บทที่ 208 คนผูกต้องเป็นคนแก้

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 208 คนผูกต้องเป็นคนแก้

ที่นี่คืออาคารสองชั้นหลังหนึ่ง อิฐสีเขียวเข้ากันกับไม้ ผนังแสดงความทรุดโทรมเพราะผ่านลมผ่านฝนมาเนิ่นนาน

เจ้าของร้านเป็นชายวัยกลางคนร่างผอมบาง แววตาเฉียบคม เขากำลังมองชายสวมชุดคลุมสามคนที่ยืนอยู่หน้าร้าน

“ลูกค้าทั้งหลาย ต้องการซื้อเนื้อสุนัขหรือไม่” เจ้าของร้านลองเอ่ยถาม

ซ่งถิงเฟิงตอบกลับด้วยเสียงแหบแห้ง “เนื้อสุนัขข้างนอกขายอย่างไร แล้วเนื้อสุนัขข้างในขายอย่างไร”

เมื่อเจ้าของร้านได้ฟังดังนั้น สีหน้าก็พลันประดับด้วยรอยยิ้มทันที ‘พวกนักเที่ยวผู้หญิงสินะ’

“เนื้อสุนัขข้างนอกขายหนึ่งตำลึงหนึ่งจิน[1] ส่วนข้างในสามตำลึงหนึ่งจินขอรับ”

‘ก็แค่จวนเลี้ยงโสเภณี แต่กลับมีราคาเริ่มต้นที่สามตำลึง พูดตามตรงนะ ราคาตัวของที่นี่ไม่ได้ถูกไปกว่าเมืองหลวงเลยด้วยซ้ำ’ ในฐานะที่เป็นผู้คร่ำหวอดในวงการ ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวพากันส่ายหน้ารัว

สวี่ชีอันกลับไม่คิดอะไรทั้งนั้น เพราะตั้งแต่เขาเข้าสู่วงการ เขาก็อยู่ในอันดับต้นๆ ของสายนี้ไปแล้ว เล่นประชุมชาทีหนึ่งก็ปาไปสิบตำลึง แค่สามตำลึงเช่นนี้ไม่นับเป็นอะไรหรอก…อะไรนะ? บอกว่าข้าเป็นพวกกินฟรี? โอ้ เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรให้พูดแล้ว

เจ้าของร้านหยัดตัวขึ้นแล้วเชิญทั้งสามเข้าไปข้างใน ตอนนี้เอง สวี่ชีอันจึงพบว่าขาข้างหนึ่งของเจ้าของร้านพิการ

เมื่อเข้ามาข้างใน เสียงที่ไม่อาจบรรยายได้ก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น ผนังห้องเหล่านี้กันเสียงได้แย่มาก เสียงจึงดังผสมกันวุ่นวาย

ถ้าพี่ชุนอยู่ที่นี่จะต้องพูดว่า ‘ฟังสัญญาณจากข้า หนึ่ง สอง หนึ่ง หนึ่ง สอง หนึ่ง เดินหน้า เดินหน้า’ แน่ๆ…สวี่ชีอันค่อนแขวะในใจ

เจ้าของร้านถอนหายใจ “สตรีในร้านยังไม่ได้หยุดพักเลยขอรับ ไม่สู้พวกท่านรอก่อนดีหรือไม่ เดี๋ยวข้าจะหาเนื้อร้อนๆ มาให้สักหนึ่งจินก่อน”

ฟ้าเพิ่งจะมืด เหล่าสตรีในร้านก็มีงานแน่นขนัดแล้ว กิจการเนื้อสุนัขในตลาดมืดใช้ได้เลยนี่นา…แต่สวี่ชีอันไม่คิดจะรอ เพราะเขามีเป้าหมายอื่นแล้ว

สวี่ชีอันใช้เท้าถีบประตูห้องออกจนทำให้สตรีในนั้นหวีดร้องตกใจ เขาถีบประตูออกทีละห้องๆ พร้อมรับเสียงตะโกนด่าทอมาเป็นกระบุง

