บทที่ 207-1 ร้านขายเนื้อสุนัข

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 207-1 ร้านขายเนื้อสุนัข

หลังจากนางกำนัลข้างนอกรับจดหมายจากทหารรักษาพระองค์ และส่งต่อให้กับอีกนางที่เปิดประตูให้ พลันเหลือบไปเห็นหลินอันที่นั่งหันข้างอยู่ตรงขอบเตียง ดูท่าทางไม่ค่อยมีความสุขนัก จึงเดินจากไปอย่างระมัดระวัง

ผู้ที่เปิดประตูคือนางกำนัลผู้น่าเอ็นดูคนนั้นที่เคยถูกสวี่ชีอันตบก้น นางเปิดซองจดหมาย และคลี่อ่านดู

เพียงเห็นประโยคแรก นางกำนัลผู้เฉลียวฉลาดก็หยุดอ่าน และเดาออกว่าเป็นจดหมายของผู้ใด นางหน้าแดงพลางเอ่ยยิ้มๆ “องค์หญิง สุนัขรับใช้ส่งจดหมายมาแล้วเพคะ”

ยายตัวร้ายหันขวับทันที เหลือบมองจดหมายสองแผ่น ก็หันหน้าหนีอีกครั้ง “ยาวเกินไปไม่อ่าน”

นี่ช่างเข้ากับนิสัยขององค์หญิงหลินอันเสียนี่กระไร นางกำนัลสองคนแอบขำ วางจดหมายลงบนโต๊ะ พลางเอ่ยเสียงอ่อนนุ่ม “บ่าวออกไปก่อนนะเจ้าคะ หากองค์หญิงมีประสงค์อันใดโปรดเรียกหาพวกกระหม่อมนะเจ้าคะ”

พอนางกำนัลออกไปแล้ว ยายตัวร้ายเหลือบมองไปที่จดหมายบนโต๊ะเป็นพักๆ รอให้เสียงฝีเท้าห่างไปไกล นางจึงบ่นพึมพำพลางเดินไปที่โต๊ะและหยิบจดหมายขึ้นมาอ่าน

ฟังสิ่งที่ฮว๋ายชิ่งเอ่ย นางก็รู้สึกโกรธอยู่บ้าง สุนัขรับใช้ต่อหน้าทำเป็นซื่อสัตย์ คิดไม่ถึงว่าลับหลังจะเป็นจอมเสเพลคนหนึ่ง วันๆ วนเวียนอยู่แต่สำนักสังคีต คิดแล้วนางก็รู้สึกกลุ้มใจ

แต่หลังจากกลับมานางก็ยิ่งน่าโมโหโดยไม่ทราบสาเหตุ

ตามหลักแล้ว นางเป็นถึงองค์หญิงหลินอันผู้สง่างาม มีทหารรักษาพระองค์ที่อยู่ใต้อำนาจมากมาย วิถีชีวิตของคนเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร นางไม่เคยสนใจ

นางนั่งลงตรงหน้าจดหมาย หลังตรง ก้มศีรษะลงเล็กน้อย ท่านั่งดูสง่าผ่าเผยอย่างยิ่ง เพราะถูกอบรมกิริยา ท่านั่ง ท่าเดินมาตั้งแต่เด็ก

“…ค่ำคืนอันยาวนาน ยากจะหลับใหล เสียงและรอยยิ้มของพระองค์เหมือนอยู่เบื้องหน้าดังอยู่ในโสต ครึ่งเดือนไม่ได้เจอ ช่างคะนึงหายิ่งนัก”

“ถุย!” ยายตัวเล็กถ่มน้ำลาย มุมปากยกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

คำขึ้นต้นที่ไม่เป็นทางการเช่นนี้ เต็มไปด้วยความต้องการพึ่งพาและคะนึงหาที่อีกฝ่ายสื่อออกมา โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของตน องค์หญิงหลินอันชื่นชอบลูกไม้เช่นนี้เสียจริง

นางเป็นหญิงสาวที่ชื่นชอบความหวานซึ้ง แต่เสียดายที่หนุ่มหล่อบ้านรวยไม่มีทางมาเกิดในยุคนี้ ไม่อย่างนั้นยายตัวร้ายคงกลายเป็นแฟนพันธุ์แท้นิยายน้ำเน่าเป็นแน่

นางกลับไปอ่านต่อ ในจดหลายเขียนบอกเล่าเรื่องแปลกประหลาดมากมาย อย่างเช่นเรื่องที่พบผีพรายทำร้ายคนในแม่น้ำ สุนัขรับใช้ของนางกระโดดลงไปช่วยคนอื่น ต่อสู้อยู่สามร้อยตลบ และช่วยทหารรักษาพระองค์ที่น่าสงสารกลับมา ทหารผู้นั้นคุกเข่าคำนับอย่างรู้สึกซาบซึ้งบุญคุณ แต่สุนัขรับใช้พยุงเขาขึ้น และเอ่ยเสียงดัง ‘เข่าผู้ชายมีค่าดั่งทองคำ!’

