ตอนที่ 227 เรื่องที่หนึ่ง

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

“สวยมาก!” ไม่มีหญิงสาวคนใดไม่ชื่นชอบเครื่องประดับสวยๆ งามๆ โจวชูจิ่นตะลึงงันไปกับความงดงามทว่าไม่ขาดความหรูหราของปะการังสีแดง พลิกดูซ้ายดูขวา ทุกชิ้นต่างทำให้นางชื่นชอบจนไม่อาจวางลงได้

โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม ในใจบังเกิดความรู้สึกเต็มตื้นบางอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

นางกล่าว “ท่านพี่ ตอนนี้ท่านทำได้เพียงเลือกมาชิ้นหนึ่งเท่านั้น หากภายภาคหน้าข้าได้พบปะการังสีแดงที่คุณภาพดีเช่นนี้อีก จะหาวิธีเก็บสะสมมาให้ท่านครบทั้งชุดให้ได้เจ้าค่ะ”

“แค่นี้ก็ดีมากแล้ว” โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ เลือกลูกประคำหนึ่งร้อยแปดเม็ดเส้นนั้นขึ้นมา

โจวเสาจิ่นตกตะลึง

นางคิดว่าพี่สาวจะชื่นชอบปิ่นปักผมหรือไม่ก็ที่เสียบผมดอกไม้มากกว่า นอกจากนี้นางได้บอกไปแล้วว่าสองชิ้นที่เหลือจะมอบให้ท่านยายกับท่านป้าใหญ่ ปิ่นปักผมกับที่เสียบผมดอกไม้นั้นท่านป้าใหญ่ยังพอจะได้ใช้บ้าง แต่ท่านยายย่อมไม่เหมาะสมอย่างแน่นอน

แต่พี่สาวเลือกแล้ว นางจึงไม่กล้าจะกล่าวอะไรมากอีก เก็บเครื่องประดับที่เหลือกลับมา

โจวชูจิ่นถามนางว่า “เครื่องประดับพวกนี้คงแพงมากกระมัง ต่อไปอย่าซื้ออะไรที่มีราคาแพงเช่นนี้อีก” กล่าวอีกว่า “หลายวันก่อนท่านพ่อให้คนส่งตั๋วเงินมาให้สองร้อยเหลี่ยง ประเดี๋ยวข้าจะเอามาให้เจ้า”

“ไม่ต้องเจ้าค่ะๆ” โจวเสาจิ่นรีบกล่าว “เครื่องประดับนี้ไม่ได้เสียเงิน เป็นท่านน้าฉือมอบให้มาเจ้าค่ะ”

“ท่านน้าฉือให้มาหรือ” โจวชูจิ่นเบิกดวงตาโพลง

“อื้ม!” โจวเสาจิ่นเอนตัวเข้าหาพี่สาว กระซิบเสียงเบาว่า “ข้าตามฮูหยินผู้เฒ่ากัวออกไปในคราวนี้ ไม่เพียงได้รับของจากท่านน้าฉือเท่านั้น ยังได้รับของจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยเจ้าค่ะ…” นางหยิบของในหีบทั้งหมดออกมาให้โจวชูจิ่นดู

โจวชูจิ่นทั้งประหลาดใจทั้งดีใจ

เมื่อครู่ตอนอยู่ที่เรือนเจียซู่โจวเสาจิ่นได้เล่าถึงสิ่งที่ตนได้พบเห็นระหว่างเดินทาง ตอนที่ได้ยินว่าที่เขาผู่ถัวล้วนเต็มไปด้วยวัดน้อยใหญ่ ที่หนิงโปมีถนนเส้นหนึ่งขายสินค้าที่นำเทียบท่าเข้ามา น้ำแร่จงหลิงเฉวียนได้รับมาจากแม่น้ำเจียงสุ่ยนั้นนางก็รู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมากแล้ว คิดไม่ถึงว่าท่านน้าฉือยังจะมอบสิ่งของมีราคาแพงขนาดนี้ให้โจวเสาจิ่น ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังจุดตะเกียงฉางหมิงให้น้องสาวที่เขาผู่ถัวอีกด้วย