บุรุษหลายคนพุ่งออกมาหาเรื่องสวี่ชีอันโดยที่ยังไม่ได้สวมแม้แต่เสื้อผ้า

สวี่ชีอันจัดการโต้กลับไปทีละคน พอผ่านไปสักห้าหกคน พวกผู้ชายทั้งหลายก็ไม่กล้าพุ่งเข้ามาหาอีก เขาจึงรวบรวมปราณไปยังตันเถียนแล้วกล่าวว่า

“ร้านติงหมายเลขสิบห้าถูกจองไว้หมดแล้ว รีบไสหัวออกไปซะ ค่าใช้จ่ายคืนนี้คุณชายซ่งจะเป็นคนจ่ายเอง”

นักเที่ยวทั้งหลายได้ยินดังนั้น ไฟโทสะในใจก็หายไปกว่าครึ่ง แม้ยากจะทำใจได้ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายยินดีจ่ายให้ เช่นนั้นก็พอยอมรับได้ ถึงอย่างไรร้านขายเนื้อสุนัขก็มีอยู่ทั่วไปในตลาดมืด

ตอนนี้เอง เจ้าของร้านก็เดินกลับไปที่เขียง ตรงนั้นมีมีดหั่นเนื้อวางอยู่ มือของเขากุมด้ามมีดเอาไว้แล้วหรี่ตาลง จากนั้นเอ่ยเสียงขรึม

“พวกเจ้าไม่ได้มาซื้อเนื้อ แต่มาหาเรื่องสินะ”

“เจ้าของร้านไม่ต้องห่วง อีกเดี๋ยวข้าจะอธิบายเอง” สวี่ชีอันพูดหนึ่งประโยค จากนั้นก็นำตัวสตรีร่างเปลือยเปล่าหรือกึ่งเปลือยมารวมกันในห้องแล้วตะโกนว่า

“กุมหัว นั่งลง!”

เหล่าสตรีที่มีใบหน้าหลากหลายรีบทำตามทันที

“ถ้าข้าไม่อนุญาต ใครก็ออกไปจากห้องนี้ไม่ได้” สวี่ชีอันรอจนพวกนางพยักหน้าด้วยความหวาดกลัวแล้วก็ปิดประตู ก่อนกลับเข้ามาในอาคาร

เจ้าของร้านยังคงเผชิญหน้ากับซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยว

สวี่ชีอันปิดประตูร้าน จากนั้นมานั่งที่โต๊ะก่อนหยิบป้ายหยกครึ่งท่อนออกมาแล้วกล่าวเสียงขรึม “เจ้าของร้านรู้จักของสิ่งนี้หรือไม่”

สายตาของเจ้าของร้านขาพิการตกลงบนป้ายหยก มันวาววับละมุนละไมล้อแสงเทียน รอยตัดก็เรียบกริบจากการถูกสิ่งของมีคมตัดแยกเป็นสองส่วน

สวี่ชีอันมองเห็นชัดเจนว่านัยน์ตาของเจ้าของร้านเครียดเขม็ง

“พวกเจ้าเป็นอะไรกับโจวหมิน”

“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ ข้าถามเจ้าอยู่ว่ารู้จักป้ายหยกนี้หรือไม่”

เจ้าของร้านพยักหน้าเบาๆ “พวกเจ้ารอเดี๋ยว”

พูดพลางเขาก็เดินกะเผลกเข้าไปในห้องทางตะวันออก เพราะว่าขาพิการ เขาจึงอาศัยอยู่ที่ชั้นหนึ่ง

ห้องบนชั้นสองเอาไว้สำหรับให้แขกทั้งหลายใช้ทำกิจ

สวี่ชีอันส่งสายตาให้จูกว่างเสี้ยว บอกให้เขาตามเจ้าของร้านไปเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเล่นตุกติกอะไร

