ตอนที่ 269 คุณพ่อกตัญญูยี่สิบสี่ประการ!

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

อย่างไรก็ตาม ในสมองของหลี่ซื่ออวี๋กลับนึกถึงคำพูดของหลี่มู่หลานญาติผู้พี่คนโต เขาเคยบอกว่าลึกๆ แล้วหลี่อิงเจี๋ยไม่ใช่คนเลวเลยจริงๆ เพียงแต่ถูกคนของตระกูลหลี่บางคนยุยงให้เดินไปผิดทาง ถ้าหากทำได้ ญาติผู้พี่คนโตยังหวังว่าหลี่ซื่ออวี๋จะช่วยเหลือหลี่อิงเจี๋ย ให้เขาเดินกลับมาในเส้นทางที่ถูกต้อง….

และตอนนี้ก็ยืนยันว่าญาติผู้พี่คนโตคาดการณ์ไม่ผิดเลย คนที่ยินดีเสียสละเพื่อพี่น้อง ลึกๆ ในใจแล้วเขาจะเลวร้ายได้อีกสักแค่ไหนกัน? บางทีนี่ก็คือโอกาส ถ้าหากเขาสามารถคลี่คลายความสัมพันธ์กับหลี่อิงเจี๋ยเพราะเหตุนี้ได้ บางทีเขาก็อาจจะทำตามการกำชับของญาติผู้พี่คนโตได้สำเร็จ…

เมื่อคิดว่าต้องซื้อหนึ่งแถมสอง ในใจหลี่ซื่ออวี๋ก็รู้สึกกลัดกลุ้ม ก็เหมือนกับที่เขาพูดไว้ ยาสรรพคุณพิเศษพวกนั้นไม่ใช่ของที่หยิบมาได้ตามใจชอบ ต่อให้เขาเป็นนักเรียนดีเด่น การยื่นเรื่องของยาสรรพคุณพิเศษสำหรับสามคนก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากลำบาก จำเป็นต้องใช้เส้นสายอยู่บ้าง…พูดตามตรงเขาไม่อยากใช้เส้นสายพวกนี้ในเวลานี้เลย เพราะว่านี่เป็นโอกาสช่วยชีวิตที่เขาเก็บไว้ให้ญาติผู้พี่คนโตของเขา

“แน่นอนว่า ถ้าเกิดนายสามารถรักษาพวกเขาให้หายดีได้ภายในช่วงเวลาสั้นๆ กลุ่มนักเรียนใหม่ของพวกเรารวมถึงฉันจะติดหนี้นายหนึ่งครั้ง นายมาทวงหนี้บุญคุณได้ตามใจชอบเลย” หลิงหลานไม่ได้บีบบังคับอย่างแข็งกร้าวเพียงอย่างเดียว ในขณะเดียวกันเธอก็เสนอค่าตอบแทนที่เธอยินดีจ่ายด้วยเหมือนกัน เธอไม่อยากให้หลี่อิงเจี๋ยสูญเสียโอกาสในการรักษาครั้งนี้ไปจริงๆ “แน่นอนว่า คำขอของนายต้องเป็นเรื่องที่กลุ่มนักเรียนใหม่ของเราทำได้ด้วยนะ”

“กลุ่มนักเรียนใหม่?” หลี่ซื่ออวี๋ผุดความคิดหนึ่งขึ้นมา อย่างไรก็ตามเขาก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มหยันอย่างรวดเร็วว่า “นายรับประกันได้หรือไงว่ากลุ่มนักเรียนใหม่จะคงอยู่ต่อไปได้”

หลิงหลานตอบกลับเรียบๆ ว่า “อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีอุปสรรคอะไรภายในสองปี นายสามารถเลือกให้พวกเราตอบแทนบุญคุณของนายได้ภายในสองปี แน่นอนว่าถ้าเกิดตอนที่นายยื่นคำขอไม่มีกลุ่มนักเรียนใหม่แล้ว คำมั่นสัญญาของฉันก็ยังดำรงอยู่ตลอดไป นายสามารถมาหาฉันได้” หลิงหลานคิดว่าจ่ายค่าตอบแทนพวกนี้ก็คุ้มค่าแล้วเพื่ออนาคตลูกน้องทั้งหลายของเธอ

