ตอนที่ 50 ดวงตาสีแดงก่ำ…คู่นั้น

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ตอนที่ 50 ดวงตาสีแดงก่ำ…คู่นั้น!

“ท่านอยู่ในตำแหน่งนี้มาตั้งนานแล้ว ยังไม่รู้อีกหรือว่าจริงๆ แล้วที่นี่ออกทางด้านหลังได้น่ะ”

ประตูหลังในที่นี่ไม่ได้หมายถึงกฎความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล แต่หมายถึงความจริงที่ว่านอกจากวัดขงจื๊อจะมีประตูหน้าแล้วยังมีประตูหลังอีกด้วย

โลกนี้ไม่มีความรักที่ไร้เหตุผล ไร้ที่มา ขนมเปี๊ยะสอดไส้ที่ตกลงมาจากฟ้า จากตามการคำนวณทางกลศาสตร์แล้วก็สามารถฆ่าคนได้

ถ้าชายแคระชราพูดถึงตัวเองแค่สองสามประโยค แล้วพูดคำลึกลับยากที่จะคาดเดาบางอย่างท่ามกลางเมฆหมอก เลียนแบบปรมาจารย์ผู้ที่เคาะท้ายทอยให้ซุนหงอคงสามครั้ง บางทีโจวเจ๋ออาจจะคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนและรู้สึกว่าสมจริงและเรียบง่ายมากกว่ากระมัง

แต่จุดอ่อนก็คือชายแคระชรากระตือรือร้นมากเกินไป จนกระทั่งโจวเจ๋อรู้สึกว่าไม่สมจริงเล็กน้อย

หรือว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เริ่มมีกระแสความวุ่นวายของการทำความดีในแวดวงภูตผีเกิดขึ้นกันนะ

โดยเฉพาะหลังจากที่ชายชราปฏิเสธที่จะเข้าไปในวัดขงจื้อกับตัวเอง ในใจของโจวเจ๋อก็ผุดเตือนถึงความระมัดระวังและรอบคอบขึ้นมาเล็กน้อย วัดขงจื๊อนั้นไม่ได้ใหญ่โตมาก โจวเจ๋อเดินเข้าไปทางประตูหน้าแล้วอ้อมออกทางประตูหลังในทันที

ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่าการเลือกของโจวเจ๋อนั้นถูกต้อง

อย่างที่ชายชราพูดมาทั้งหมดเองว่า คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ นับประสาอะไรกับผี

นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้โจวเจ๋อรู้สึกว่ามันออกเหลวไหลไปหน่อย ก็คือสาเหตุที่ชายชราต้องการแก้แค้นตัวเองดันเป็นเพราะเรื่องนั้น…

ตัวเองได้ช่วยชีวิตผู้ป่วยไว้รายหนึ่ง จากนั้นครึ่งเดือนต่อมาผู้ป่วยรายนั้นก็ประสบอุบัติเหตุเมาแล้วขับ และแม้แต่หลานชายของชายแคระชราก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตร่วมกันในเวลานั้นด้วย

คิดไม่ถึงว่าชายแคระชราจะโทษตัวเองจริงๆ คิดว่าหากตอนแรกตัวเองไม่พยายามช่วยชีวิตผู้ป่วยกลับมาอย่างเต็มที่ละก็หลานชายของเขาคงไม่ตาย

ช่างเป็นวงจรสมองที่ยอดเยี่ยมจริงๆ

“ชาติที่แล้วผมเป็นแพทย์คนหนึ่ง การรักษาและช่วยชีวิตคนมันคือหน้าที่ของผม” โจวเจ๋อพูดยิ้มๆ “ผมไม่คิดว่าตัวเองทำผิดอะไร ท่านแค้นผม คับแค้นจนกระทั่งพามาถึงจุดนี้ ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี บางทีท่านอาจจะเพียงคิดว่าลูกหลานรุ่นหลังถูกตัดสายสัมพันธ์ไปแล้ว ตัวเองปรนนิบัติรับใช้รูปปั้นดินเผานี้มาหกสิบปีโดยเปล่าประโยชน์จนกลายเป็นคว้าน้ำเหลว ดังนั้นเลยมีความอาฆาตแค้นอยู่ในใจ จนอยากจะหาคนเพื่อระบายมันออกมา ท่านก็เลยเลือกข้าสินะ”