ไม่นานเจ้าของร้านก็กลับมา ในมือของเขาถือป้ายหยกครึ่งชิ้นกับสมุดเล่มหนึ่ง หยกชิ้นนั้นเข้ากับชิ้นส่วนที่สวี่ชีอันถืออยู่พอดี

“พวกเจ้ามาเอาของใช่ไหม” เจ้าของร้านพูดพลางยื่นสมุดไป “นี่คือสิ่งที่โจวหมินทิ้งไว้ให้ข้าที่นี่”

“เจ้าไม่อยากถามอะไรหรือ” สวี่ชีอันไม่แตะหนังสือ แต่จ้องเขาเขม็ง

“พวกเจ้าจะบอกไหมล่ะ”

“ไม่บอก แต่เจ้าจะให้ของง่ายเกินไปแล้ว”

เจ้าของร้านถอนหายใจ “ตอนที่โจวหมินมอบสมุดเล่มนี้ให้ข้า เขาได้กำชับไว้ว่าป้ายหยกคือสัญลักษณ์ ไม่เห็นป้ายหยกห้ามให้ของ แม้ตัวเขาจะมาเองก็ไม่ได้ พวกเจ้าจะไม่บอกฐานะของตัวเองก็ช่าง ข้าก็รู้จักแค่หยก แต่ไม่รู้จักคน”

รู้จักหยกแต่ไม่รู้จักคน…เพราะโจวหมินที่มารับหลักฐานอาจจะไม่ใช่โจวหมิน…สายลับมือเก๋าช่างมีความคิดรอบคอบยิ่งนัก ตายไปก็น่าเสียดายแล้ว…สวี่ชีอันหยิบสมุดมามองดูอยู่พักหนึ่ง มันคือสมุดบัญชีที่บันทึกอาวุธยุทโธปกรณ์ที่หายไป ‘อย่างไร้สาเหตุ’ ของกองบัญชาการทหาร ทุกรายการล้วนบันทึกไว้อย่างชัดเจนยิ่ง

เมื่อมี ‘หลักฐาน’ ชิ้นนี้อยู่ ผู้ตรวจการจางก็สามารถจับกุมผู้บัญชาการขั้นสองไปสอบปากคำได้แล้ว แม้จะยังไม่สามารถเอาผิดได้ตรงๆ ก็ตาม

ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวมองหน้ากัน ต่างเห็นความยินดีฉายอยู่ในแววตาของอีกฝ่าย มีหลักฐานอยู่ในมือแล้ว อีกไม่นานการเดินทางสู่อวิ๋นโจวก็คงเสร็จสิ้น

“เจ้าเป็นอะไรกับโจวหมิน เขาถึงได้มอบสมุดบัญชีให้เจ้า” สวี่ชีอันเก็บสมุดแล้วดื่มชา ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเหมือนพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ

“เดิมทีข้าเป็นจอมยุทธ์พเนจรในยุทธภพ แต่เพราะไปยุ่งเรื่องของคนอื่น จึงขัดใจกับเจ้าหน้าที่ในที่ว่าการแล้วถูกอีกฝ่ายพาคนมาทุบตี ขาข้างนี้จึงพิการเพราะเหตุนั้น ตอนแรกเขาคิดจะฝังข้าที่นอกเมืองทั้งเป็น แต่ใต้เท้าโจวเป็นคนช่วยข้าไว้ ข้าจึงติดหนี้บุญคุณเขา” เจ้าของร้านยิ้มอย่างหดหู่ “พอขาพิการ การท่องยุทธภพจึงเป็นแค่เรื่องขำขัน สุดท้ายจึงมาลงหลักปักฐานที่เมืองไป๋ตี้…วันนั้นที่เขามอบของให้ข้า ข้าก็สังหรณ์แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องกับเขา แต่สิ่งที่ข้าทำได้นั้นมีจำกัด มิอาจตอบแทนบุญคุณช่วยชีวิตได้ ทำได้เพียงแค่รักษาของเอาไว้เท่านั้น”