หลี่ซื่ออวี๋เงียบไป เขากำลังคิดว่ามันคุ้มค่าแล้วหรือไม่ แต่ในตอนนี้เอง หลี่หลานเฟิงก็เอ่ยปากพูดว่า “คุณชายซื่ออวี๋ ฉันเชื่อว่าคุณชายมู่หลานก็เห็นด้วยที่ให้นายไปรักษาคุณชายอิงเจี๋ยกับพวกเพื่อนๆ ของเขา….”

หลี่หลานเฟิงถอนหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง แววตาดูพร่ามัวอยู่บ้างราวกับว่าเอ่ยพึมพำกับตัวเอง และก็คล้ายกำลังกล่าวเตือนอะไรบางอย่าง “ควรรู้ว่านี่เป็นสิ่งที่คุณชายมู่หลานอิจฉามาตลอดเลย…”

หลี่ซื่ออวี๋ใจสั่นสะท้าน ฝืนข่มกลั้นความปวดร้าวที่โจมตีหัวใจ เขาตอบเสียงดังว่า “ได้ ฉันตกลง” เขากล่าวจบก็ยืนคำขอย้ายการรักษาอีกสองอันในอุปกรณ์สื่อสาร ผ่านไปหลายวินาที ข้อความอนุมัติก็ถูกส่งกลับมาอีกครั้ง

หลิงหลานเห็นว่าความต้องการของเธอบรรลุในที่สุดก็โล่งใจ ลอบพรูลมหายใจอย่างลับๆ ไม่นานเจ้าหน้าที่ก็ใช้เปลหามพาทั้งสามคนไปที่ศูนย์วิจัยแพทย์ทหาร หลี่ซื่ออวี๋กับอวิ๋นซิวก็บอกลาด้วยความเร่งรีบ อย่างไรเสียอาการบาดเจ็บของทั้งสามคนก็สาหัสมาก พวกเขาต้องรีบกลับไปที่ศูนย์วิจัยแพทย์ทหาร วางแผนการรักษาใหม่

ในตอนที่หลิงหลานพาคนออกไปจากศูนย์รักษาที่กำลังยุ่งอยู่นั้น เธอก็บังเอิญเดินผ่านข้างกายหลี่หลานเฟิงพอดี หลิงหลานกวาดตามองหลี่หลานเฟิงอย่างนิ่งเรียบ หลังจากนั้นต่างฝ่ายต่างก็เดินผ่านกันและจากไป…

นี่คือการพบหน้ากันครั้งแรกของหลิงหลานกับหลี่หลานเฟิง ต่างฝ่ายต่างไม่ได้พูดคุยกัน ไม่มีปฏิสัมพันธ์กัน บางทีหลี่หลานเฟิงอาจจะประทับใจหลิงหลานอย่างลึกซึ้ง มีความเป็นไปได้ที่อยากร่วมมือด้วย แต่หลิงหลานกลับรู้สึกแค่ว่าผู้ชายคนนี้ไม่เลวเลย คำพูดที่เอ่ยออกมาในช่วงเวลาสำคัญช่วยเธอไว้…แต่มันก็หยุดไว้เพียงแค่นี้!

…….

ในขณะเดียวกัน บนดาวหนานอวี่ที่อยู่ห่างไกล ศูนย์บัญชาการของกองพลที่ยี่สิบสามตั้งมั่งอยู่ในดาวดวงนี้ เวลานี้กองพลที่ยี่สิบสามกำลังมีงานมากมายรอให้จัดการ หลิงเซียวผู้บัญชาการกองพลที่ยี่สิบสามที่ขาดแคลนนายทหารระดับสูงไม่เพียงต้องต่อล้อต่อเถียงกับผู้บัญชาการกองทัพใหญ่ต่างๆ เพื่อคว้าตัวอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ของคนอื่นมา เขายังต้องลำบากกลบเกลื่อนพวกเรื่องแย่ๆ ที่ลูกสาวของเขาทำไว้อีก…ยกตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ปล้นชิงยานบิน!