ชายแคระชราจ้องโจวเจ๋ออย่างจะกินเลือดกินเนื้อ พลางเลียริมฝีปากและพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

“นี่เป็นบาปที่เจ้าได้ก่อไว้ คนที่สมควรตายไป เจ้าไปช่วยชีวิตมันไว้ทำไม!”

“ในสายตาของแพทย์ คนที่ผ่านการช่วยชีวิตอย่างสุดความสามารถแล้วแต่กลับเสียชีวิต ถึงจะเรียกว่าเป็นคนที่ตายแล้วจริงๆ ผมไม่ยอมรับเหตุผลที่ท่านพูดมา และสิ่งที่เรียกว่าเหตุและผลนั้นไร้สาระยิ่งกว่าอะไรเสียอีก”

ถ้าคนที่ตัวเองช่วยชีวิต พวกเขาทำเรื่องอะไรผิดมา เหตุและผลล้วนแล้วแต่ตกมาอยู่ที่ตัวเองละก็ นั่นไม่ใช่เรื่องตลกร้ายที่สุดในโลกหรอกหรือ

โจวเจ๋อจำได้ว่าทหารผ่านศึกชาวอังกฤษคนหนึ่งเคยเขียนในบันทึกความทรงจำไว้ว่า ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาได้จับผู้นำรัฐเป็นเชลยศึกด้วยตัวเอง เดิมทีได้มีโอกาสหลับหูหลับตาจัดการยิงเป้าเจ้าเตี้ยคนนี้ไปซะ แต่ก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น แต่จับเขาไปเป็นเชลยศึกแทน

หรือจะบอกว่าบาปที่นาซีเยอรมันก่อขึ้นในอนาคตจะต้องตกไปอยู่ที่ทหารผ่านศึกชาวอังกฤษน่ะ

โจวเจ๋อส่ายหน้า คุยเรื่องเหตุผลกับชายคนนี้ไม่รู้เรื่องแล้ว วินาทีต่อมา เล็บทั้งสิบนิ้วของโจวเจ๋อเริ่มยาวขึ้นและลมปราณสีดำลอยวนไปมาบนปลายนิ้ว

“นี่เจ้าทำเด็กน้อยสูญสิ้นไปแล้ว แม้แต่คนแก่ก็จะทำลายไปด้วยสินะ” ชายแคระชราพูดอย่างตื่นตระหนก “ที่นี่คือวัดขงจื๊อ เป็นที่พำนักอย่างสงบของนักปราชญ์ และแม้แต่ยมทูตตัวจริงๆ ก็ไม่กล้าอวดดี!”

“แม่งเอ๊ย!”

โจวเจ๋อตรงไปหาชายแคระชรา

“ผมทำตามหลักการเพียงข้อเดียวเท่านั้น เมื่อครู่ท่านอยากทำให้ผมตาย อย่างนั้นผมจะฆ่าคุณให้ตายไปเดี๋ยวนี้เลย!”

ความแค้นของชาติที่แล้วไม่สะดวกตอบแทนในตอนนี้ หากความแค้นในปัจจุบันยังคงปรากฏอยู่ แสดงว่าอารมณ์และนิสัยของโจวเจ๋อนั้นช่างดีเกินไปแล้ว!

ตอนนี้คนเป็นยังทำไม่ได้ แล้วอย่างผีจะทำได้หรือ

ชายแคระชราอยากหลบหนี แต่มือของโจวเจ๋อคว้าเขาไว้ได้เสียก่อน และขณะเดียวกันก็ดึงเขากลับมาข้างหลังอย่างแรง!

“อ๊าก!”

ชายแคระชราส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา และร่างโปร่งแสงของเขาก็เลือนรางมากขึ้น

“ข้าไม่อยากลงนรก ข้าไม่อยากไปนรก นักปราชญ์ ช่วยข้า ช่วยข้าด้วย!”

