“พี่ฉี ข้าออกปากว่าจะไม่เล่นเจ้าจนถึงตาย ดังนั้นข้าย่อมไม่ปลิดชีวิตเจ้า”
ฉินมู่ทั้งสองก้มศีรษะลงมาพร้อมๆ กัน และมองดูฉีเจี่ยวอี๋ที่ตะเกียกตะกายพยายามจะลุกขึ้นต่อสู้อีกครั้ง เขากล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง “ข้อมูลที่เจ้าแพร่งพรายออกมานั้นเป็นประโยชน์ต่อข้า และมันมีค่าพอใช้แลกชีวิตเจ้าได้”
ฉีเจี่ยวอี๋ก็ยังคงลุกยืนไม่ขึ้น ดังนั้นเขาจึงดิ้นรนลุกมานั่ง เขายิ้มหยันตนเองพลางหอบหายใจอย่างหนักหน่วง “เดิมทีข้ากะจะใช้ข้อมูลนี้บดขยี้จิตเต๋าของเจ้า ไม่นึกเลยว่าข้อมูลพวกนี้จะใช้รักษาชีวิตข้าแทน…”
เขารู้สึกว่าไม่ว่าเขาจะทำอะไร ก็เป็นเรื่องตลกน่าหัวร่อเยาะไปหมด เขาปลุกปลอบตนเองและกล่าวต่อ “หลังจากการต่อสู้นี้ ข้าจะกลับไปที่สภาสวรรค์และฝึกปรือด้วยความมานะพากเพียร ข้าจะไปแสวงหาคำชี้แนะจากตัวตนระดับบัลลังก์จักรพรรดิ พี่ฉิน อย่าล้าหลังไปกว่าข้าเสียล่ะ”
ฉินมู่เงยศีรษะขึ้นมองไปที่ไกลๆ และสำรวจบริเวณโดยรอบด้วยความฉงน เขากล่าวด้วยสีหน้าพิลึกพิลั่น “พี่ฉี เจ้าอาจจะไม่สามารถออกไปจากสันตินิรันดร์ได้ในเร็วๆ นี้ แม้แต่ข้าก็อาจจะติดอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน…”
ฉีเจี่ยวอี๋ผงะไปเล็กน้อย เมื่อพื้นดินหลอมละลายเผาไหม้ และพวกเขาก็ร่วงลงมาในเวิ้งลึก เขาก็ได้สังเกตเห็นทัศนียภาพอันพิสดารในเวิ้งใต้ดินแห่งเทือกเขาเทพทำลายแล้ว เขาเพียงแต่ติดพันการต่อสู้กับฉินมู่ และไม่มีเวลาที่จะเพ่งพิศบริเวณโดยรอบอย่างถี่ถ้วน ด้วยไม่อาจแบ่งแยกสมาธิได้
มีก็แต่เมื่อฉินมู่ประกาศชัดว่าเขาจะทำตามที่ลั่นวาจาเอาไว้และไม่สังหารเขา ฉีเจี่ยวอี๋ถึงค่อยคลายใจลงและมีเวลาสำรวจตรวจตราสภาพแวดล้อม
ข้างล่างวิหารนั้นเป็นแท่นสังเวยที่ก่อสร้างขึ้นมาโดยเผ่ามาร และก็มีอักษรรูนบูชายัญจากเผ่ามารจำนวนมากก็ยังอยู่ดีไม่แตกหัก ครั้งหนึ่งเคยมีการบูชายัญโลหิตที่นี่ และก็ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ทำลายการบูชายัญ มันยังคงมีรอยเลือดสาดกระจายไปรอบๆ แท่นสังเวย
พวกเขาอยู่บนผิวหน้าของใบมีด และใบมีดนี้ก็บางเฉียบจนดูเหมือนไม่มีความหนาเลยแม้แต่น้อย ใบคมของมีดเล่มนี้ยาวเป็นอย่างยิ่งจนแม้แต่ปลายมีดและด้ามมีดมองไม่เห็นในระยะสุดลูกหูลูกตา
ยิ่งไปกว่านั้น ที่แปลกพิสดารอีกก็คือ จิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขา รวมทั้งจิตวิญญาณดั้งเดิมของกิเลนมังกรที่เพิ่งมาถึง ล้วนแต่เข้ามาข้างในใบมีดที่ปราศจากความหนา
ดูเหมือนว่าจะมีห้วงอวกาศกว้างใหญ่ไพศาลในมีด อันแทบว่าจะเป็นโลกอีกใบ!
