวัยกลางคนมองเห็นเหตุการณ์นี้พอดี เขาตกใจจนตัวสั่น

สีหน้าของเขาค่อนข้างสับสน ตอนเด็กๆ เขาเองก็เคยโชคดีได้เห็นลำแสงกระบี่บนท้องฟ้า ตอนนั้นตัวเขาซึ่งยังเป็นเด็กน้อยความรู้สึกอิจฉาและเลื่อมใสขึ้นในใจ จากนั้นตัดสินใจว่าจะตั้งใจฝึกฝน และกลายเป็นอาจารย์เซียนที่ร่ำลือกันให้ได้

แต่ตอนนี้ เขาไม่ได้คิดเช่นนั้นแล้ว

เขาถ่มน้ำลายเหนียวๆ ลงไปบนพื้น ก่อนจะตะโกนด่าทอขึ้นไปบนท้องฟ้าไม่หยุด “ตกไปตายห่าซ่ะ! ตกไปตายห่าซะ!”

……

……

เมฆหมอกจากเขาซิงซานไหลเอื่อยลงมายังหมู่บ้าน ประดับด้วยดอกท้อที่บานสะพรั่งอยู่ทั่วทุกแห่งหน ทิวทัศน์งามดั่งภาพวาด

ชายหนุ่มที่สีหน้าอ่อนล้าคุกเข่าอยู่บนถนน โขกศีรษะคำนับไปทางขุนเขาที่ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในม่านหมอกไม่หยุด

ด้านหลังเขามีรถลากเก่าๆ อยู่คันหนึ่ง บนรถนอนไว้ด้วยชายชราผู้หนึ่ง

ช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ดินแดนทางใต้อากาศอบอุ่น แต่ชายชราผู้นั้นกลับห่มผ้าห่มหนาๆ เอาไว้สองผืน สีหน้ายังคงดูขาวซีด ร่างกายสั่นเทาไม่หยุด ดูหวาดกลัวความหนาวเย็นเป็นอย่างมาก

สิ่งที่น่าตกใจมากกว่านั้นก็คือลมหายใจของชายชราแผ่วเบา ดูเหมือนใกล้จะไม่ไหวแล้ว

มีชาวบ้านที่เห็นใจกล่าวว่า “เหล่าอาจารย์เซียนอาศัยอยู่ในเขาลึก มองไม่เห็นเจ้าหรอก ต่อให้เจ้าโขกศีรษะจนแตกแล้วจะมีประโยชน์อันใด? รีบไปที่วัดกั่วเฉิงดีกว่า”

“มั่วชิวอยู่ไกลเกินไป ท่านพ่อทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ข้าก็เลย…”

ชายหนุ่มกล่าวเสียงสั่นเครือ “ได้ยินว่าอาจารย์เซียนแห่งสำนักชิงซานมีเมตตา ยิ่งไปกว่านั้นยังลงมาตรวจตราดูบริเวณรอบๆ บ่อยๆ ถ้าเกิดวันนี้พวกท่านมาล่ะ?”

มีคนถอนใจพลางกล่าว “ยาวิเศษของอาจารย์เซียนล้ำค่ายิ่ง แล้วจะเอามามอบให้เจ้าง่ายๆ ได้อย่างไร? อีกทั้งเวลานี้โลกสงบสุข มิใช่เมื่อหลายปีก่อนที่นักพรตจิ่งหยางบรรลุกลายเป็นเซียน ที่ผ่านไปสองสามวันก็จะเห็นอาจารย์เซียนออกมาตรวจตรา ข้าไม่ได้เห็นลำแสงกระบี่มาครึ่งปีแล้ว เจ้าเลิกหวังเสียเถอะ”

ชายหนุ่มมองไปยังยอดเขาที่อยู่มีม่านหมอก บนใบหน้ามีรอยยิ้มน่าเวทนา ชาวบ้านผู้นั้นช่วยพยุงเขาขึ้นมาอย่างยากลำบาก จากนั้นลากรถเดินออกนอกเมืองไป

……………………………………………………………..