ช่างน่าเสียดาย

พวกดินเผาในวัดขงจื๊อเหล่านั้นยังคงนิ่งไม่ไหวติงราวกับภูเขา หากพวกเขามีดวงจิตจริงๆ จะตัดเครื่องเซ่นไหว้ในครอบครัวของชายแคระชราได้อย่างไร

“ใครบอกว่าจะส่งท่านไปนรกกัน” โจวเจ๋อยิ้ม “ท่านคิดว่าท่านยังจะมีโอกาสลงไปในนรกอีกหรือ”

เมื่อพูดจบ โจวเจ๋อเสียบแทงนิ้วเข้าไปข้างหน้า แล้วกางฝ่ามือออก ความโกรธที่สะสมอยู่ภายในใจได้ปะทุขึ้นในเวลานี้ วิญญาณของชายแคระชราแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในทันที!

ง่ายมาก

และเฉียบขาดมาก

ก่อนหน้าที่จัดการลงโทษไป๋อิงอิง โจวเจ๋อไม่รู้เลยว่าตัวเองสามารถต่อสู้ได้ดีถึงขนาดนี้

ทว่าในตอนนี้เขามีความมั่นใจเต็มเปี่ยมในความแข็งแกร่งของตัวเอง โดยเฉพาะความสามารถของผี แม้ว่าเหตุผลที่ทำให้ชายแคระชราถูกกำจัดได้ง่ายดาย จะเกี่ยวพันกับความอ่อนแอของจิตวิญญาณที่สังเวยบุญกุศลปรนนิบัติรับใช้ไปหกสิบปีก็ตาม

โจวเจ๋อไม่รู้ว่าที่ตัวเองได้กระทำไปเช่นนี้จะมีผลตามมาในอนาคตหรือไม่ และไม่แน่ใจว่าเมื่อครู่นี้ ที่แม้แต่โอกาสลงนรกยังไม่ให้แก่ชายชรา จะสอดคล้องกับลู่ทางในใจของสาวน้อยโลลิหรือไม่

แต่หากอดกลั้นทำตามแบบอย่างไอ้สารเลวบ่อยๆ จะรู้สึกว่าสร้างปัญหาให้ตัวเองอยู่เสมอ

เมื่อปัดฝุ่นออกจากไหล่แล้ว โจวเจ๋อก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเรียกแท็กซี่

หลังจากขึ้นรถแล้ว คนขับดูต้อนรับมากแถมยังแบ่งบุหรี่ให้โจวเจ๋อหนึ่งมวน สิ่งนี้ทำให้โจวเจ๋อ ‘ได้รับความเมตตามากไปจนรู้สึกประหลาดใจ’ อยู่ครู่หนึ่ง และในขณะที่เขาสูบบุหรี่ไปพลางพูดคุยกับคนขับอย่างขอไปทีไปพลาง

เวลาเดียวกันนั้นก็แอบใช้หัวบุหรี่ที่กำลังไหม้อยู่จิ้มประตูรถไปเล็กน้อย ประตูรถไม่มีรอยไหม้ทะลุ

โจวเจ๋อรู้สึกสบายใจ แท้จริงเพราะเขาถูกรถกระดาษทำเมื่อครั้งที่แล้ว ทำเอาเขาเหนื่อยล้ามากจริงๆ

เมื่อกลับไปที่ร้านหนังสือก็เป็นเวลาตีหนึ่งแล้ว ไป๋อิงอิงนั่งมองคอมพิวเตอร์อยู่หลังเคาน์เตอร์และนั่งจับเมาส์สะเปะสะปะไปมา

หลังจากโจวเจ๋ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ และเมื่อกำลังจะขึ้นไปพักผ่อนบนชั้นบน ก็พบว่าไป๋อิงอิงยังคงนั่งนิ่งอยู่หลังคอมพิวเตอร์