ว่าไปแล้ววันนั้นหลิงเซียวกำลังประชุมทางไกลกับผู้บัญชาการกองพลหลายคน เนื้อหาที่พูดคุยย่อมเป็นการให้กองพลของบรรดาพี่ๆ น้องๆ ช่วยส่งนายทหารระดับสูงมาช่วยสนับสนุน แน่นอนว่าผู้บัญชาการกองพลทั้งหลายนี้ต่างเป็นคนของฝ่ายจอมพลที่หนึ่ง พวกเขายินดีช่วยเหลือสนับสนุนพันธมิตรที่อยู่ฝ่ายเดียวกัน แต่หลิงเซียวโลภมากเกินไปจริงๆ คนที่เขาขอต่างเป็นนายทหารที่โดดเด่นยอดเยี่ยมของกองพลพวกเขา นี่ทำให้ผู้บัญชาการหลายคนไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ไม่อาจปฏิเสธตรงๆ ได้ ดังนั้นจึงเริ่มโต้เถียงและเจรจากันขึ้นมา…

ความจริงแล้วหลิงเซียวแค่ยื่นคำขอสูงลิ่วออกมารอให้ฝ่ายตรงข้ามต่อราคาให้ต่ำลง มีเพียงแบบนี้เท่านั้นเขาถึงจะรู้ได้ว่าขีดจำกัดต่ำสุดของอีกฝ่ายคืออะไร แน่นอนว่าเดิมทีหลิงเซียวตัดสินใจถ่วงรั้งพวกเขาเพื่อแย่งชิงอัจฉริยะให้มากขึ้น ควรรู้เอาไว้ว่า หากต้องการก่อตั้งกองทัพที่เติบโตเต็มที่ให้เร็วที่สุด จะขาดนายทหารระดับสูงซึ่งเป็นกระดูกสันหลังอันยอดเยี่ยมจำนวนมากไม่ได้เป็นอันขาด ขอเพียงตั้งโครงสร้างขึ้นมาได้ การจะเติมเลือดเนื้อเข้าไปข้างในก็ง่ายดายมากแล้ว

แน่นอนนี่คือก้าวแรกเท่านั้น หลิงเซียวก็ส่งคำร้องโอนย้ายตำแหน่งไปให้ลูกน้องเก่าของกองพลที่เจ็ดดั้งเดิมบางคนที่ยังรอดชีวิตอยู่ แน่นอนว่าจะสำเร็จหรือไม่ก็ต้องดูว่าผู้บัญชาการกองพลที่เจ็ดคนปัจจุบันยอมปล่อยมือหรือเปล่า รวมถึงลูกน้องเก่าพวกนั้นยินดีกลับมาใหม่อีกครั้งหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ในตอนที่กำลังพูดคุยกันอย่างราบรื่นนั้น ก็มีข้อความหนึ่งส่งเข้ามาที่อุปกรณ์สื่อสารส่วนตัวของหลิงเซียว หลังจากที่หลิงเซียวก้มหน้าอ่านแล้ว เดิมทีเขามีรอยยิ้มระบายอยู่เต็มดวงหน้ามาตลอดก็ทำหน้าเคร่งขรึมจริงจังทันที ถึงขนาดที่ใบหน้าดูแข็งทื่ออยู่บ้างราวกับได้รับความตกใจอย่างยิ่งยวด…

หลิงเซียวสะกดกลั้นอารมณ์ นัดเวลาเจรจากับผู้บัญชาการกองพลต่างๆ ใหม่อีกครั้งด้วยความขออภัยอย่างสุดซึ้ง ก่อนจะรีบปิดการประชุมทางไกล

