บทที่ 243 ลอบจู่โจม (3)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 243 ลอบจู่โจม (3)

“เพียงแต่เส้นทางจากที่นี่ถึงเมืองกระดิ่งขาว ทุกคนล้วนอยู่ด้วยกัน คงจะไม่มีปัญหา สามารถร่วมทางกันได้” ลิ่วซานจื่อกล่าว “นอกจากนี้ต่อให้พวกเราไม่อยากร่วมทางก็ไม่มีประโยชน์ จากที่นี่ถึงเมืองกระดิ่งขาวมีเส้นทางเพียงเส้นเดียว หลังจากถึงเมืองกระดิ่งขาวแล้ว พวกเราจึงค่อยเคลื่อนไหวตามลำพังได้”

“มีแค่เส้นทางเส้นเดียว” ลู่เซิ่งงุนงง

“ใช่ มีเส้นทางเดียวอยู่ใกล้ๆ จริงๆ เส้นทางที่เหลือจำเป็นต้องอ้อมไกลมาก” ลิ่วซานจื่อนึกทบทวนแล้วเอ่ย

“อาจารย์ท่านตัดสินใจเถอะ” ลู่เซิ่งครุ่นคิดก่อนจะกล่าว

ถึงอย่างไรสุดท้ายก็มีคนอยู่ด้วยตั้งเยอะ สมควรไม่เกิดปัญหา สิ่งที่ยุ่งยากจะรออยู่ในการเดินทางต่อจากนั้น พอไปถึงเมืองกระดิ่งขาวยังต้องเปลี่ยนเส้นทางอีก

“อย่างนั้นก็ได้ พวกเจ้าไปเก็บของก่อน ข้าจะไปจัดการเรื่องรถในการเดินทาง” ลิ่วซานจื่อหมุนตัวเดินออกไปจากลาน

ลู่เซิ่งกับเหอเซียงจื่อเก็บสัมภาระด้วยความรวดเร็ว เตรียมตัวออกเดินทาง

ก่อนจะถึงเวลาครึ่งชั่วยาม เฉินอวิ๋นซีมาบอกว่าจัดเตรียมรถม้าลงเขาไว้แล้ว สามารถไปกับสำนักระดับสามขั้นบนกลุ่มแรกได้ทันที จึงสอบถามพวกเขาว่าจะไปด้วยกันหรือไม่

ลิ่วซานจื่อที่ได้ข่าวกลับมาตัดสินใจทันที รับคำไปด้วยกัน ยิ่งเร็วยิ่งดี

คนที่เกี่ยวข้องกับสำนักหยกกังวานมีมากมาย สตรีที่เป็นยอดฝีมือจำนวนมากก็มาจากสำนักของพวกนาง ดังนั้นการดูแลภายในจึงไม่เลวยิ่ง สามารถหารถม้าได้เร็วขนาดนี้ถือว่าอยู่ในความคาดหมาย

หลังสำนักมารกำเนิดรวมตัวกับสำนักหยกกังวาน สำนักที่ไปด้วยยังมีสำนักสวนปลอดโปร่งกับสำนักเล็กๆ ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนสำนักหนึ่ง สมควรมีความเกี่ยวข้องกับสำนักหยกกังวาน จึงได้ไปก่อน

คนทั้งสามจากสำนักมารกำเนิดหลังจากทักทายเจ้าสำนักหยกกังวานแล้ว ก็ได้รับมอบรถม้ามาสองคัน ขบวนม้าออกเดินทางอย่างราบรื่น

สำนักหยกกังวานจัดหารถม้าให้ หลายๆ สำนักร่วมทางกัน กลายเป็นกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง ลงจากยอดเขาของสำนักบัวสวรรค์อย่างไม่เร็วไม่ช้า มุ่งหน้าไปยังเมืองกระดิ่งขาว

ลมเย็นพลัดหวีดหวิว

บนที่ราบสีเหลืองอ่อนระหว่างทางจากสำนักบัวสวรรค์ถึงเมืองกระดิ่งขาว

หลินหวนเต้าขี่อาชารัตติกาลสีดำปลอด เหยาะย่างอยู่ข้างหินยักษ์ที่ถูกลมกัดเซาะ

ม้ารัตติกาลดั่งโบยบิน เป็นม้าชั้นเลิศที่มาจากราชวงศ์วายุ เป็นเพราะว่าเคลื่อนที่ในยามวิกาลได้หลายร้อยลี้ มองเห็นได้ในตอนกลางคืน ภูมิประเทศที่ซับซ้อนมากมายสามารถควบตะบึงได้ ดังนั้นจึงถูกยกย่องเชิดชูในตระกูลขุนนางของต้าซ่ง