นี่นอกจากจะอธิบายได้อย่างชัดเจนว่าน้องสาวได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวและเฉิงฉือแล้ว ยังแสดงอย่างชัดเจนถึงความใจกว้างของฮูหยินผู้เฒ่ากัวและเฉิงฉืออีกด้วย

นางรีบกล่าว “เสาจิ่น ต้นไม้ที่สูงเหนือป่า ย่อมถูกลมพัดก่อนเสมอ เรื่องที่ท่านน้าฉือและฮูหยินผู้เฒ่ากัวดีต่อเจ้านี้เจ้าอย่าได้เที่ยวโพนทะนาออกไปเชียว ระวังผู้อื่นจะบังเกิดความริษยาในใจได้ จะไม่เป็นคุณต่อตัวเจ้า” กล่าวอีกว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและท่านน้าฉือดีต่อเจ้าเพียงนี้ ต่อไปเจ้าต้องกตัญญูต่อพวกท่านถึงจะถูก ทางด้านท่านพ่อ พวกเราควรจะเขียนจดหมายไปแจ้งด้วยสักหน่อย ให้ท่านพ่อทดเก็บเอาไว้ในใจ ต่อไปหากมีโอกาสตอบแทนน้ำใจสักครั้งก็จะดียิ่งนัก”

เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ โจวเสาจิ่นก็เผยความลังเลออกมาเล็กน้อย

โจวชูจิ่นถามอย่างร้อนรนขึ้นว่า “เป็นอะไรไป หรือว่าเจ้ายังได้รับความเอื้อเฟื้ออะไรจากพวกท่านที่มากกว่านี้อีกอย่างนั้นหรือ”

โจวเสาจิ่นกล่าว “ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังมอบเพชรให้ข้าอีกหนึ่งชิ้นด้วยเจ้าค่ะ”

โจวชูจิ่นมองไป ขนาดใหญ่เท่าเมล็ดข้าว กระจ่างใสดุจหยดน้ำ นางตกใจไปครั้งใหญ่ จึงยิ่งมั่นใจแล้วว่าต้องเขียนจดหมายไปแจ้งบิดา และกล่าวกับโจวเสาจิ่นอีกว่า “เจ้าเก็บรักษาไว้ให้ดี ระวังอย่าให้ผู้อื่นหยิบฉวยเอาไปได้”

โจวเสาจิ่นพยักหน้า กล่าวขึ้นอย่างใคร่ครวญว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ…”

โจวชูจิ่นรู้สึกว่าตนถูกโจวเสาจิ่นทำให้ตกใจด้วยเรื่องนี้ทีเรื่องนั้นทีจนใจของนางเต้นเร็วกว่ายามปกติไปหลายส่วน

นางกุมศีรษะพลางกล่าวขึ้นอย่างไร้ทางเลือกว่า “เจ้าช่วยพูดให้จบทีเดียวไม่ได้หรือ ต้องการทำให้ข้าตกใจจนตกขอบไปเลยหรืออย่างไร เจ้ายังได้รับของดีอะไรอีก”

“ไม่ใช่ข้า!” โจวเสาจิ่นรีบกล่าว “เป็นฮูหยินใหญ่ตระกูลเลี่ยวเจ้าค่ะ”

“ฮูหยินใหญ่ตระกูลเลี่ยว?” ผ่านไปครู่หนึ่งโจวชูจิ่นถึงได้มีปฏิกิริยาตอบกลับว่าคนที่โจวเสาจิ่นกล่าวถึงนั้นคือผู้ใด สีหน้าของนางแดงเรื่อ กล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินใหญ่ตระกูลเลี่ยวทำไมหรือ”