ท่าทีแสดงออกเช่นนี้ของหลิงเซียวทำให้ผู้บัญชาการกองพลหลายคนรู้สึกใจไม่สงบอยู่บ้าง พวกเขาพากันคาดเดาว่าหลิงเซียวเจอเรื่องยากลำบากอะไรหรือเปล่า หรือว่าพวกเขากดราคากันมากเกินไป ทำให้หลิงเซียวเสียใจ? ถึงยังไงหลิงเซียวก็ยังเป็นคนหนุ่มที่เพิ่งจะอายุสี่สิบปีเต็ม แค่กๆ เมื่อเทียบกับพวกผู้บัญชาการกองพลที่อย่างน้อยก็อายุหกสิบเจ็ดสิบปีแล้ว เขาก็ยังหนุ่มอยู่บ้างจริงๆ นั่นแหละ…

พวกเขาคิดว่าหลิงเซียวก็รู้สึกลำบากมากเหมือนกัน ชื่อกองพลที่ยี่สิบสามฟังดูไพเราะ เป็นกองพลตามกฎธรรมเนียม มีเหล่าทัพต่างๆ จัดให้ครบครัน แต่ความจริงแล้วมันเป็นเพียงเปลือกนอกกลวงๆ เท่านั้น กองพลต้องการคนก็ไม่มีคน ต้องการของก็ไม่มีของ ทุกอย่างต้องพึ่งพาหลิงเซียวเตรียมหาคนมาเอง ส่วนคนของฝ่ายอื่นในกองทัพต่างชมดูอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาเย็นชา รอดูความล้มเหลวของหลิงเซียว ถ้าหากพวกเขาที่อยู่ฝ่ายเดียวกันไม่ช่วยเหลือ แล้วยังมีใครมาช่วยเขาอีกล่ะ?

เมื่อคิดแบบนี้ หัวใจของพวกเขาที่เดิมทียังไม่มั่นคงก็ใจเย็นลง อันที่จริงก็แค่ให้นายทหารไม่กี่คน คำขอของหลิงเซียวยังคงสมเหตุสมผลมาก ถ้าหากแต่ละกองพลดึงทหารระดับสูงที่ยอดเยี่ยมหนึ่งหรือสองคนออกมาจากในทุกเหล่าทัพ อันที่จริงมันก็ไม่ได้สร้างความสูญเสียอะไรให้แต่ละกองพลเลย ถึงแม้นายทหารเหล่านั้นจะยอดเยี่ยมอยู่บ้างจริงๆ แต่ทหารที่โดดเด่นยอดเยี่ยมในกองพลก็ยังมีอยู่มากมาย ไม่ได้ด้อยไปกว่าหนึ่งหรือสองคนนี้เลย…

ผู้บัญชาการกองพลหลายคนปรึกษากันส่วนตัว และคิดว่าควรไว้หน้าหลิงเซียวนิดหน่อย ถ้าหลิงเซียวทำได้ดี พวกเขาก็ดีตามไปด้วย ดังนั้นเมื่อหลิงเซียวเจรจากับพวกเขาอีกครั้ง พวกเขาก็เปลี่ยนเป็นใจกว้างมาก โดยพื้นฐานแล้วหลิงเซียวมีคำขออะไร ขอเพียงไม่ได้เกินเลยไปนัก พวกเขาก็ตกลงแล้ว นี่ทำให้หลิงเซียวประหลาดใจสุดขีด อย่างไรเสีย มีนายทหารระดับสูงเพิ่มมาหนึ่งคนก็เป็นประโยชน์ต่อกองพลอย่างยิ่งยวด นั่นหมายความว่าสามารถฝึกฝนทหารที่โดดเด่นได้มากขึ้น กองพลที่ยี่สิบสามจึงสร้างกำลังรบได้อย่างรวดเร็วมากที่สุด