เพียงแต่ว่าม้าชนิดนี้เลี้ยงยาก หญ้าที่กินจำเป็นต้องปลูกในป่าทางใต้ที่อยู่ไกลยิ่ง

หลินหวานเต้าสะพายขวานศึกสีขาวเงินเล่มหนึ่งไว้ด้านหลัง คมขวานเปล่งประกายอ่อนๆ บนด้ามยาวยังมีลายเป็นงูสีทองตัวหนึ่ง บิดเลื้อยเหมือนมีชีวิต

ฮู่ว…

เขาเป่าลมหายใจเฮือกหนึ่ง ไอน้ำสีขาวกระจายออกจากปาก แล้วค่อยๆ หายไปในอากาศ

“นายน้อยต้องนึกแน่ว่าข้าจะลงมือในช่วงสุดท้าย”

“หรือว่าไม่ใช่” เสียงของเด็กคนหนึ่งดังมาด้านหลังม้า

“ย่อมไม่ใช่” หลินหวนเต้าหันกลับไปมองด้านหลัง

บนพื้นหญ้าด้านหลังเขาไม่ไกล มีมารปีศาจตัวเล็กที่หัวเป็นงูร่างเป็นคนตัวหนึ่งยืนอยู่

มารปีศาจรูปร่างพิลึก แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับปีศาจงูทั่วไป

หัวของมันมีสามหัว หัวตรงกลางเป็นหัวงูสีเขียว ซ้ายขวาแบ่งเป็นหัวของเด็กชายและหัวของเด็กหญิง

สิ่งที่น่าประหลาดก็คือ หัวทั้งสองข้างยิ้มอย่างพิกลและแข็งทื่อ

“เจ้ามาแล้วหรือฉงเยวี่ยจื่อ” หลินหวงเต้าชินกับสภาพประหลาดของอีกฝ่าย ตระกูลขุนนางมักมีสหายเป็นมารปีศาจ รูปลักษณ์ประหลาดเป็นเรื่องปกติ

“ดูเหมือนพวกเราจะมาถึงพร้อมกัน” อีกทิศทางหนึ่ง ชายชราแบกตะกร้าสาน สวมหมวกคลุมหน้าคนหนึ่งเดินหลังงอมาหยุดยืนอยู่ด้านข้าง

“อันหนูก็มาถึงแล้วเช่นกัน ได้เวลาแล้ว” หลินหวนเต้าเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “สำนักบูรพางามเลิศ วังวารีลวงเป็นกระดูกที่เคี้ยวยาก ข้าจะเป็นคนไปสกัดวังวารีลวง พวกเจ้าเลือกอย่างไร ตัดสินใจเอาเอง”

ฉงเยวี่ยจื่อปีศาจงูสามหัวมองชายชราสวมหมวกคลุมหน้า

“ข้าจะไปสำนักบูรพางามเลิศ”

“ไม่ ข้าไปสำนักบูรพางามเลิศดีกว่า ผู้ปกครองเกาะชุนอี้ที่นำขบวนในครั้งนี้เป็นคนรู้จักของข้าพอดี” อันหนูชายชราสวมหมวกคลุมหน้าแย้ง

“ข้าไม่สนใจคนอ่อนแอ” ฉงเยวี่ยจื่อกล่าวอย่างหงุดหงิดอยู่บ้าง

“บังเอิญนัก ข้าก็เหมือนกัน ไขสมองของคนอ่อนแอรสชาติยากจะกลืนลง” อันหนูยิ้มเย็นชา

เพราะเป็นหนึ่งในมารปีศาจที่มีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลหลิน ทั้งสองจึงเป็นผู้เข้มแข็งระดับสุดยอดที่แข็งแกร่งในด้านใดด้านหนึ่ง ครั้งนี้หลินหวนเต้านัดมาลงมือไกลถึงเพียงนี้ การวางแผนร่วมกันเดิมเป็นการหาผลประโยชน์ หากเลือกกลุ่มที่อ่อนแอ หมายถึงผลประโยชน์ของตนในตอนสุดท้ายจะน้อยยิ่ง

ระหว่างมารปีศาจยกย่องพลังยุทธ์ ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเป็นราชา การได้เข่นฆ่ากับผู้แข็งแกร่งเป็นเรื่องที่พวกเขาคิดว่ามีเกียรติ ซ้ำตอนนี้ยังเกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ ยิ่งถอยไม่ได้

“เอาแบบนี้ สำนักร้อยหลอมอยู่กับสำนักมารกำเนิด ทั้งสองท่านถือว่าจัดการพร้อมกัน” หลินหวนเต้าเสนอ

“ประเสริฐ”

“ดี!”