โจวเสาจิ่นจึงเล่าเรื่องที่ฟางซื่อให้จงหมัวมัวนำความมาส่งต่อให้นางให้โจวชูจิ่นฟัง

โจวชูจิ่นกล่าวแย้งขึ้นโดยไม่ต้องคิดว่า “นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร! หากฮูหยินผู้เฒ่ากัวและท่านน้าฉือไม่ได้มอบของพวกนี้ให้เจ้ายังพอพูดง่าย หากฮูหยินใหญ่ตระกูลเลี่ยวไม่ได้เอ่ยขอให้ท่านลุงทั้งสองของจวนหลักช่วยชี้แนะเกี่ยวกับข้อสอบในราชสำนักให้นายท่านใหญ่ของตระกูลเลี่ยวก็ยังพอพูดง่าย แต่ตอนนี้จะกล่าวถ้อยคำพวกนี้ออกไปได้อย่างไร ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและท่านน้าฉือจะคิดว่าพวกเราไม่รู้จักดีชั่ว ได้คืบแล้วจะเอาศอก! เรื่องนี้เจ้าไม่อาจออกหน้าช่วยพูดให้ตระกูลเลี่ยวเป็นอันขาด! เจ้าได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวและท่านน้าฉือ นั่นก็เป็นวาสนาของเจ้า แต่เจ้าก็ต้องเก็บเอาไว้ใช้เองถึงจะถูก ไม่ว่าใครหรือเรื่องอะไรล้วนมาขอถึงเบื้องหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าและท่านน้าฉือ หากวันใดที่เจ้ามีเรื่องต้องการขอร้องกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวและท่านน้าฉือเองบ้างจะทำอย่างไร ต้องรู้เอาไว้ว่า ความโปรดปรานนี้หากใช้ไปแล้วหนึ่งครั้งก็เท่ากับว่ามีน้อยลงไปหนึ่งครั้ง”

โจวเสาจิ่นไม่กล้าแม้แต่จะฝันว่าระหว่างพี่เขยกับตัวเองนั้น พี่สาวจะเลือกยืนอยู่ข้างเดียวกับนาง

นางอดไม่ได้ที่จะคล้องแขนของพี่สาวเอาไว้อย่างซาบซึ้งใจ กล่าวอย่างรีบร้อนว่า “แต่เรื่องนี้สำคัญมากนะเจ้าคะ! หากข้าทำเรื่องนี้สำเร็จ ต่อไปเมื่อท่านแต่งเข้าตระกูลเลี่ยวไปแล้ว ตระกูลเลี่ยวจะกล้าชักสีหน้าใส่ท่านอีกได้อย่างไร” นางเล่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเลี่ยวทั้งหมดที่นางพอจะทราบในชาติก่อนให้โจวชูจิ่นฟัง “…ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องที่ข้ายืมคนของท่านน้าฉือไปสืบทราบมา ย่อมไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอน ข้าไม่อาจทนมองท่านได้รับความทุกข์ทนอยู่ในตระกูลเลี่ยวได้!”

“ต่อให้เป็นเช่นนั้น ก็ไม่อาจใช้ความสัมพันธ์ที่มีกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวตามอำเภอใจเช่นนี้” หลังจากได้ฟังแล้วในใจของโจวชูจิ่นก็ปั่นป่วนราวกับคลื่นทะเลอันน่าสะพรึงกลัว ทว่าปากยังคงกล่าวปลอบขวัญโจวเสาจิ่นว่า “แต่งให้ตระกูลใหญ่ตระกูลไหนบ้างที่ไม่เป็นเช่นนี้ นี่นับว่ายังดี หากเหมือนกับนายท่านใหญ่ของตระกูลหลิว ที่เห็นสินติดตัวของคุณหนูซุนแล้วไม่พอใจ จึงหันไปขอยืมเงินของตระกูลซุนมาสองพันเหลี่ยง กล่าวว่าร้านค้าของตระกูลต้องการเงินมาหมุนเวียน โดยจะคืนให้ภายในสองเดือนให้หลัง แต่พอผ่านไปสองเดือนแล้วนายท่านใหญ่ของตระกูลหลิวกลับไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ ตระกูลซุนไปถามหาเงิน นายท่านใหญ่ของตระกูลหลิวก็ไม่คืน ยังกล่าวว่าให้ถือว่าเงินจำนวนสองพันเหลี่ยงนี้เป็นเงินสินสอดของคุณหนูสามตระกูลซุนก็แล้วกัน ตระกูลซุนไม่ยอม ตระกูลหลิวจึงกล่าวว่าคุณหนูสามตระกูลซุนมีโรคที่น่ารังเกียจ…จนถึงทุกวันนี้ทั้งสองตระกูลก็ยังต่อสู้คดีกันอยู่! หรือว่าตระกูลเลี่ยวก็ไม่ต้องการรักษาหน้าตาเหมือนตระกูลหลิวอย่างนั้นหรือ”

โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็ปากอ้าตาค้าง พูดอะไรไม่ออก

โจวชูจิ่นกล่าว “เจ้าไม่ต้องสนใจเรื่องนี้แล้ว หากคนของตระกูลเลี่ยวมาหาเจ้าเพื่อถามถึงเรื่องนี้ เจ้าก็บอกไปว่าข้าไม่ตกลง ให้พวกเขามาหาข้าแทน”

“จะได้อย่างไรเจ้าคะ!” โจวเสาจิ่นไม่เห็นด้วย “การเตรียมตัวสอบเข้าราชสำนักของพี่เขยก็สำคัญมากไม่แพ้กันนะเจ้าคะ!”

หากเลี่ยวเส้าถังได้รับตำแหน่งเร็วขึ้น พี่สาวก็จะได้ยืดอกได้อย่างสง่าผ่าเผยเร็วขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน

ที่สำคัญคือโจวเสาจิ่นได้แสดงให้คนของตระกูลเลี่ยวเห็นไปแล้วว่าตนมีความสามารถนี้

โจวชูจิ่นครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ให้พวกเขาไปหาท่านพ่อก็แล้วกัน ท่านพ่อก็เป็นจิ้นซื่อขั้นสองมิใช่หรือ”

“นั่นไม่เหมือนกัน” โจวเสาจิ่นเกลี้ยวกล่อมพี่สาวเสียงอบอุ่น “สาเหตุที่ฮูหยินใหญ่ตระกูลเลี่ยวเอ่ยขอให้ท่านลุงทั้งสองท่านของจวนหลักช่วยให้คำชี้แนะเกี่ยวกับการเตรียมตัวสอบของราชสำนักช่วงวสันตฤดูให้นายท่านใหญ่ของตระกูลเลี่ยว โดยมากก็เพราะปรารถนาให้ท่านลุงทั้งสองท่านของจวนหลักช่วยให้ได้รับความโปรดปรานจากหัวหน้าผู้จัดการการสอบของราชสำนักช่วงวสันตฤดูของปีนั้นต่างหาก ไม่อย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเจาะจงว่าต้องการให้ท่านลุงทั้งสองท่านของจวนหลักช่วยออกหน้าให้หรอกเจ้าค่ะ”

โจวชูจิ่นตะลึงงัน ครู่ใหญ่กว่าจะกล่าวออกมายิ้มๆ ว่า “คิดไม่ถึงว่าการออกเดินทางครั้งหนึ่งจะช่วยเปิดวิสัยทัศน์ได้มากจริงๆ แม้แต่เรื่องนี้ก็รู้ด้วย”

โชคดีที่ได้ออกเดินทางในครั้งนี้

หาไม่แล้วเรื่องส่วนใหญ่เกรงว่าคงยากที่จะทำให้พี่สาวเชื่อถือได้ คงจะยิ่งไม่มีทางอธิบายได้ด้วย

โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม กล่าวขึ้นว่า “ข้าร่วมเดินทางกับสตรีของขุนนางใหญ่ถึงสองท่านเป็นระยะทางตั้งหลายพันหลี่ ก็ต้องมีการพัฒนาขึ้นบ้างกระมัง”

โจวชูจิ่นอดไม่ได้กล่าวขึ้นอย่างตื้นตันใจว่า “เสาจิ่น ต่อไปจะกระทำอะไรเจ้าต้องยืนขึ้นมาอย่างสง่าผ่าเผยถึงจะถูก อย่าให้ความปรารถนาดีของฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่มีต่อเจ้าต้องสูญเปล่า”

“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าว “เช่นนั้นเรื่องของพี่เขย?”