เธอไม่ขึ้นไปแล้วตัวเองจะนอนหลับได้อย่างไร

โจวเจ๋อเดินไปข้างหลังไป๋อิงอิง พบว่าศพผีสาวกำลังเล่นเกมสุดยอดตำนานทหารรบที่มีผู้เล่นคนเดียวและเล่นได้อย่างสะใจมาก

“จะพักผ่อนแล้ว” โจวเจ๋อเอ่ยเตือน

“โอ้” ไป๋อิงอิงตอบกลับมาแต่ยังไม่ตอบสนอง

“ฉันบอกว่าจะพักผ่อนแล้ว” โจวเจ๋อเน้นเสียงของเขา

“โอ้ รับทราบค่ะ!” ไป๋อิงอิงแลบลิ้นและออกจากเกม จากนั้นก็ขึ้นไปชั้นบนอย่างเชื่อฟัง

บนชั้นสองมีเสื่อเย็นอยู่สองผืนและเขาย้ายตู้แช่ไปอยู่ที่มุมห้องชั่วคราว นอนลงบนเสื่อเย็นคนละผืน ถ้ามีคนนอกไม่ทันระวังขึ้นไปบนชั้นสอง พอเห็นเข้าอาจจะคิดว่ามีศพสองศพนอนเรียงอยู่บนเสื่อตรงนั้นก็เป็นได้

“เถ้าแก่คะ วันนี้คุณเหนื่อยแล้วใช่ไหม” ไป๋อิงอิงหยั่งเชิงถาม

โจวเจ๋อไม่ตอบ เขาไม่อยากพูดถึงเรื่องของคืนนี้ให้มากความ โดยเฉพาะการที่ตัวเองผ่านประตูบ้านมาหลายครั้งแต่ก็ไม่เข้ามานั้น จริงๆมันไม่มีอะไรน่าอวดเลยจริงๆ

เมื่อเห็นว่าโจวเจ๋อไม่สนใจตัวเอง ไป๋อิงอิงก็หลับตาลงอย่างเชื่อฟัง พลังหยินเล็กน้อยแผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของเธออย่างต่อเนื่อง ทำให้อุณหภูมิรอบๆ โจวเจ๋อเริ่มลดลง และทำให้จิตวิญญาณของโจวเจ๋อผ่อนคลายลงอย่างช้าๆ เช่นกัน

อืม นอนหลับแล้ว

‘ปุดๆ…ปุดๆ…ปุดๆ…’

เสียงคล้ายน้ำเดือด

โจวเจ๋อค่อยๆ ลืมตาขึ้นและพบว่าตัวเองกำลังลอยอยู่บนแอ่งน้ำแห่งหนึ่งที่ล้อมรอบด้วยคลื่นความร้อน ราวกับว่าเขานอนอยู่ในสระน้ำขนาดใหญ่ในห้องน้ำอย่างไรอย่างนั้น

ไกลออกไปมีถนนที่กว้างใหญ่แต่กลับเฉอะแฉะเต็มไปด้วยโคลน และร่างของกลุ่มคนผิวขาวกำลังเดินแบบไร้ความรู้สึกไปตามถนนอย่างมึนงง

ที่นี่ช่างคุ้นเคยเหลือเกิน

โจวเจ๋อลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ และพบว่าเขาสามารถนั่งบนน้ำได้โดยที่ไม่จมลงไป

“คุณก็มาด้วยสินะ”

เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นข้างๆ โจวเจ๋อ

โจวเจ๋อหันขวับกลับไปมอง ถึงได้เห็นชายหนุ่มสวมเสื้อสเวตเตอร์ยืนอยู่ข้างๆ ตัวเอง

ด้านข้างของชายหนุ่มสวมเสื้อสเวตเตอร์มีร่างเล็กๆ กระจุ๋มกระจิ๋ม กำลังหมอบคลานอยู่ ดูเหมือนว่าจะเป็นแมวตัวหนึ่ง

ชายคนนั้นสวมหมวกของเสื้อสเวตเตอร์ไว้จึงมองไม่เห็นใบหน้าจริงๆ แต่กลับทำให้โจวเจ๋อรู้สึกคุ้นเคยมาก