พูดได้ดียิ่งนัก…ยายตัวร้ายกระตุกรอยยิ้มที่มุมปาก ยิ่งอ่านยิ่งสนุก

นางชอบอ่านเรื่องราวแปลกประหลาดเหล่านี้ มันเต็มไปด้วยความน่าสนใจ มีทั้งความระทึกและตื่นเต้น

ด้านนอก นางกำนัลคนสนิทสองนางค่อยๆ แง้มประตูมองระหว่างช่องถึงกับตกตะลึง เมื่อเห็นองค์หญิงกำลังนั่งหมกมุ่นอยู่ที่โต๊ะ เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวขมวดคิ้ว และมีแสดงท่าทางหวาดกลัว

ทั้งสองก็ค่อยๆ ถอยห่าง และเอ่ยเสียงเบา

“องค์หญิงกลับมาอารมณ์ดีแล้วหรือ”

“นั่นสิ เห็นได้ชัดเลย…อ่านจดหมายก็ตั้งใจอ่านขนาดนั้น”

“ท่านพี่ ท่านว่าในจดหมายเขียนอะไรหรือเจ้าคะ”

“อย่าถาม เรื่องของเจ้านายไม่ต้องสอดรู้ เจ้าลืมที่โมโม่ในวังสอนพวกเราแล้วหรือ”

“สวี่ชีอันผู้นั้นช่างมีความสามารถนัก องค์หญิงเพิ่งรู้จักเขาไม่เท่าไร ก็สนอกสนใจถึงขนาดนี้แล้ว…อืม เรื่องพวกนี้ ข้าไม่เอาไปพูดส่งเดชหรอก”

ยายตัวร้ายอ่านถึงตอนจบด้วยใจลุ้นระทึก จนพบว่าเรื่องราวได้จบลงแล้ว สุนัขรับใช้จึงเอ่ยถึงดอกบัวของชิงโจว เรียกว่าบัวแดง งามเลิศดุจเพลิง ทำให้นึกถึงเสน่ห์อันเป็นหนึ่งไม่เป็นรองใครแห่งยุคของนางในชุดกระโปรงแดงได้เสมอ…

ดูๆ ไปแล้ว ใบหน้ารูปไข่กลมกลึงกระจ่างใสดังกระจกแก้วของยายตัวร้ายที่แดงระเรื่อเหมือนพระอาทิตย์ตกเวลาเขิน ก็มีเสน่ห์และน่าหลงใหลไม่น้อย

แม้รู้ว่าไม่มีผู้ใดอยู่ในห้อง นางยังคงเหลือบมองประตูอย่างร้อนตัว จากนั้นก็ค่อยๆ กำจดหมายไว้ในมือ

“เขา เขา…”

องค์หญิงหลินอันได้ยินเสียงหัวใจที่เต้น ‘ตุบๆ’ อย่างบ้าคลั่งของตน ใบหน้ารูปไข่ห่านก็ร้อนฉ่าขึ้นมา

เหตุใดเขาจึงกล้าเขียนจดหมายเช่นนี้มาถึงตน สานสัมพันธ์กับองค์หญิง ถ้าเกิดมีข่าวรั่วไหลออกไป บทลงโทษคือต้องตายสถานเดียว นึกถึงจุดนี้ยายตัวร้ายก็นึกอยากจะฉีกจดหมาย ทำลายหลักฐานทิ้งเสีย

แต่นางกลับทำไม่ลง เพราะตั้งแต่ออกมาจากครรภ์พระมารดา นี่ถือเป็นครั้งแรกที่นางได้รับจดหมายที่น่าสนใจเช่นนี้ เรื่องราวที่น่าตื่นเต้นและตื่นตาตื่นใจ สวี่หนิงเยี่ยนก็เล่าออกมาได้น่าฟังยิ่งนัก…