ฉีเจี่ยวอี๋พยายามดึงจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขากลับ แต่เขาตระหนักว่าระหว่างกายเนื้อของเขากับจิตวิญญาณดั้งเดิม มีโลกมิติทั้งโลกคั่นกลางอยู่ แม้ว่าเขาจะสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณดั้งเดิมของตน เขาก็เรียกมันกลับมาไม่ได้
เหงื่อเย็นเยียบผุดขึ้นมาบนหน้าผากของเขาอย่างระงับไว้ไม่อยู่ เขาร้องด้วยเสียงแหบพร่า “พี่ฉิน นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
ฉินมู่ไม่ตอบเขา และสีหน้าของเขาก็เคร่งเครียดมากขึ้นทุกที
เขาได้เห็นภาพอันพิสดารนี้มาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่เมื่อการต่อสู้กับพวกเหนือฟ้า เทือกเขาเทพทำลายถูกทลายราบเป็นหน้ากลอง และการต่อสู้ก็ขมขื่นทารุณอย่างถึงที่สุด ผู้ใหญ่บ้านได้ ‘ตาย’ ไปในการต่อสู้ ท่ามกลางเซียนทั้งห้าแห่งเผ่าปีศาจ เซียนต้นหลิว เซียนขาว และเซียนเหลืองได้ตกตาย เจ้าสำนักเต๋าเฒ่า ยูไลเฒ่า นักพรตหลิงจิ่ง ปรมาจารย์เยาว์ ถู่สิงเฟิง และเสวียนเฉิงอู่ก็ได้ตายไปในการศึกด้วยเช่นกัน ขณะที่คนอื่นๆ ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย นักปรุงยาและคนอื่นๆ ก็ ‘ตาย’ ไปด้วย แต่เป็นฉินมู่นี่แหละที่ไปชิงดวงวิญญาณของพวกเขากลับมาเพื่อฟื้นคืนชีพ
ในการต่อสู้นั้น เหนือฟ้าถูกฟาดจนยับเยินกระทั่งพวกเขาไม่อาจต่อกรกับสันตินิรันดร์ได้อีกต่อไป
และก็ตอนนั้น ที่คนแล่เนื้อและผู้เฒ่าอื่นๆ ค้นพบมีดยาวใต้เทือกเขาเทพทำลาย พร้อมกับรูปสลักหินมารเทวะอันอยู่ข้างใต้มีด รูปสลักหินซึ่งมุดขึ้นมาข้างใต้มีดนี้เป็นมารเทวะน่าสะพรึงกลัว และเป็นบรรพชนเฒ่าแห่งโลกมิติมารแห่งหนึ่ง เมื่อเขาได้จุติลงมายังสันตินิรันดร์ เขาไม่ระวังและมุดเอาหัวมาชนมีด ตกในสถานการณ์อันเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย
ราชครูสันตินิรันดร์ได้ใช้หม้อแผ่นดินไหวเพื่อยุบทลายม่านคุ้มกันระหว่างโลกสันตินิรันดร์กับโลกอื่น และโลกนั้นก็มิใช่ใดอื่น นอกเสียจากโลกมิติมารที่บรรพชนมารผู้นี้อาศัยอยู่ มารเทวะมากมายได้แปลงร่างเป็นรูปสลักหินเข้ามาในบริเวณเทือกเขาเทพทำลาย เพื่อค้นหามีดเล่มนี้โดยวางแผนว่าจะช่วยชีวิตบรรพชนเฒ่าของตน