โจวชูจิ่นหน้าแดงเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “ยังคงรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร…ต่อให้อยากจะเสนอขึ้นมา ก็ไม่อาจเสนอขึ้นในช่วงเวลานี้ เพราะเจ้าเพิ่งจะกลับมาจากเจิ้นเจียง…”

โจวเสาจิ่นฟังแล้วก็ใจกระตุก กล่าวขึ้นว่า “ท่านพี่ ท่านว่าเช่นนี้ได้หรือไม่ คราวหน้ายามที่คนของตระกูลเลี่ยวมาสอบถาม พวกเราก็บอกไปว่าเขียนจดหมายไปแจ้งท่านพ่อแล้ว ตามความเห็นของท่านพ่อคือให้ท่านกับพี่เขยแต่งงานกันก่อน จากนั้นพี่เขยค่อยเขียนความเรียงส่งไปให้ท่านพ่อช่วยดู ต่อให้ท่านลุงทั้งสองท่านของจวนหลักรับปากช่วยให้คำชี้แนะเกี่ยวกับการเตรียมตัวสอบให้พี่เขย แต่ก็คงไม่อาจให้ช่วยชี้แนะทั้งหมดทุกวิชาหรอกกระมัง โอกาสนั้นอย่างมากก็มีได้แค่หนึ่งครั้ง จะคว้าเอาไว้ได้หรือไม่นั้นยังต้องดูว่าพี่เขยมีความสามารถหรือไม่ หาไม่จะเป็นการทำให้สถานการณ์แย่ลงมา! รอท่านแต่งเข้าไปแล้ว ตระกูลเฉิงกับตระกูลเลี่ยวก็จะถือว่าเกี่ยวดองกันแล้ว ตามเทศกาลต่างๆ ก็ต้องได้ไปมาหาสู่กันบ่อยมากขึ้น ด้วยอุปนิสัยของท่านลุงใหญ่จิงแล้ว หากพี่เขยลงสนามสอบ เขาย่อมช่วยให้คำชี้แนะเองอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

“จริงด้วย!” โจวชูจิ่นได้ยินแล้วก็ใจเต้นแรง กล่าวต่อว่า “ท่านลุงใหญ่จิงจะช่วยให้คำชี้แนะแก่พี่เขยของเจ้าจริงๆ หรือ”

โจวเสาจิ่นมั่นใจยิ่งนัก กล่าวขึ้นว่า “ข้าได้ยินคนข้างกายของท่านน้าฉือบอกว่า ท่านลุงใหญ่จิงยินดีให้การสนับสนุนคนรุ่นหลังเป็นอย่างมาก”

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต่อให้ชาติที่แล้วไม่มีคนชี้แนะ พี่เขยก็สอบผ่านได้เป็นจิ้นซื่ออยู่ดี

เหตุผลที่นางนึกอยากจะช่วยเหลือพี่เขยที่ดีอยู่แล้วให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นดังการแต่งแต้มดอกไม้ลงบนผ้าไหมทองที่งดงามอยู่แล้วนั้น ก็เพื่อหวังให้พี่สาวได้รับตำแหน่งที่มั่นคงต่อหน้าแม่สามีก็เท่านั้น

โจวชูจิ่นพยักหน้าหงึกหงัก อดกล่าวชื่นชมโจวเสาจิ่นไม่ได้ว่า “ความคิดนี้ของเจ้าดี! ข้าจะไปเขียนจดหมายให้ท่านพ่อ เล่าสองเรื่องนี้ให้ท่านฟัง”

“ท่านพี่ ท่านรอสักครู่” ขณะที่กล่าว โจวเสาจิ่นก็หยิบกล่องสองกล่อง หนึ่งกล่องใหญ่กับอีกหนึ่งกล่องเล็กออกมาจากกองของฝาก กล่าวขึ้นว่า “กล่องใหญ่เป็นปิ่นปักผมแก้วคู่หนึ่ง ส่วนกล่องเล็กเป็นกำไลข้อมือวงหนึ่ง ปิ่นปักผมสำหรับมอบให้ฮูหยิน ส่วนกำไลมอบให้น้องสาวคนเล็ก ท่านช่วยบอกท่านพ่อด้วย ถึงเวลาก็ให้ส่งไปพร้อมกับจดหมายของท่านด้วยนะเจ้าคะ”