มารปีศาจทั้งสองเห็นพ้องกับการแบ่งหน้าที่นี้

“ถ้าหากว่าทำได้ พยายามจับเป็นเจ้าสำนัก ในสำนักเหล่านี้จะต้องมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์แน่ ไม่อย่างนั้นคราก่อนคงไม่สร้างความเสียหายมากขนาดนั้น พวกเราต้องไต่ส่วนที่อยู่ของอาวุธศักดิ์สิทธิ์ในสำนักของพวกมัน” หลินหวนเต้ากำชับ

“ข้าเกลียดคนรอดชีวิต…ช่างเถอะ ข้าเลือกสำนักร้อยหลอมกับสำนักมารกำเนิดก็แล้วกัน” ปีศาจงูสามหัวกล่าวอย่างไม่พอใจ

“สายมากแล้ว เดินทางเถอะ” หลินหวงเต้ากล่าวอย่างราบเรียบ

มารปีศาจสองตนสบตากัน แล้วหมุนตัวเดินไปคนละทาง

หลินหวนเต้าส่งสายตามองทั้งสองค่อยๆ จากไป จนกระทั่งลับสายตา จึงพลิกมือจับขวานศึกด้านหลัง ชักออกมาอย่างแผ่วเบา ก่อนเดินไปอีกทางหนึ่ง

วังวารีลวง ไม่ใช่ลูกพลับนิ่ม ต้องวางแผนให้ดี

ลู่เซิ่งนั่งอยู่ในรถม้า ปราณมารไหลเวียนช้าๆ ด้านในหลอดเลือด ทำให้ใบหน้าเขาเป็นริ้วดำ

วิชาเก้าพิฆาตแดงฉานทำงานร่วมกับปราณมาร ความเร็วการพัฒนาของทั้งสองสิ่งเท่ากันภายใต้การควบคุมของลู่เซิ่ง

เส้นลมปราณกับเส้นเลือดได้รับการหล่อเลี้ยงพร้อมกัน ทำให้เขารู้สึกได้ว่ากายเนื้อของเขาคล้ายค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เหี้ยมหาญกว่าเดิม

รถม้าแล่นไปอย่างเชื่องช้า โคลงเคลงตลอดเวลา ส่งเสียงสั่นเบาๆ ข้างนอกได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นของเฉินอวิ๋นซี คนของสำนักอื่นๆ สองสามคนรวมตัวกัน กลับพูดคุยกันอย่างเบิกบานใจ

ลู่เซิ่งไม่ชอบอยู่ด้วยกันแล้วเสียเวลาแบบนี้ สำหรับเขาแล้ว หากมีเวลาว่างมาคุยกัน ไม่สู้ฝึกฝนให้มากขึ้น ตอนพบปัญหาจะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลังเพราะพลังไม่เพียงพอ

งานชุมนุมตั้งแต่เริ่มต้นถึงตอนจบ นอกจากตอนแรกสุดเขาลงมือเอาชนะสองสามครั้งแล้ว ระหว่างกลางจนกระทั่งตอนจบ ลู่เซิ่งก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับใครอีกเลย ตั้งใจฝึกฝนอยู่ในห้อง ไม่ออกไปพบปะกับผู้คน

จนถึงตอนท้ายแม้แต่อาจารย์ลิ่วซานจื่อก็ทนดูต่อไม่ไหว ความจริงหลังจากลู่เซิ่งเผยคุณสมบัติร่างกายที่แข็งแกร่งของตัวเอง ลิ่วซานจื่อก็รู้สึกเหมือนเห็นความหวังแล้ว