ในท้ายที่สุด การสังเวยโลหิตของเผ่ามารในโลกแห่งนั้น ถูกฉินมู่สกัดขัดขวางเอาไว้ด้วยภาพเงาสะท้อน การฟื้นคืนชีพของรูปสลักหินมารเทวะล้มเหลว และดังนั้น พวกเขาทั้งหมดจึงไต่กลับเข้าไปในพื้นดินและหายสาบสูญไป
ครั้งหนึ่งฉินมู่เคยสงสัยว่าโลกมารแห่งนั้นคือสวรรค์หลัวฝู แต่หลังจากที่เขาได้เห็นสวรรค์หลัวฝู เขาก็ตระหนักว่าการคาดเดาของเขาผิดพลาด
โลกอันรูปสลักหินมารเทวะไต่คลานขึ้นมานั้นอยู่ในระดับชั้นที่เหนือล้ำกว่าสวรรค์หลัวฝูไปหลายขั้น มันน่าจะเป็นโลกมิติมารที่อยู่ภายใต้ปกครองของสภาสวรรค์ แสนยานุภาพของสวรรค์หลัวฝูด้อยกว่าโลกมิติมารแห่งนั้นมาก
ส่วนมีดยาวนี้ ไม่มีใครที่เคลื่อนย้ายมันออกไปได้ในตอนนั้น อนึ่ง มีดยาวดูเหมือนจะเป็นสมบัติวิเศษที่ถูกทิ้งไว้จากยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง เพื่อขัดขวางไม่ให้ความมืดจากแดนโบราณวินาศรุกรานเข้าไปในสันตินิรันดร์ ดังนั้น จึงไม่มีใครแตะต้องมีด
เมื่อครั้งกระโน้น จิตวิญญาณดั้งเดิมของยายเฒ่าซีและคนอื่นๆ รวมทั้งจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพเจ้าแห่งเหนือฟ้าทั้งหลาย ได้ตกลงไปในห้วงมิติภายในมีด แต่โชคดีที่ว่า ยมโลกได้ผ่านมาที่นี่ถูกเวลา ทำให้จิตวิญญาณดั้งเดิมของยายเฒ่าซีและคนอื่นๆ เหาะออกมาจากมีด และกลับเข้าไปในกายเนื้อของพวกเขาได้แบบที่ยังงงๆ พวกเขาจึงไม่ทิ้งชีวิตไป
จิตวิญญาณดั้งเดิมของฉินมู่มองออกไปและเห็นกายเนื้อของเขา หากว่าเขาต้องการกู้จิตวิญญาณดั้งเดิมกลับมา เขาคงจะต้องรอให้แดนยมโลกกวาดซัดผ่านมาอีกหน
แต่ทว่า แม้ว่าเขาจะไปที่ยมโลกหลายต่อหลายครั้ง เขาก็ไปถึงเพียงแต่เมืองแรกแห่งยมโลก เขาไม่เคยไปยังเมืองอื่นๆ ในยมโลก และท้าวยมราชก็ไม่ได้เปิดเมืองเหล่านั้นให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน
ในยมโลกยังคงมีความลี้ลับอีกมากมาย
จุดสำคัญที่สุดก็คือว่า พวกเขาจะออกไปจากมีดได้อย่างไร
โลกในมีดกว้างใหญ่ไพศาล และมันเหมือนกับกระจกเงาใสกระจ่างอย่างวิเศษสุดสองบานที่เหยียดยาวข้ามความว่างเปล่า กักขังพวกเขาเอาไว้ระหว่างกลางสองกระจกอันปราศจากความหนา มองหาจุดสิ้นสุดไม่ได้
