ตอนที่ 279 สามปีต่อมา

แม่สาวเข็มเงิน

ลมฤดูร้อนในภูเขานั้นเย็นกว่าลมข้างนอกเสมอ

เด็กหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งวางตะกร้าไว้ข้างตัว ในมือถือพลั่วอันเล็กไว้ เขากำลังนั่งยอง ๆ อยู่ในทุ่งหญ้าพลางขุดสมุนไพรอย่างตั้งใจ

ลมฤดูร้อนพัดผ่านไปอย่างช้า ๆ และนำมาซึ่งความเยือกเย็น

เด็กหนุ่มเช็ดเหงื่อบนใบหน้าแต่ยังคงตั้งใจขุดสมุนไพรต่อไป

ซิ่วผิงยืนอยู่ที่ไกล ๆ กวาดตามองดูแผ่นหลังของเด็กหนุ่มอย่างลุ่มหลงด้วยหัวใจที่เต้นแรง

“พี่ซิ่วผิง พี่มายืนทำอะไรตรงนี้ ?”

เสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นจากทางด้านหลังของซิ่วผิง

ซิ่วผิงตกใจจนตัวสั่น นางหันกลับไปเห็นว่าเป็นเจียงฉิง เรียวคิ้วนางก็ตั้งตรง ทำท่าจะเข้าไปตีเจียงฉิง “เจ้าเด็กบ้า ตกอกตกใจหมดเลย ทำไมไม่เอาเยี่ยงอย่างพี่ชายเจ้าบ้าง ทำตัวให้สุขุมหน่อยสิ!”

เจียงฉิงทำหน้าผีใส่ซิ่วผิง

เด็กหนุ่มที่กำลังขุดสมุนไพรได้ยินเสียงเอ็ดใส่กัน เขาจึงลุกขึ้นและหันกลับมามองพร้อมทั้งยกยิ้มมุมปาก “ซิ่วผิง อาฉิง มีอะไรกันรึ ?”

ซิ่วผิงหน้าแดงก่ำ นางพูดทิ้งท้ายว่า “หัวหน้าใหญ่เรียกหาเจ้า” แล้วรีบหันหลังวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว

เด็กหนุ่มได้ยินดังนั้นก็จัดการนำสมุนไพรใส่ในตะกร้าและใส่พลั่วอันเล็กที่อยู่ในมือลงไปด้วย ตอนที่เขากำลังจะแบกตะกร้าไว้บนหลัง เจียงฉิงก็วิ่งมาหาและพูดขึ้นอย่างกระตือรือร้น “พี่ป่าวชิง ให้ข้าแบกเถอะ”

เจียงป่าวชิงที่ปลอมตัวเป็นเด็กผู้ชายยิ้มเล็กน้อยพลางยกตะกร้าขึ้นแบกไว้บนหลัง นางยื่นมือไปลูบผมของเจียงฉิงเบา ๆ “เจ้ายังอยู่ในช่วงเจริญเติบโต ให้ข้าทำเองดีกว่านะ”

เจียงฉิงมองเจียงป่าวชิงอย่างใจลอย จู่ ๆ นางก็เอามือรองใบหน้าและพูดขึ้น “พี่ป่าวชิง ใบหน้าของพี่ แม้ข้าจะมองดูมาสามปีแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าดูดี ในหมู่บ้านนี้ไม่มีใครดูดีเท่าพี่เลย แม้จะนำทุกคนมารวมกันทั้งหมดแล้วก็ตามที”

เจียงป่าวชิงชะงักไปเล็กน้อยแต่ก็ส่งยิ้มอ่อนไปให้ “ถือว่าเจ้าปากหวาน ถ้าหัวหน้าสามมาได้ยินเข้า ไม่รู้ว่าเขาจะสร้างสวรรค์และโลกยังไงอีกน่ะสิ”

ทั้งสองคนคุยเล่นกันและเดินเข้าไปในภูเขาลึกตามถนนที่คดเคี้ยวท่ามกลางภูเขาไปด้วย

……

ใช่ นับตั้งแต่อุบัติเหตุวันนั้น วันเวลาก็ผ่านพ้นมาสามปีแล้ว

มันเป็นเวลาสามปีนับตั้งแต่วันที่ตกลงไปในแม่น้ำคราด สามปีอันแสนเศร้า ทว่าเอาเข้าจริง เจียงป่าวชิงเองไม่คิดด้วยซ้ำว่าตัวเองจะยังรอดชีวิตมาได้

ในตอนนั้น เมื่อนางลืมตาขึ้น ด้านล่างร่างกายนางคือหาดหินริมแม่น้ำที่ไหนสักแห่ง ด้านหน้าคือใบหน้าเล็กที่เปื้อนโคลน ซึ่งเมื่อใบหน้าเล็กนั้นเห็นนางฟื้นขึ้นมาก็ดีใจแทบตัวโยน “พี่สาว พี่ตื่นแล้ว พี่ยังจำข้าได้ไหมจ๊ะ ?”