โจวชูจิ่นยิ้มพลางขานตอบว่า “ได้”

สองพี่น้องหนึ่งคนฝนหมึก อีกคนหนึ่งเขียนจดหมาย ไม่นานก็ทำเรื่องพวกนี้จนเสร็จ

โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างลังเลว่า “ท่านพี่ ตอนท่านแต่งงานผู้ใดมาเป็นเถ้าแก่ให้หรือเจ้าคะ”

ชาติก่อน ความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางกับหลี่ซื่อไม่ค่อยดีนัก เป็นท่านป้าใหญ่ที่เป็นเถ้าแก่ให้ นางยังจำได้ว่าบรรดาสตรีที่มาร่วมงานหมั้นเล็กพร้อมกับตระกูลเลี่ยวเหล่านั้นลอบวิจารณ์ว่าเป็นเพราะพี่สาวกับนางถูกมารดาเลี้ยงรังเกียจ ดังนั้นทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญเช่นนี้ก็ไม่มีบิดามารดาช่วยออกหน้าให้

นางกรุ่นโกรธยิ่งนัก แต่ก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร

ต่อมาท่าทีที่มีต่อหลี่ซื่อก็ไม่ดีนัก ซึ่งล้วนมีความเกี่ยวพันมาจากเรื่องนี้เช่นกัน

นางคิดว่านางกับพี่สาวยังอายุน้อย ยังไม่รู้ถึงความรุนแรงท่ามกลางเรื่องเหล่านี้ แต่หลี่ซื่อเป็นฮูหยิน ควรจะทราบเรื่องเหล่านี้ถึงจะถูก

แต่ใครจะรู้ว่าโจวชูจิ่นกลับกล่าวขึ้นมาอย่างเขินอายว่า “เมื่อหลายวันก่อนท่านพ่อส่งจดหมายมาให้ข้าแล้ว กล่าวว่ารอให้ผ่านปีใหม่แล้วฮูหยินจะพาน้องเล็กกลับมา ถึงเวลานั้นพวกเราอาจจะได้ย้ายกลับไปอยู่ตระกูลโจวช่วงหนึ่ง”

เช่นนั้นก็ดียิ่งแล้ว!

โจวเสาจิ่นปลาบปลื้มยินดียิ่งนัก

โจวชูจิ่นกลับมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น มีเรื่องหนึ่งที่ข้าคิดว่าควรต้องบอกเจ้า”

โจวเสาจิ่นหูผึ่งตั้งใจฟัง

โจวชูจิ่นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถึงกล่าวขึ้นว่า “หม่าฟู่ซานบอกว่า ความตายของหลานทิงและซินหลาน มีความเกี่ยวข้องกับเฉิงลู่ผู้นั้นจริงๆ  ต่อไปเจ้าต้องอยู่ให้ห่างเขาเอาไว้”

ถึงแม้จะคาดเดาได้รางๆ อยู่แล้ว แต่เมื่อข่าวนี้ได้รับการยืนยันแล้วใจของโจวเสาจิ่นก็หนักอึ้งยิ่งนัก

เฉิงลู่ ช่างเป็นหมาป่าในคราบหนังแกะตัวหนึ่งจริงๆ!

โจวเสาจิ่นกล่าวเสียงเคร่งว่า “ท่านพี่ ท่านดูเถิด พวกเราอยากจะปล่อยเขาไป แต่เขากลับไม่ยอมปล่อยพวกเราไป คนผู้นี้เกรงว่าหากปล่อยเอาไว้สุดท้ายจะกลายเป็นหายนะที่ร้ายแรงได้”

โจวชูจิ่นรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง

นางกลัวว่าน้องสาวจะใจอ่อน

“เช่นนั้นความหมายของเจ้าก็คือ?” นางถามโจวเสาจิ่น

……………………….