กายเนื้อของพวกเขาจ้องมองไปยังจิตวิญญาณดั้งเดิมข้ามเงากระจก แม้ว่ามันจะดูเหมือนว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาเหยียบฝ่าเท้าลงไปบนฝ่าเท้าของกายเนื้อ แต่พวกเขาก็ไม่อาจกลับไปยังกายเนื้อของตนเองได้
“เมื่อไหร่ยมโลกจะเคลื่อนมาที่นี่ ข้าได้ยินน้องสาวจิงบอกว่า เมื่อครั้งก่อนที่แดนใต้พิภพรุกรานเข้ามา ท้าวยมราชก็ได้นำเทพเจ้าทั้งหลายแห่งยมโลกออกไปต่อสู้กับแดนใต้พิภพ และนั่นจึงเป็นเหตุให้พวกเขาเคลื่อนที่มายังเทือกเขาเทพทำลาย แต่ตอนนี้ท้าวยมราชอาจจะไม่รู้ว่าข้าติดกับอยู่ที่นี่…”
ฉินมู่ขมวดคิ้ว และจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็ติดกับอยู่ที่นี่ เขาไม่อาจใช้เคล็ดลับสามมหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิมได้ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถติดต่อกับซีอวิ๋นเซี่ยงและหลิงอวี้จิว หากว่าพวกนางไม่รู้สถานการณ์ของเขา ท้าวยมราชก็คงจะไม่อาจมาช่วยเหลือ
“ต่อให้พวกเราตายอยู่ในห้วงมิติในมีดนี้ ก็คงจะไม่มีใครรู้เห็น…”
เขาตั้งสติตนเองและก้าวต่อไปข้างหน้าสู่ส่วนลึกของมิติมีด
ฉีเจี่ยวอี๋ฟื้นฟูขึ้นมาเล็กน้อย และจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็ดิ้นรนลุกขึ้นตามฉินมู่ไป กิเลนมังกรก็รีบตามอย่างไม่ช้า
ฉินมู่ตรวจตรากระจกใต้เท้าของเขาและกระจกบานที่อยู่เหนือหัวเขา แต่ก็มองไม่เห็นร่องรอยว่ามันจะเป็นสิ่งที่ถูกหลอมสร้างขึ้นมา เขามองไม่เห็นว่ามีดเล่มนี้ถูกหลอมสร้างขึ้นมาจากสิ่งใด และใช้วิธีไหนในการหลอมสร้าง ด้วยระดับมาตรฐานของเขาขั้นปรมาจารย์วิชาหลอมสร้าง เขากลับไม่อาจวิเคราะห์อะไรออกมาได้เลยแม้แต่น้อย
พึงรู้ว่าเฒ่าใบ้เป็นช่างฝีมือชั้นครูในมรรคาหลอมสร้าง และฉินมู่ก็ร่ำเรียนภายใต้การสั่งสอนของเขา วิชาฝีมือในการหลอมสร้างของเขาเป็นอันดับสองในโลกหล้า และหากว่าแม้แต่เขาก็ไม่อาจเห็นร่องรอยการหลอมสร้างของมัน คนอื่นๆ ก็อย่าคิดฝันที่จะลองเสาะหาดู
ฉีเจี่ยวอี๋จ้องไปด้วยดวงตาเบิกกว้าง และก็พลันเผยศีรษะทั้งเก้าเพื่อมองไปรอบทิศ เขาหันไปพ่นเพลิงไฟนกหงส์เพลิงเพื่อแผดเผากระจกทั้งสองด้าน แต่ก็ทำให้มันร้อนแดงขึ้นมาก็ยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ไม่มีวี่แววว่ากระจกเหล่านี้จะหลอมละลาย!