เจียงป่าวชิงรู้สึกเจ็บตรงไหล่เสมือนถูกใครบางคนเอาเหล็กหนักมาบดทับจนแหลกละเอียด ความเป็นจริงก็ประมาณนั้น กระดูกที่ไหล่ซ้ายของนางคงหัก ประกอบกับที่ร่างกายถูกแช่ในน้ำเย็น ๆ เป็นเวลานาน อันที่จริงอาการนางเข้าขั้นวิกฤต

คงเป็นเพราะเจ็บเกินไปใบหน้าน่ารักของนางในตอนนี้จึงซีดเซียว แต่นางกลับใจเย็นผิดปกติ ริมฝีปากของนางสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ น้ำเสียงของนางก็อ่อนแอเล็กน้อย แต่คำพูดที่พูดออกมากลับสุขุมอย่างมาก “อาฉิงใช่ไหม ข้าจำได้ว่าข้าเคยถามเจ้าเกี่ยวกับเรื่องโรงทานตอนอยู่ที่จังหวัดหยูเฟิง… ทำไมข้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ ?”

อาฉิงหรือขอทานตัวน้อยที่ปลอมตัวเป็นเด็กผู้ชายดีใจแทบจะในทันที นางทำอะไรไม่ถูก แต่ก็พยายามตั้งสติรีบมาช่วยพยุงเจียงป่าวชิงขึ้นอย่างยากลำบาก

สำหรับสาวน้อยอาฉิงคนนี้ เหมือนมีลานส่งคลื่นวิทยุอยู่บนปากเล็ก ๆ ของนาง นางถึงได้พูดไม่หยุดแบบนั้น “มันน่ากลัวมากเลยจ้ะพี่ คือว่าเกิดน้ำท่วม แล้ว… แล้วทันใดนั้นทั้งเมืองก็จมน้ำเกินครึ่ง มีหลายคนที่จมน้ำตาย ส่วนคนที่ไม่จมน้ำก็หนีภัยไปแล้ว ข้าเองก็หนีภัยออกมาเหมือนกัน บางคนถึงกับจะลักพาข้าไปก็มี น่ากลัวมากเลย! ข้านะ หนีภัยมาที่ภูเขานี้ก็เห็นว่ามีคนอยู่ที่ริมแม่น้ำ จึงอยากมาดูว่ามีอะไรที่สามารถใช้ช่วยได้บ้าง แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นพี่สาว ข้ายังเสียใจอยู่เลยว่าพี่สาวหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มขนาดนี้ นิสัยก็ดี ทำไมถึงได้… แต่พี่สาวก็ฟื้นขึ้นมาก่อน”

ตอนนี้เจียงป่าวชิงรู้สึกเจ็บมาก ทว่าเมื่อได้ฟังอาฉิงพูดยาวเหยียดอย่างคล่องแคล่ว นางก็รู้สึกถึงความจริงใจอย่างน่าประหลาด

เจียงป่าวชิงรู้จากอาฉิงว่าแม่น้ำฮุ่ยไม่สามารถค้ำยันน้ำปริมาณมากไว้ได้และเขื่อนก็แตกในที่สุดจนแม่น้ำฮุ่ยไหลทะลักลงสู่แม่น้ำคราด ต่อมาแทบไม่ต้องเดาว่าเกิดอะไรขึ้น แม่น้ำทั้งสองไหลหลอมรวมก่อเกิดเป็นแม่น้ำใหญ่ยักษ์ที่สร้างความหายนะให้กับพื้นที่เป็นวงกว้าง

โดยเฉพาะหมู่บ้านในภูเขา หลังจากที่น้ำป่าท่วมอย่างฉับพลัน หมู่บ้านเหล่านั้นก็ไม่เหลือซากอีกเลย

เจียงป่าวชิงไม่เพียงแต่สูญเสียเจียงหยุนชานผู้เป็นพี่ชาย นางยังสูญเสียบ้านที่ตัวเองสามารถกลับไปได้อีกด้วย

หลังจากนั้นเป็นต้นมา เจียงป่าวชิงกับอาฉิง ขอทานตัวน้อยก็พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน แต่เจียงป่าวชิงที่ค่อย ๆ โตขึ้นกลับมีรูปลักษณ์โดดเด่นเกินไปจึงต้องทาหน้าดำเหมือนกับอาฉิงพร้อมทั้งเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นแบบขาดรุ่งริ่งและแสร้งทำเป็นเป็นเด็กขอทานที่กำลังหนีภัย

อาฉิง ขอทานตัวน้อยก็เปลี่ยนแซ่เป็นแซ่เดียวกันกับเจียงป่าวชิง และตั้งชื่อใหม่ให้ตัวเองว่าเจียงฉิง

น้ำท่วมในรอบร้อยปีทำให้ผู้คนจำนวนมากกลายเป็นผู้ลี้ภัยพลัดที่นาคาที่อยู่ บนท้องถนนเต็มไปด้วยผู้ประสบภัยกำลังหนีภัย แต่ก็ยังมีครอบครัวมั่งคั่งที่ย้ายบ้านบางส่วน