เพียงแค่ช่วงขณะหนึ่งโจวเจ๋อนึกไม่ออกว่าเขาเป็นใคร

“อย่ากังวลไปเลย นี่เป็นความฝัน” ชายในเสื้อสเวตเตอร์พูด “ชีวิตไม่แน่นอน ในฐานะคนตายมันเป็นเรื่องธรรมดามากสำหรับเราที่จะฝันว่ากลับไปนรก”

“คุณเป็นใคร” โจวเจ๋อถามขึ้น

“ชื่องั้นเหรอ อยู่ที่นี่จะมีความหมายอะไรล่ะ” ชายหนุ่มถามกลับ

โจวเจ๋อพูดติดขัดไปชั่วขณะหนึ่ง อันที่จริงชายในเสื้อสเวตเตอร์ก็พูดชัดแล้วว่า มีเพียงคนตายเท่านั้นที่สามารถฝันว่ากลับไปนรกได้ ทุกคนตายแล้ว บอกชื่อกันไปจะมีความหมายอะไร

“พวกเขาจะมาจับผมไปแล้ว” ชายหนุ่มพูดขึ้น

“จับคุณงั้นเหรอ” โจวเจ๋อชะงักไปครู่หนึ่ง “จับคุณกลับไปนรกใช่ไหม”

“เหอะ…” ชายในเสื้อสเวตเตอร์หัวเราะ

ทันใดนั้นชายในเสื้อสเวตเตอร์หันหลังกลับและเตรียมจากไป แมวที่อยู่ข้างๆ เขาตัวนั้นก็ค่อยๆ เตรียมตัวเดินตามเขาไปด้วยเช่นกัน

จู่ๆ โจวเจ๋อก็นึกอะไรบางอย่างออกและพูดขึ้นในทันที “คุณใช่คนเมืองหรงเฉิงคนนั้นหรือเปล่า ใช่ลูกจ้างร้านขายของจิปาถะสำหรับคนตายของนักพรตใช่ไหม”

ชายในเสื้อสเวตเตอร์หยุดเดิน และหันหน้ามองไปที่โจวเจ๋อ “ลูกจ้างเหรอ”

“ถ้าอย่างนั้น…ไม่ใช่หรอกเหรอ”

“ใช่ก็ใช่ คุณรู้จักนักพรตคนนั้นเหรอ” อีกฝ่ายถามขึ้น

“คิดว่ารู้จัก” โจวเจ๋อตอบกลับไป

“อ้อ” ชายในเสื้อสเวตเตอร์ยื่นนิ้วออกมาและชี้ไปรอบๆ หมอกสีขาวรอบๆ ตัวเขาเริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆ เขาพูดขึ้นว่า “ใกล้จะตื่นขึ้นจากความฝันแล้ว”

“นี่เป็นครั้งแรกที่ผมฝันถึงอะไรอย่างนี้” โจวเจ๋อพูด

“เดี๋ยวก็คงจะชินกับมันไปเอง” เพราะความสัมพันธ์ระหว่างโจวเจ๋อกับนักพรตทำให้ชายในเสื้อสเวตเตอร์ดูเหมือนอยากจะพูดอีกสักสองสามคำ จึงไม่รีบจากไป เขายื่นมือชี้ไปที่สระน้ำใต้ฝ่าเท้า “ยังจำสระน้ำนี้ได้ไหม”

โจวเจ๋อมองไปที่ใต้ฝ่าเท้าของเขาและพยักหน้า

“ลงไปสิ!”

ชายในเสื้อสเวตเตอร์เดินไปที่ด้านข้างโจวเจ๋อ ยื่นมือกดไปที่ไหล่ของโจวเจ๋อ จากนั้นทั้งสองคนก็จมลงไปในสระน้ำด้วยกัน

น้ำในสระใสแจ๋วไม่มีอะไรมาเทียบได้ ทัศนวิสัยการมองเห็นในน้ำสูงมาก

“รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างขาดหายไปบ้างไหม” ชายในเสื้อสเวตเตอร์ถาม

“คนนั้น…ผู้หญิงคนนั้น…หายไปแล้ว”

โจวเจ๋อมองไปรอบๆ สระน้ำและพบปัญหาแล้ว หญิงไร้หน้าที่ตัวเองเจอตอนลงไปนรกครั้งแรกคนนั้นหายไปแล้ว!