อันที่จริงผู้บัญชาการเหล่านั้นคาดเดาผิดไป หลิงเซียวไม่ได้เจอเรื่องยากลำบากอะไร หรือว่าเสียใจจากการกดราคาของพวกเขา สาเหตุที่หลิงเซียวเปลี่ยนเป็นทำหน้าเคร่งขรึมจริงจังขนาดนั้นเป็นเพราะว่าเขาตกตะลึงกับข่าวคราวที่ลูกสาวของเขาส่งเข้ามา…

โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งมีบททดสอบเข้าโรงเรียน เรื่องนี้เขารู้อยู่แล้ว ถึงยังไงเขาเองก็เคยผ่านแบบนี้มาก่อน สาเหตุที่เขาไม่ได้บอกหลิงหลานก็เพราะอยากดูการรับมือของหลิงหลาน นี่นับว่าเป็นการทดสอบที่คุณพ่อให้ลูกสาว

หลิงเซียวคิดว่าอย่างมากหลิงหลานก็พาทีมของเธอชมดูอยู่ด้านข้างด้วยสายตาเย็นชา ตอนนั้นเขาก็เลือกทำแบบนี้ หลิงเซียวเชื่อว่าอาศัยความสามารถของลูกสาวเขารวมถึงเพื่อนๆ เหล่านั้น หากต้องการได้รับการเกรงใจจากทหารที่ทำการทดสอบก็ไม่ใช่ปัญหาเลย…แต่เขาไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าลูกสาวของเขาจะใจกล้าขนาดนี้ นำพาพวกนักเรียนบนยานบินปล้นชิงยานบินด้วยกัน ยิ่งนึกไม่ถึงเลยว่าเธอทำเรื่องเชี่ยนี่สำเร็จอีกด้วย…

เมื่อหลิงเซียวเห็นข่าวนี้ก็เลือกปิดการประชุมทันที หลังจากนั้นก็แหงนหน้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง!

เวลานี้เขาคงรอยยิ้มใจเย็นของตัวเองต่อไปไม่ไหวแล้ว เขาไม่ใช่หลิงเซียวไอดอลมหาชนที่มีรอยยิ้มเต็มหน้าคนนั้นอีกต่อไป ไม่ใช่นายพลหลิงเซียวที่สง่างามมาดบัณฑิตคนนั้นอีกต่อไป เขาเป็นเพียงคุณพ่อบ้าบอที่ภาคภูมิใจตลูกสาวของตัวเองเท่านั้น…ลูกสาวของเขา นี่แม่งคือลูกสาวของเขาเอง! เอาเถอะ หลิงเซียวได้แต่คิดถึงเรื่องนี้ เขารู้สึกภาคภูมิใจลูกสาวที่รักของเขา สมกับที่เป็นลูกของเขา กล้าทำเรื่องที่ขนาดเขายังไม่กล้าทำ…

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่หัวเราะแล้ว หลิงเซียวก็กังวลขึ้นมา เพราะว่าลูกสาวของเขารู้ว่าตัวเองก่อปัญหาแล้ว เด็กคนนี้รู้ตัวดี รู้ว่าทำเรื่องเลยเถิดเกินไปบ้าง อาจจะทำให้ทหารที่ทดสอบพวกเขาได้รับการลงโทษ ดังนั้นเลยส่งข่าวให้พ่อตัวเองออกหน้ากลบเรื่องนี้ จากคำพูดของหลิงหลาน เขาได้ตำแหน่งคุณพ่อโดยไม่ได้รับผิดชอบอะไรเลยมาสิบหกปี ก็ควรทำเรื่องบางอย่างเพื่อตำแหน่งนี้ได้แล้ว…