“ขอบคุณ!” สวี่ชีอันพยักหน้าแล้วลอบเติมไปอีกหนึ่งประโยคในใจ เรื่องแก้แค้นก็ยกให้เราจัดการแล้วกัน

เจ้าของร้านมอบเนื้อให้พวกเราสองสามจินโดยไม่คิดเงิน แต่สวี่ชีอันก็ดึงดันจะวางเงินไว้ให้ห้าตำลึงเงิน มันไม่ใช่ค่าเนื้อ แต่เป็นค่าเหมาที่ของคุณชายซ่ง

เมื่อจากมา ซ่งถิงเฟิงแอบหันหลังไปมองอยู่บ่อยครั้งแล้วเอ่ยอย่างเสียใจ “ตอนนี้ดันกลับไปไม่ได้แล้ว เหตุใดไม่พักอยู่ในร้านก่อนนะ ค่าเหมาร้านก็จ่ายแล้วด้วย…”

“ใช่ ในร้านยังมีสาวงามคอยปรนนิบัติอยู่อีก” สวี่ชีอันบุ้ยปาก “เช่นนั้นเจ้าก็กลับไปสิ พวกนางยังมีอารมณ์อยู่เลย”

“…” ซ่งถิงเฟิงคิดว่าเจ้าสวี่หนิงเยี่ยนผู้นี้พูดจาได้หยาบคายยิ่งนัก ควรจะพูดว่า ‘พวกนางกำลังรอให้คุณชายไปหาอยู่’ ต่างหาก

ยามดึก ในคฤหาสน์แห่งหนึ่ง

หลี่เมี่ยวเจินนั่งทำสมาธิอยู่บนเตียง เส้นผมสีดำขลับแผ่สยาย ขับดุนใบหน้ารูปเมล็ดแตงสีข้าวเปลือก ประกายความองอาจแฝงอยู่ในความงามเฉิดฉาย

มาอวิ๋นโจวหนึ่งปีกว่าแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการฝึกยุทธ์ส่วนตัวหรือขึ้นเขาไปปราบโจร ล้วนแต่ทำให้ใบหน้าที่ขาวผ่องเป็นทุนเดิมของนางคล้ำแดดจนกลายเป็นสีข้าวเปลือก

แต่ศิษย์ของนิกายสวรรค์ไม่สนใจเรื่องผิวพรรณ แนวคิดของพวกเขาก็คือ ‘ข้าผู้นี้ ไร้ซึ่งความรู้สึก!’

เมื่อไม่มีความรู้สึก ผิวพรรณก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องสนใจ

เมื่อทำสมาธิเสร็จสิ้น นางก็รวบรวมจิตสัมผัสอยู่นาน และพบว่าในคฤหาสน์ไม่มีกลิ่นอายของปีศาจสาวเลย

‘ปีศาจสาวยังไม่กลับมาหรือ’

เพียงแค่ฆ้องทองแดงธรรมดาๆ สามคนไม่คณามือปีศาจสาวหรอก ยิ่งกว่านั้นสวี่ชีอันผู้นั้นยังเป็นคนสำมะเลเทเมาที่มีสุราเต็มท้องอีก แบบนี้ยิ่งไม่ควรมีปัญหาใดๆ

ตามหลักแล้ว การล่อลวงพวกเขาจนจิตใจพลิกตลบในยามกลางวันก็สามารถสืบข้อมูลมาได้โดยตรงอยู่แล้วนี่นา เหตุใดจนป่านนี้ถึงยังไม่กลับมาอีก?

หรือว่าปีศาจสาวจะไม่ฟังคำสั่งของนางแล้วละโมบร่างกายของผู้อื่น?