“อ้อ” ชายในเสื้อสเวตเตอร์ตอบ ต่อมาโจวเจ๋อเห็นเงาสีแดงสองดวงปรากฏขึ้นใต้หมวกของอีกฝ่าย มันคือดวงตาของอีกฝ่าย

เป็นดวงตาสีแดงก่ำ!

ชั่วขณะหนึ่ง ความรู้สึกหวาดกลัวยิ่งใหญ่มหาศาลเริ่มเข้าโจมตี

ทันใดนั้นความรู้สึกวิกฤติที่น่ากลัวก็ย่างกรายมาถึง เล็บทั้งสิบนิ้วของโจวเจ๋องอกยาวขึ้น และรัศมีสีดำก็ปรากฏขึ้นในดวงตา

“คุณจะทำอะไร” โจวเจ๋อพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง

ชายในเสื้อสเวตเตอร์ยิ้มและชี้มาที่เขา “ดูตัวเองสิ”

โจวเจ๋อก้มศีรษะลงและมองไปใต้ร่างตัวเอง

เขาตกตะลึงเมื่อพบว่ามีผมสีดำหลายชั้นพันรอบๆ ตัวเอง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเหล่านี้ปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่

“นางมาหาคุณแล้ว” ชายในเสื้อสเวตเตอร์เอ่ยเตือน

แสงแดดยามเช้าทำให้ผู้คนรู้สึกอบอุ่น สวี่ชิงหล่างชงชาและยกเก้าอี้หวายไปนั่งอาบแดดอยู่หน้าร้าน ช่วงเวลานี้ยังไม่มีคนสั่งดิลิเวอรี่ เขาก็มีความสุขที่ได้ผ่อนคลาย

มีแท็กซี่คันหนึ่งจอดรถให้คนลงอยู่ตรงทางแยกข้างหน้า เป็นเด็กสาวที่ดูเหมือนนักเรียนมัธยมปลายลงมาจากรถ

หญิงสาวรูปลักษณ์สวยสดงดงาม ใบหน้าอวบอิ่มเล็กน้อย นับว่าเป็นความงามของบุคคลที่เกินมาครึ่งหนึ่งแล้ว

หญิงสาวเดินไปที่ประตูร้านหนังสือ และเมื่อเห็นว่าร้านหนังสือล็อกเอาไว้จึงใช้เท้าถีบประตูทันที

“สวีเล่อ ไอ้คนสารเลวออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”

แต่ก็ไม่มีการตอบสนองใดๆ

สวี่ชิงหล่างจิบชาแล้วพูดขึ้น “มาหาเขาทำไมเหรอ”

“พี่สาวฉันลาป่วยมาสัปดาห์กว่าแล้ว ทั้งยังขังตัวเองอยู่ในบ้านทุกวันไม่ยอมออกมา ไม่มีกะจิตกะใจจะกินข้าวดื่มชาเลยด้วยซ้ำ จะต้องเป็นเพราะไอ้สารเลวสวีเล่อ ยั่วโมโหพี่สาวฉันอีกแล้วแน่ๆ! วันนี้ฉันจะมาเรียกเขากลับไปขอโทษพี่สาวฉัน”

“พี่สาวคุณงั้นเหรอ” สวี่ชิงหล่างขบคิดและได้กลิ่นมาแล้ว “เมื่อวานพี่สาวคุณน่าจะเหนื่อยมากน่ะสิ”

“คุณหมายความว่าอย่างไร” น้องภรรยาถามพลางขมวดคิ้ว

“ไม่มีอะไร เรื่องความรู้สึกของผู้ใหญ่ เด็กอย่ามาสอดจะดีกว่า ดูแลแฟนหนุ่มตัวน้อยของตัวเองไปก็พอแล้ว” ท่าทีของสวี่ชิงหล่างเป็นการสั่งสอนสาวน้อย

“คุณแปลกคนมาก อย่าคิดว่าคุณหน้าตาดีหน่อยแล้วฉันจะไม่กล้าตบคุณนะ! เรื่องของครอบครัวเราใช่สิ่งที่คุณควรพล่ามหรือไง”

น้องภรรยายกมือขึ้น บ่งบอกว่าฉันกำลังจะตบแล้วนะ!