ดวงตาดำขลับเปล่งประกายหมุนไปรอบๆ อันหลินที่ชาญฉลาดก็นึกวิธีออก นางนำกลีบดอกไม้ที่แห้งเหี่ยวและจดหมายวางไว้ด้วยกัน ในตำราเล่มหนา เป็นตำราฉบับเดียวที่ท่านแม่ส่งให้นาง

“เรียบร้อย เท่านี้ก็ไม่มีผู้ใดหาเจอแล้ว!” ยายตัวแสบพ่นลมหายใจ ใช้มือเท้าเอว

ไม่นานนัก นางกำนัลคนสนิททั้งสองก็ได้ยินคำสั่งขององค์หญิง “เข้ามาเปลี่ยนชุดให้ข้าที ข้าอยากสวมอาภรณ์สีแดง!”

พวกนางขานรับและเข้ามาในห้อง คอยปรนนิบัติเปลี่ยนฉลองพระองค์ให้กับองค์หญิงเป็นอาภรณ์สีแดงเพลิงสวย ตามคำสั่งของนาง

หลินอันพยักหน้าอย่างพอใจ หมุนตัวเบาๆ ให้กระโปรงพลิ้วไสวเหมือนกับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานก็ไม่ปาน

“ดูซะ ความงดงามที่ไม่มีผู้ใดมาเปรียบได้ของข้า!” นางเชิดคางขึ้น และเอ่ยอย่างมั่นใจ

“…” พวกนางกำนัลต่างมองหน้ากันอย่างสับสน

“องค์หญิงเพคะ ไม่ทรงกริ้วแล้วหรือเพคะ” นางกำนัลที่เคยถูกสวี่ชีอันตบก้นเอ่ยเป็นการลองเชิง

“โกรธเรื่องอันใดหรือ” หลินอันเอ่ยถามกลับ

“ก็เรื่องสุนัขรับใช้นั่นไงเพคะ” พูดจบ นางกำนัลก็เห็นยายตัวร้ายขมวดคิ้วด้วยความโมโหอีกครั้ง พูดขัดเสียงแข็งกร้าว ไม่สบอารมณ์

“สุนัขรับใช้ เจ้าเรียกเขาด้วยคำคำนี้ได้หรือ เจ้าต้องเรียกว่าใต้เท้าสวี่สิ”

‘สุนัขรับใช้ของข้าไม่อนุญาตให้ผู้ใดเรียก’ นางเอ่ยในใจ

หออิ่งเหมย

ฝูเซียงในชุดกระโปรงผ้าฝ้ายสีขาว ปล่อยผมสยาย ไม่ได้แต่งองค์ทรงเครื่อง แบกตะกร้าไม้ไผ่และเก็บดอกเหมยอยู่ในลานบ้าน

ดอกเหมยสีสด ลานบ้านแสนสงบสุข นางสวมกระโปรงสีขาวที่สลับทับซ้อนกัน ปลายกระโปรงลากถึงพื้น มีตะกร้าไม้ไผ่ห้อยอยู่ที่ข้อมือขาวราวกับหิมะ ในตะกร้ามีดอกเหมยที่เด็ดมา นางเอื้อมมือข้างหนึ่งไปจับกิ่งไม้

ดอกเหมยและสาวงาม ช่างเข้ากันดีเสียจริง

สาวใช้ในลานบ้านเห็นฉากนี้ ต่างก็รู้สึกเบิกบานใจยิ่งนัก ตอนนี้นายหญิงนับวันยิ่งไม่แยแสต่อสิ่งใด ทุกวันนี้เอาแต่ฝึกร่ายรำ ดีดฉิน ชมดอกเหมย ทำแต่สิ่งดีงาม

การประชุมชาก็แทบจะไม่ปรากฏตัว ถ้าไม่ไปดื่มสุรา ก็ทิ้งแขกและหนีหายไป แขกไม่เพียงแต่ไม่โกรธเคือง กลับกลายเป็นที่ต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ

ตอนนี้แค่ได้กลิ่นหอมดอกโบตั๋นอ่อนๆ ก็คุ้มค่าที่บุรุษทั้งหลายจะเอาไปโม้ได้หลายวันแล้ว

หลังจากกลอน ‘กลิ่นหอมละมุนคลุ้งกลางจันทรายามสายัณห์’ ยังมีกลอนอีกบทหนึ่งที่มีชื่อเสียงไม่แพ้กัน คือบทที่กล่าวว่า ‘หญิงงามม้วนม่านมุก คิ้วเรียวผูกขมวดปม…’