เป็นลูกสาวที่อกตัญญูจริงๆ เลย! ถึงแม้ปากของหลิงเซียวจะบอกว่าหลิงหลานอกตัญญู แต่ส่วนลึกในใจกลับดีใจมาก เพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่หลิงหลานขอให้เขาออกหน้ากลบปัญหาที่เธอก่อ ถึงแม้น้ำเสียงไม่ได้เลิศเลอขนาดนั้น แต่หลิงเซียวรู้ว่านี่เป็นก้าวแรกที่หลิงหลานทำด้วยความเต็มใจเอง เธอกำลังพยายามยอมรับคุณพ่ออย่างเขาคนนี้…

เมื่อเข้าใจความหมายลึกซึ้งที่อยู่ด้านหลังข่าวจากหลิงหลาน หลิงเซียวก็กระตือรือร้นทันที เขาโยนงานรับคนให้ผู้ช่วยผู้บัญชาการของเขา หลังจากนั้นก็ถูกำปั้นเก็บกวาดปัญหาที่ลูกสาวของเขาก่อขึ้นมา

เขาใช้สถานะนายพลระงับคำสั่งลงโทษของกัปตันยานบินก่อน หลังจากนั้นก็ยื่นคำสั่งมอบหมายงานไปยังกองทัพ ให้ยานบินและทุกคนบนยานบินรวมถึงกัปตันเข้าสู่กองพลที่ยี่สิบสาม และก็รีบติดต่อผู้อำนวยการโรงเรียนทหาร ให้ปกปิดเนื้อหาการทดสอบครั้งนี้ให้หมด ไม่ให้ประกาศออกไป…หลิงเซียวรู้ดีว่า ถ้าถูกประกาศออกไป การแสดงผลงานอันยอดเยี่ยมของหลิงหลานจะต้องดึงดูดความสนใจของกองทัพ รวมถึงกองพลใหญ่ต่างๆ แน่นอน นี่เป็นเรื่องที่เขาไม่อนุญาตเด็ดขาด

หลิงเซียวทำเรื่องทุกอย่างนี้เสร็จก็ยังไม่วางใจอยู่บ้าง ถึงยังไงเขาที่อยู่ในดาวหนานอวี่อันห่างไกลก็ควบคุมเรื่องของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งทันทีได้ยากมาก ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจดูสถานการณ์ของหลิงหลานด้วยตัวเอง หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าไม่มีอันตรายใดๆ เขาถึงค่อยวางใจก่อตั้งกองพลที่ยี่สิบสามต่อได้

สาเหตุที่หลิงเซียวคิดแบบนี้ก็เป็นเพราะว่าอีกไม่นาน นักเรียนปีห้าก็จะเผชิญหน้ากับการประเมินทดสอบสมัครเข้ากองพลรอบแรกแล้ว และกองพลที่ยี่สิบสามของพวกเขาก็เข้าสู่ระบบการประเมินของโรงเรียนทหารเป็นครั้งแรก ในฐานะที่เป็นหนึ่งในกองพลที่รับนักเรียนเข้าทดสอบ เขาจำต้องส่งทีมประเมินออกไปทำการประเมินพวกผู้เข้าสอบที่สมัครเข้ากองพลที่ยี่สิบสาม

และคราวนี้หลิงเซียวตัดสินใจพาทีมไปด้วยตัวเอง แน่นอนว่าเขาย่อมมอบหน้าที่ประเมินให้ทหารใต้บังคับบัญชาอยู่แล้ว ส่วนหน้าที่สำคัญที่สุดของเขาก็คือไปดูแลลูกสาวสุดที่รักที่น่ารักหาใครเทียบเทียมของเขา….

หลิงหลาน? น่ารัก? มีเพียงคุณพ่อกตัญญูยี่สิบสี่ประการเท่านั้นถึงจะเห็นลูกสาวที่เท่เย็นชาทรงอำนาจเป็นลูกสาวที่น่ารักหาใดเปรียบ พูดได้แค่ว่าหลิงเซียวไม่มีความสามารถในการตัดสินใจอย่างถูกต้องอะไรเลยในเรื่องของหลิงหลาน