“ที่แบบนี้ยังเป็นแดนต่ำใต้อยู่อีกหรือ”
ฉีเจี่ยวอี๋หัวเราะด้วยความเดือดดาล “มีตัวตนที่ทรงอำนาจมากขนาดนี้ในแดนต่ำใต้เชียวหรือ พวกบ้าน…ผู้คนแห่งแดนต่ำใต้จะมีฝีมือการหลอมสร้างที่สูงล้ำปานนี้ได้อย่างไร”
“พวกบ้านนอกแห่งสภาสวรรค์ ไม่มีความรู้เลยสักนิด” กิเลนมังกรเหลือกตาใส่เขา
ฉีเจี่ยวอี๋โลดเต้นด้วยความโกรธ เขาเป็นถึงบุตรที่ชะตาสวรรค์เสริมส่งแห่งสภาสวรรค์ และเป็นศิษย์ของสองยอดฝีมือบัลลังก์จักรพรรดิ แต่กลับถูกเจ้าหมอนี่ดูถูกดูแคลน
ฉินมู่เองก็ลองใช้ทักษะเทวะไฟสวรรค์ของเขาเพื่อหลอมละลายกระจก แต่ก็เหมือนกับฉีเจี่ยวอี๋ เขาทำอะไรไม่ได้เลยสักนิด
“โลกนี้มันคงต้องมีจุดสิ้นสุด ใช่ไหม”
พวกเขามุ่งหน้าต่อไป และกลับต้องผิดหวังเพราะว่าไม่ว่าพวกเขาจะเดินออกไปไกลเท่าไร ก็จะมีกระจบเรียบสองแผ่นปูทอดยาวไปข้างหน้าอย่างดูเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด
ไม่รู้ว่าพวกเขาเดินไปไกลเท่าไร แต่ก็เดินนานจนสิ้นหวัง พวกเขาเดินไปจนกระทั่งกิเลนมังกรไม่อยากจะลากขาต่อไปอีกแล้ว และคิดแต่จะอยากทรุดลงไปกับพื้น
ฉินมู่ลากหางเขาด้วยมือหนึ่ง และลากเขาต่อไปข้างหน้า ผิวกระจกลื่นเป็นอย่างยิ่ง จึงลากไปได้ไม่เปลืองแรงมาก
สายตาของฉีเจี่ยวอี๋ว่างเปล่า และเขาก็ตามไปข้างหลังกิเลนมังกร เขาเห็นแต่หัวใหญ่ๆ และตัวทั้งตัวของกิเลนมังกรไถลไปกับกระจก ปล่อยให้ตัวเองถูกฉินมู่ลากไปด้วยสายตาอันชืดชา
“มันไม่มีทางไร้สิ้นสุดแบบนี้จริงๆ หรอก…”
ฉีเจี่ยวอี๋เผยรอยยิ้มขมขื่นและกล่าว “พวกเราได้เดินกันมาสองปีแล้ว ใช่ไหม แต่มันก็ยังไม่มีจุดสิ้นสุด! อย่าว่าแต่สถานที่เล็กๆ ในมีดเล่มนี้ สองปีนั้นพอให้พวกเราเดินจากขอบฝั่งหนึ่งของสภาสวรรค์ข้ามไปอีกขอบฝั่งหนึ่งได้เลยด้วยซ้ำ ใช่ไหม”
ฉินมู่ไม่ตอบ เขาเอาแต่จ้องไปยังทิศทางเดียวและก้าวเดินต่อ
“สองปี กายเนื้อของเราคงจะตายไปแล้ว ใช่ไหม”
ฉีเจี่ยวอี๋มีวี่แววว่าจะสติพังทลาย เขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “กายเนื้อของพวกเราข้างนอกมีด คงจะเน่าเปื่อยไปแล้ว แมลงวันมากมายคงจะตอมศพของพวกเราหึ่ง และก็มีหนอนทั้งหลายชอนไชในเลือดและเนื้อ ร่างกายของพวกเราคงส่งกลิ่นเหม็นเน่า…”
“หุบปาก!” ฉินมู่ตะโกนไปด้วยสีหน้าเข้ม
กิเลนมังกรลืมตาขึ้นมาอย่างเหม่อลอยและกล่าวอย่างอ่อนแรง “หุบปาก คนครึ่งนกเก้าหัว…”