จากการเผยแพร่ของสำนักสังคีต ก็ได้ถือกำเนิดเรื่องราวอันเป็นเบื้องหลังของกลอนบทนี้

ใต้เท้าสวี่ผู้ปราดเปรื่องทำท่านหญิงฝูเซียงต้องร่ำไห้ เพื่อเป็นการปลอบใจท่านหญิง ถึงกับยุ่งจนหัวหมุน สุดท้ายจึงได้ร่ำสุราสามจอกติดกัน เมื่อได้อารมณ์กรึ่มๆ แรงบันดาลใจก็บังเกิด จึงรังสรรค์บทกลอนนี้ออกมาสู่โลก

บทกลอนที่เรียบง่ายนั้นไร้ซึ่งจิตวิญญาณ หลังจากเกิดเรื่องเล่าและการกล่าวอ้าง ก็เพิ่มอรรถรสในการเล่าขานต่อไป

บัณฑิตหลายคนเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง และเชื่อกันว่าฝูเซียงเป็นสตรีที่มีพรสวรรค์ หากได้อยู่ใกล้ชิด ไม่แน่ว่าตนเองอาจจะเขียนบทกวีที่จะตราตรึงไปอีกร้อยๆ ปีเฉกเช่นสวี่ชีอันได้บ้าง

บทกวีฉบับต้าฟ่งเน้นสร้างกระแสขายตัวละคร!

ทว่านับตั้งแต่นายท่านสวี่ออกจากเมืองหลวง ท่านหญิงก็ทุกข์ใจเป็นเวลานาน ทุกๆ สามวัน จะส่งคนไปสืบข่าวหนึ่งครั้ง ว่าใต้เท้าสวี่กลับเข้าเมืองหลวงหรือไม่

ตอนนี้เอง บ่าวรับใช้ผู้ต่ำต้อยที่คอยเฝ้าหน้าประตูได้วิ่งเข้ามา ถือจดหมายฉบับหนึ่งไว้ในมือ โบกไปมาแต่ไกลๆ

“นายหญิงฝูเชียง มีจดหมายจากชิงโจว ส่งมาจากใต้เท้าสวี่ขอรับ”

สวี่ชีอันไม่กล้าเขียนชื่อตนเองลงในจดหมายที่ให้องค์หญิงหลินอัน แต่ไม่จำเป็นต้องกังวลจดหมายที่ส่งให้ฝูเซียงและครอบครัว

ฝูเซียงที่รออย่างใจจดใจจ่ออยู่แล้ว ก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองด้วยการทิ้งตะกร้าไม้ไผ่ ไม่แยแสแม้แต่ดอกเหมย นางถกกระโปรงขึ้น และรีบวิ่งมาทันที ไม่ปล่อยให้สาวใช้รับจดหมายมาก่อน

นางคว้าจดหมายจากมือบ่าวชาย ดวงตาเปล่งประกายราวกับเด็กตัวน้อยที่จู่ๆ ก็ได้รับของขวัญ และจมอยู่ในความสุขที่เข้ามาอย่างกะทันหัน

‘คิดไม่ถึงว่าสวี่หลางจะส่งจดหมายถึงข้า’ …หัวใจของฝูเซียงพองโต เพราะนางรู้ตัวแล้วว่านางยังมีตัวตนในหัวใจของชายผู้นั้นอยู่บ้าง ไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ฉาบฉวยที่เล่นสนุกกันเป็นครั้งคราวเท่านั้น

สิ่งที่นางรับรู้ทำให้ร่างกายนางสั่นไหว รู้สึกหน้ามืดตาลาย

“นายหญิง… ” สาวใช้เรียกสติเสียงเบา รอยยิ้มบนในใบหน้าของนายหญิงช่างดูโง่เขลาเสียจริง

ฝูเซียงไม่สนใจนาง มือหนึ่งจับกระโปรง อีกมือหนึ่งถือจดหมาย รีบวิ่งกลับเข้าห้อง หลังปิดประตู ก็เปิดจดหมายอย่างร้อนใจ ระหว่างอ่านก็เดินไปนั่งที่ขอบเตียง

นางเม้มริมฝีปากสีชมพู และอ่านทีละตัวอักษร เพราะจดหมายไม่ได้ยาวมากนัก หากอ่านไวไปก็จบเสียก่อน

…………………………………………………