หลี่เมี่ยวเจินตัดการคาดเดานี้ไปทันที ปีศาจสาวอยู่ข้างกายนางมาหลายปี ข้อดีใหญ่ที่สุดคือนางเชื่อฟัง สมัยยังมีชีวิตก็เป็นสตรีดีงาม หลังจากป่วยตายก็ไร้ซึ่งไออาฆาต ยังนับว่ายังจิตใจดีงามอยู่ นางรู้ว่าสวี่ชีอันไม่อาจทนต่อแรงกดดันจากการสูบพลังได้ ดังนั้นก็ไม่น่าสูบพลังจิตของอีกฝ่ายนะ

‘อาจจะเล่นสนุกชั่วคราว’…หลี่เมี่ยวเจินเลิกผ้าห่มแล้วมุดกายข้าไปนอน ก่อนตกสู่ห้วงนิทรา

วันต่อมา หลี่เมี่ยวเจินล้างหน้าล้างตาและกินข้าวเช้าเรียบร้อย เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นสูง นางก็ยังไม่เห็นปีศาจสาวกลับมารายงาน ในที่สุดนางก็รู้สึกตัวแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ

นางรีบวาดกระบวนพยุหะแปดทิศปลาไท่จี๋อย่างง่ายในสวน แล้วนำของสายมืดอย่างดินหน้าศพ น้ำมันศพ และตาแมวออกมาวางไว้บนตำแหน่งเฉพาะของมัน

จากนั้นก็หยิบคนกระดาษยับยู่ยี่ตัวหนึ่งออกมาวางไว้บนปลาไท่จี๋ แล้วรวบรวมพลังปราณเปิดใช้งานค่ายกล

ในมุมอับที่มนุษย์ปุถุชนมองไม่เห็น คนกระดาษยับย่นช่วงชิงปราณหยินที่แฝงอยู่ในของสายมืดเหล่านั้นอย่างบ้าคลั่ง ผ่านไปครู่หนึ่ง แขนขาของมันก็ขยับ

จากนั้น คนกระดาษก็ลุกขึ้นโซซัดโซเซ หลังจากนิ่งงันไปพักใหญ่ มันก็ล้มลงอีกครั้ง กลายเป็นคนกระดาษธรรมดา

สีหน้าของหลี่เมี่ยวเจินเคร่งเครียดทันใด คนกระดาษตัวนี้คือสิ่งของที่ปีศาจสาวเคยสิงสู่ จึงยังมีกลิ่นอายของนางหลงเหลืออยู่ เดิมทีมันควรจะนำทางให้ไปหาปีศาจสาวได้

แต่เมื่อเกิดสถานการณ์เช่นนี้ก็มีความเป็นไปได้อยู่สามอย่าง หนึ่ง ปีศาจสาวเกิดเรื่องไม่คาดฝันจนวิญญาณแตกสลาย สอง ปีศาจสาวถูกผนึก สาม ปีศาจสาวออกนอกเมืองไป๋ตี้จนอยู่นอกเหนือขอบเขตการรับรู้ของมนุษย์กระดาษ

ในบรรดาความเป็นไปได้ทั้งสาม ไม่ว่าจะอย่างไหนก็ล้วนหมายความว่าเกิดเรื่องกับปีศาจสาวแล้ว

“คนผูกต้องเป็นคนแก้!” หลี่เมี่ยวเจินเอ่ยในใจ

จุดพักม้า

“ดูเสร็จแล้วหรือยัง สมุดบัญชีนี้ใช่ของจริงหรือไม่”

ในห้อง ปากของซ่งถิงเฟิงอมลูกอมผีผาเอาไว้แล้วเอ่ยถามสวี่ชีอันที่นั่งตรวจบัญชีอยู่

ส่วนจูกว่างเสี้ยวนั่งทำสมาธิ ฝึกลมหายใจหลอมปราณ

“เจ้าเข้าใจด้วยหรือว่าอะไรคือตรวจบัญชี สอบปากคำคนร้ายยังต้องพูดกันต่อหน้านะ” สวี่ชีอันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์