ฉีเจี่ยวอี๋เดือดดาลและยิ้มหยัน “พวกเจ้านายบ่าวรู้จักแต่จะรังแกข้า! อย่าลืมเสียล่ะ พวกเจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับข้า ล้วนแต่ตายไปแล้วสองปี! ฮี่ๆ ในโลกอันประหลาดพิลึกนี้ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นทายาทของชนชั้นปกครองแห่งสภาสวรรค์ ต่อให้เจ้าเป็นจักรพรรดิของมวลมนุษย์ ทุกคนก็จะถูกกักขังไว้ที่นี่จนกว่าจะหมดลมหายใจ จนกว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมแห้งซากจากไป! ข้าไม่น่าฟังคำสั่งของตาเฒ่าจักรพรรดิดำมาส่งภัยพิบัติที่สันตินิรันดร์เลย! ข้าไม่น่ามายังสถานที่ผีสางนี่เพื่อจับตัวบัดซบอย่างเจ้าเลย! แดนบาดาลริยำ จักรพรรดิดำริยำ…”
เขาด่าทอไม่หยุดปาก และสภาวะจิตใจของเขาก็พังทลายไปอย่างสมบูรณ์แบบ
ฉินมู่ได้รับผลกระทบจากทัศนคติแง่ลบของเขา และสภาวะจิตใจของเขาก็พลอยแสดงอาการเริ่มจะพังทลายตามไปด้วย เขาอดไม่ได้ที่จะมีความคิดชั่วร้าย ข้าน่าจะฆ่าไอ้ฉีเจี่ยวอี๋นี่ก่อน มันพูดไม่หยุดเลย…
ในตอนนั้นเอง กระจกสองชั้นด้านหน้าพวกเขาก็พลันขาดสะบั้นไป
ฉินมู่ตกตะลึงและชะงักเท้าทันที เขาจ้องไปยังกระจกที่แตกหักด้วยสายตาว่างเปล่า และมองเห็นห้วงอวกาศมืดในจุดที่กระจกแตกหักไป ที่นั่นไม่มีฟ้าเบื้องบนและไม่มีดินอยู่ต่ำใต้ มันมีแต่เพียงขั้นบันไดที่สร้างขึ้นมาจากแผ่นหยกขาว และมันถูกวางเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบในความมืด ยืดยาวออกไปในห้วงลึกของอนธการ เขามองไม่เห็นว่าขั้นบันไดเหล่านี้จะนำพาไปยังที่ใด
“มีเส้นทางไป!”
ฉินมู่ร้องด้วยความลิงโลดยินดี และเหวี่ยงกิเลนมังกรฟาดลงกับพื้นอย่างไร้ปรานี จากนั้นก็คว้าเขาโยนขึ้นและฟาดลงไปอีกครั้ง เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “มังกรอ้วน ตื่นเร็วเข้า! มีเส้นทางไปต่อแล้ว!”
กิเลนมังกรมึนงงไปหมดจากการที่ถูกฉินมู่เหวี่ยงไปมาและรีบกล่าว “ข้าตื่นแล้ว ข้าตื่นแล้ว!”
ฉินมู่โยนเขาไปข้างๆ และมองไปยังฉีเจี่ยวอี๋ ฉีเจี่ยวอี๋รีบกล่าว “เจ้าจะดีใจเท่าไรก็ได้ แต่อย่ามาเหวี่ยงข้าฟาดไปมา!”
กิเลนมังกรคลานลุกขึ้นมาและสะบัดร่างกาย เขามองไปยังถนนที่ปูไว้ด้วยแผ่นหยกขาว และถามด้วยความลิงโลด “จ้าวลัทธิ ในที่สุดพวกเราก็จะออกไปได้แล้วหรือ”
สองคนกับหนึ่งสัตว์พิสดารปีติยินดี และวิ่งด้วยเท้าเปล่าไปบนแผ่นหิน ตะบึงเข้าไปในความมืดราวกับเหินบิน
สามเดือนให้หลัง สายตาของฉินมู่ไร้ชีวิตชีวา ขณะที่เขาลากเดินลงบันไดไปอีกขั้นอย่างอ่อนแรง
ฉีเจี่ยวอี๋ตามไปข้างหลังและกระโดดเข้ามา เขาขึ้นไปนอนแผ่หลาบนหัวกิเลนมังกรและนอนแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น