สวี่ชิงหล่างหายใจ ‘พรืด’ และพูดแบบไร้กังวล “ไม่ต้องกังวลไปหรอก ความสัมพันธ์ระหว่างพี่สาวคุณกับพี่เขยคุณดีออกจะตาย”

อันที่จริงมีประโยคที่สวี่ชิงหล่างไม่ได้พูดออกมา แต่พูดอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ หมอหลินคนนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นผู้หญิงที่หัวโบราณคนหนึ่ง ใครจะไปรู้ว่าจะสามารถล้อเล่นอย่างเปิดเผยได้

เอาชนะปมในใจและโอบรับชีวิตใหม่ได้อย่างรวดเร็วเพียงนี้

จุ๊ๆ พลังแห่งความรักนั้นช่างทรงพลังและไร้เหตุผลเกินคาด ตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนปัจจุบัน ชายหญิงที่ลุ่มหลงในรักกี่คนแล้วที่ยอมกลายเป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟของความรักนี้

“คุณหมายความว่าอะไร”

“ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ ช่างเถอะ จะแนะนำให้สักหน่อยนะ บอกพี่สาวคุณว่าพื้นที่ในรถคาเยนน์คันนั้นกว้างกว่ามาเซริติสีขาวคนนั้นอยู่นะ เวลาที่คนจะทำอะไรในนั้นมันสะดวกกว่าน่ะนะ”

“มาเซราติ?” น้องภรรยาถามด้วยความสงสัย

“ใช่น่ะสิ รถใหม่ของพี่สาวคุณไม่ใช่เหรอ”

“พี่สาวฉันไม่ได้ออกบ้านมาสัปดาห์กว่าแล้วนะ แล้วรถใหม่มาจากไหน แถมยังเป็นมาเซราติอีกด้วย”

น้องภรรยามองไปที่สวี่ชิงหล่างอย่างยากจะหยั่งถึง แล้วเหมือนกับว่านึกอะไรออกและถีบเข้าที่ประตูร้านหนังสืออย่างแรงอีกครั้ง

“ได้ สวีเล่อ ฉันเข้าใจแล้ว! นายกินข้าวบ้านฉัน ใช้ของบ้านฉัน เงินที่เปิดร้านหนังสือแห่งนี้พี่สาวฉันก็เป็นคนออกให้ ตอนนี้ปีกกล้าขาแข็งแล้ว แล้วยังเกาะเศรษฐีนีอีกคนด้วยใช่ไหม เศรษฐีนีคนนั้นยังขับมาเซราติมาเดตกับนายอีกใช่ไหม! สวีเล่อ นายนี่เรียกว่ากินบนเรือนขี้บนหลังคา ไม่มีมโนธรรม!”

‘เพล้ง’

เสียงดังฟังชัดลอยมา น้องภรรยาตกใจหันไปมองสวี่ชิงหล่างที่นอนอยู่บนเก้าอี้หวายข้างๆ เมื่อสักครู่นี้เป็นเสียงแก้วในมือของสวี่ชิงหล่างตกลงมา

สวี่ชิงหล่างอ้าปากค้างด้วยท่าทางสยองขวัญ จู่ๆ ก็ผุดลุกจากเก้าอี้หวายแล้วถีบประตูร้านหนังสือเป็นพัลวัน

“ให้ตายสิ ตื่นได้แล้วไอ้บ้า คุณยังนอนหลับสบายใจเฉิบอยู่ได้ คืนนั้นเป็นกับดักจริงๆ!”

…………………………………………………….