สถานการณ์เช่นนี้ทำให้พวกโจรภูเขาเริ่มปฏิบัติการออกเดินทางเพื่อล่า ปล้น ชิงทรัพย์พวกเขาไปตลอดทาง

เจียงป่าวชิงกับอาฉิงที่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไม่มีเงินนั้น ไม่ถือว่าต้องระวังอะไรมากนัก โจรภูเขาต่างก็ขี้เกียจปล้นพวกนางให้เสียเที่ยว แต่เนื่องจากโจรภูเขาคิดจะใช้ประโยชน์จากคนกลุ่มนี้เพื่อขยายกำลังคน เจียงป่าวชิงกับอาฉิงที่ดูเหมือนไม่มีอาวุธและอ่อนแอในการต่อต้านจึงตกเป็นเป้าหมายการหาคนเพิ่มของโจรภูเขาอย่างพอดิบพอดี ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองคนถูกโจรภูเขาขู่เข็ญให้กลับเข้าไปในภูเขา

ด้วยความสามารถของเจียงป่าวชิง การที่นางจะพาอาฉิงหนีออกไปนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไรอยู่แล้ว แต่เมื่อมาถึงปากภูเขา ก่อนที่จะเตรียมหลบหนี นางก็พบกับสมุนไพรกองโตที่อยู่ในอุโมงค์ใต้ดินของโจรภูเขา และที่สำคัญ ในนั้นยังมีเครื่องปรุงยาอันล้ำค่ามากมายทว่ามันกลับกองสุมกันอย่างลวก ๆ ทำให้คุณสมบัติยาหลายอย่างถูกทำลาย

นี่เป็นการทำลายสิ่งของตามอำเภอใจ

มุมปากเจียงป่าวชิงกระตุกเล็กน้อยอย่างหงุดหงิด

บาดแผลบนไหล่นางยังไม่หายดีจึงต้องการเครื่องปรุงยาล้ำค่าบางส่วน แต่ด้วยกำลังทรัพย์ของนางกับอาฉิงแล้วคงซื้อไม่ไหวแน่ และที่พวกโจรภูเขาวางเครื่องปรุงยาทิ้งไว้อย่างลวก ๆ เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เข้าใจเกี่ยวกับวิชาการรักษาโรคแม้แต่น้อย

ดังนั้น เจียงป่าวชิงจึงอยู่ที่ปากภูเขาแห่งนี้ในฐานะ “หมอ” อย่างแรกคือสะดวกหาหยูกยามาใช้รักษาไหล่ของตัวเอง และอีกอย่างคือนางต้องการหาที่ที่ปลอดภัยในโลกอันกว้างใหญ่นี้

ไม่นานเวลาก็ผ่านไปสามปีแล้ว

……

ซิ่วผิงเป็นหนึ่งในลูกสาวไม่กี่คนบนภูเขา ที่ปากภูเขาแห่งนี้มีคุณป้าคนหนึ่งฝีมือทำอาหารจัดว่าเด็ด นางทำอาหารอร่อยมากและซิ่วผิงเป็นลูกสาวของคุณป้าฝีมือดีคนนั้น ปกตินางจะช่วยงานต่าง ๆ อยู่ที่บ้านของซูรุ่ยเอ๋อร์ผู้เป็นหัวหน้าคนที่สอง

ในเมื่อนางมาบอกว่าหัวหน้าใหญ่ต้องการพบ เจียงป่าวชิงจึงมุ่งหน้าไปยังที่ที่หัวหน้าใหญ่พักอยู่

ตอนที่นางไปถึง กู่ฟู่กุ้ยหรือหัวหน้าใหญ่ก็กำลังตบโต๊ะดังสนั่น ออกปากตะเพิดพวกลูกน้องฝั่งตรงข้าม “บ๊ะ!… เรื่องแค่นี้พวกเจ้ายังทำไม่สำเร็จ มีพวกเจ้าแล้วจะมีประโยชน์อะไรหา! พวกเจ้าบอกข้ามาสิว่าพวกเจ้ามีประโยชน์อะไร ?”

พวกลูกน้องเอาแต่ก้มหน้าก้มตา ไร้ซึ่งคนที่กล้าปริปากพูดอะไร

หลังจากที่เจียงป่าวชิงเข้าไป กู่ฟู่กุ้ยก็ส่งเสียงอย่างไม่พอใจและสั่งให้พวกลูกน้องออกไป และนั่นทำให้พวกลูกน้องรู้สึกซาบซึ้งใจเจียงป่าวชิงอย่างมาก

“น้องเจียง ทำไมเจ้าเพิ่งมาล่ะ ?” กู่ฟู่กุ้ยไม่ใคร่จะพอใจนัก “ข้ารอเจ้านานแล้วนะ”

จะว่าไปแล้ว กู่ฟู่กุ้ยเป็นคนประเภทที่ว่ามองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นโจร บนใบหน้าของเขามีรอยแผลเป็นเป็นรอยบากขนาดใหญ่ยาวจนเกือบแยกใบหน้าออกเป็นสองส่วนดูโฉดชั่วมาก