ฉินมู่คว้าหางกิเลนมังกรและเหวี่ยงทุ่มไปข้างหน้า ทำให้กิเลนมังกรและฉีเจี่ยวอี๋ร่วงลงไปยังแผ่นหินขั้นถัดไปด้วยกัน
เขากระโดดเข้าไปคว้าคอเสื้อของฉีเจี่ยวอี๋ เงื้อมัดขึ้นมาและเริ่มตะบันหน้าเขา ฉีเจี่ยวอี๋ไม่สู้กลับ เขาปล่อยให้กำปั้นของฉินมู่ตกลงยังใบหน้าอันงดงามของตน และกล่าวอย่างระโหยโรยแรง “อยากจะต่อยข้าอย่างไรก็ตามใจเจ้า กระทืบข้าให้ตายไปเลยก็ได้…”
หลังจากสองหมัด ฉินมู่ก็หมดความสนใจทุบตีเขาต่อ ดังนั้นเขาจึงได้แต่โยนอีกฝ่ายไว้ข้างหนึ่ง ฉีเจี่ยวอี๋นอนแผ่อยู่บนแผ่นดิน และหงายหลังอยู่อย่างนั้น
กิเลนมังกรลุกขึ้นนั่งด้วยสีหน้ามึนงง และนั่งทับฉีเจี่ยวอี๋ไว้ใต้ก้น เขาลืมตาขึ้นมาและเลียริมฝีปาก “ยาวิญญาณเพลิงฉานรสอร่อยที่สุดเลย ข้าฝันว่าจ้าวลัทธิได้หลอมปรุงยาวิญญาณเพลิงฉานมากมายให้กับข้า ทั้งโลกเต็มไปด้วยยาวิญญาณ…ข้าวิ่งและวิ่งไป แต่ไม่ว่าจะวิ่งไปเท่าไร ข้าก็ไม่เจอจุดสิ้นสุด ข้ากลิ้งไปในทะเลยาวิญญาณและแหวกว่ายไปในนั้นอย่างสนุกสนาน…จ้าวลัทธิ ข้างหน้ามีประตู…”
ฉินมู่มองไป และอดไม่ได้ที่จะร้องขึ้นมาด้วยความดีใจ “พี่ฉี มันมีประตู มันมีประตู!”
ฉีเจี่ยวอี๋ถูกก้นของกิเลนมังกรนั่งทับ เหลือขาของเขาโผล่ออกมาแค่หนึ่งหนึ่ง เขาดิ้นเตะขาไปมา แต่ก็หลุดออกมาได้ จึงร้องเสียงหนัก “เจ้าพูดอะไร ข้าไม่ได้ยินเจ้า เลิกรบกวนข้าได้แล้ว”
ฉินมู่ลิงโลดและวิ่งตะบึงตรงไปยังประตู กิเลนมังกรก็รีบลุกขึ้น เขาวิ่งไปพลางร่ำไห้ด้วยน้ำตาแห่งความดีใจ
ฉีเจี่ยวอี๋ลุกขึ้น และขนหงอนบนหัวของเขาล้วนแต่บิดเบี้ยวไปหมด เขากล่าวอย่างอ่อนแรง “เจ้าพูดว่าอะไร โอ้ นั่นมันประตู!”
ฉีเจี่ยวอี๋ร้องด้วยความลิงโลด และรอยยิ้มก็คลี่บานบนใบหน้าเขาราวกับบุปผาแย้ม เขาเต้นรำไปรอบๆ และกระโดดเริงรื่นไปยังประตู
เมื่อพวกเขามายังขั้นบันไดหินสุดท้าย เขาก็เห็นฉินมู่พุ่งไปยังประตูก่อน ตามด้วยกิเลนมังกรผู้ซึ่งกระโดดและเตะประตูปิดขวางเขาเอาไว้
ฉีเจี่ยวอี๋เดือดดาล และพุ่งเข้าใส่ประตู เพื่อที่จะเห็นโถงทางเดินเหยียดยาวอันมีประตูเต็มไปหมดทั้งสองด้าน
ฉีเจี่ยวอี๋พังทลาย และล้มคว่ำลงไปกับพื้น เขาคว้าหางกิเลนมังกรปล่อยให้อีกฝ่ายลากเขาไปด้วย “ประตูมากมายขนาดนี้ พวกเราจะต้องเดินไปอีกนานเท่าไร แต่อย่างไรเสีย ต่อให้พวกเราออกไปได้ กายเนื้อของพวกเราก็คงตายไปนานแล้ว…”
ในตอนนั้นเอง ประตูหนึ่งก็พลันแง้มเปิด และศีรษะหนึ่งโผล่ออกมาจากข้างใน “พวกเจ้าคือใคร ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่”
กิเลนมังกรเตะฉีเจี่ยวอี๋ใส่กำแพง และมองไปยังคนผู้นั้นด้วยสายตาสงสัยใคร่รู้