“เช่นนั้นเจ้าก็ตรวจให้อิ่มไปเลย” ซ่งถิงเฟิงอ้าปากหาว เมื่อคืนเขาพักผ่อนไม่เพียงพอ แต่ความจริงมันคือผลข้างเคียงจากภาพมายาเมื่อวาน

ตอนนี้ซ่งถิงเฟิงกำลังรอให้ผู้ตรวจการจางกลับมา หลังจากส่งมอบภารกิจแล้ว เขาจะได้ไปยังที่ว่าการเมืองแล้วไหว้วานให้เจ้าหน้าที่ตามหาแม่นางซูซูในดวงใจ

“อย่างน้อยข้าก็อ่านผ่านๆ ได้ จะได้รู้ข้อมูลอยู่ในหัวบ้าง” สวี่ชีอันตอบ

“ข้าไปห้องน้ำสักเดี๋ยวนะ” ซ่งถิงเฟิงไม่ต่อล้อต่อเถียงกับเขา

เจ้าตาตี่ออกจากห้องไปแล้ว สวี่ชีอันหันหน้าไปมองยังจูกว่างเสี้ยวที่กำลังฝึกลมหายใจอยู่ “เจ้าจะไปตามหาแม่นางซูซูหรือไม่”

จูกว่างเสี้ยวเบิกตาโตแล้วตวัดตามองเขา ไม่ส่งเสียงใดๆ แม้แต่น้อย

“ยังคิดไม่ตกอีกหรือ” สวี่ชีอันยิ้มแฉ่ง

“อืม”

สวี่ชีอันเอ่ยปากวางระเบิดอย่างไร้ความรับผิดชอบ “นี่ยังต้องคิดด้วยหรือ เจ้ากับแม่นางซูซูทำเรื่องฉันสามีภรรยากันแล้ว ส่วนน้องสาวคนนั้นที่บ้าน แม้แต่มือก็ยังไม่ให้เจ้าจับล่ะสิ แล้วยังหน้าไม่อายอยากได้ร้อยตำลึงจากเจ้าอีก คิดเรื่องเงินจนบ้าไปแล้วกระมัง เจ้าเฒ่านั่นเห็นลูกสาวตัวเองเป็นตัวหาเงินหรือไงกัน…ช่างเถอะ ไม่พูดให้นางดูแย่แล้ว เจ้าเคยพบอาสะใภ้ของข้าไหมล่ะ อาสะใภ้ของข้าสวยใช่หรือไม่ เป็นคนงามอันดับหนึ่งไม่มีสอง แต่ตอนอารองข้าแต่งภรรยา สินสอดก็แค่ยี่สิบตำลึงเท่านั้น แล้วคู่หมั้นคนนั้นของเจ้ามีสิทธิ์เรียกร้องอะไรมากมายเพียงนั้น”

เงินหนึ่งร้อยตำลึง หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ไม่ต้องกินต้องดื่มก็คงจะเก็บได้ในห้าปี หากเป็นคนปกติก็เก็บได้ในสิบปี

คนหนึ่งก็เพื่อน อีกคนก็คู่หมั้น จูกว่างเสี้ยวจึงเลือกที่จะเงียบ แต่ในสมองยังนึกถึงลมหายใจและท่าทางอันงดงามของแม่นางซูซูอย่างหักห้ามไม่ได้

เหล่าจูกำลังจะพูดบางอย่าง แต่ซ่งถิงเฟิงที่อยู่ชั้นล่างกลับตะโกนลั่น “หนิงเยี่ยน มีแขกมา…”

…………………………………………………

[1] จิน คือ หน่วยชั่งตวงวัดในสมัยโบราณของจีน มีค่าเท่ากับ 0.5 กิโลกรัม และ 2 จิน = 1 กิโลกรัม