คุณสมบัติทางร่างกายที่แข็งแกร่งสุดเปรียบปาน ‘โดยกำเนิด’ ของลู่เซิ่ง บวกกับปราณมารที่ไม่ใช่ใครก็ใช้ได้ รวมถึงพรสวรรค์วิชาลับที่โดดเด่นของเขา ในอนาคตอีกไม่นาน สำนักมารกำเนิดจะต้องให้กำเนิดผู้นำระดับสุดยอดที่ทำให้คนทุกคนต้องตกตะลึงได้แน่

โดยเฉพาะหลังจากถามเหอเซียงจื่อว่า ลู่เซิ่งใช้วิธีการอะไรเอาชนะอีกฝ่าย สองตาของเขาก็เป็นประกายกว่าเดิม พรสวรรค์ที่เหมาะกับการฆ่าฟันแบบนี้ ต่อให้อยู่ในสำนักระดับสามขั้นบนก็เป็นที่ต้องการตัวถึงขีดสุด อย่าว่าแต่สำนักมารกำเนิด

ตุบๆๆ

ทันใดนั้นประตูรถถูกเคาะ

ลู่เซิ่งลืมตาขึ้นจากการฝึก

“ผู้ใด”

“ข้าเอง เซิ่งหย่า” นอกรถแว่วเสียงของเยวี่ยเซิ่งหย่า

“เชิญเข้ามา” ลู่เซิ่งเก็บวิชา ปรับท่านั่ง

ประตูรถค่อยๆ เปิดออก เยวี่ยเซิงหย่าเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มปลอดโปร่ง ก่อนจะพิจารณามองรอบๆ

“มีศิษย์น้องอยู่คนเดียวหรือ พอดีเลย”

นางเดินมานั่งขัดสมาธิลงตรงหน้าลู่เซิ่ง แล้วหยิบเอกสารหนังสือทำจากสำริดออกมา

“นี่เป็นเอกสารหนังสือสิทธิ์ทั้งหมดของเหมืองเหล็กอาทิตย์ชาด จดไว้บนหนังสือสำริด ตำแหน่งที่ชัดเจน รวมถึงปริมาณการขุดต่อปี ล้วนบันทึกไว้บนนี้”

ลู่เซิ่งยื่นมือไปรับเอกสารหนังสือสำริดมา กวาดตาอ่านสองสามครั้ง ด้านบนเอกสารบันทึกตำแหน่งของเหมืองแร่อาทิตย์ชาด เจ้าของเดิมทุกคนเป็นใครบ้าง รวมถึงปริมาณการผลิตอย่างคร่าวๆ ว่าเป็นอย่างไร ปริมาณโดยรวมเป็นเท่าไหร่ ชื่อได้โอนถ่ายเป็นชื่อของเขาแล้ว

“ขอบคุณมาก”

เขาเก็บหนังสือเอกสารสิทธิ์ไว้ในอกเสื้อ พกติดตัวไว้

“ศิษย์น้องลู่อยู่ในรถคนเดียว ไม่ออกไปสนทนาเที่ยวเล่นกับทุกคน ไม่รู้สึกอึดอัดหรือ” เยวี่ยเซิ่งหย่าถามด้วยรอยยิ้ม

“ยังดีอยู่ขอรับ” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างไม่สนใจ “อยู่คนเดียวแบบนี้มาตลอด จึงชินแล้ว”

“ศิษย์น้องแต่งงานแล้วมิใช่หรือ เหตุใดภรรยาจึงไม่อยู่ด้วย” เยวี่ยเซิ่งหยาถามเบาๆ

“หากว่าทุกอย่างเรียบร้อย ก็วางแผนจะรับนางมาจงหยวน ที่แดนเหนือนั้นไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขด้านใดก็แตกต่างจากจงหยวนมหาศาลจริงๆ” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างเรียบง่าย

เยวี่ยเซิ่งหย่าพยักหน้าตาม “ถูกอย่างที่เจ้าว่า ไม่ว่าจะเป็นห้องสมุด การสอบเป็นข้าราชการ จำนวนประชากร การตั้งถิ่นฐาน หรือว่าประสบการณ์ในด้านต่างๆ แดนเหนือล้วนสู้จงหยวนไม่ได้ น่าเสียดาย ถ้าไม่ใช่ว่าครอบครัวข้าหยั่งรากที่แดนใต้ ข้าก็คิดจะมาตั้งถิ่นฐานที่จงหยวนเหมือนกัน…”

ตูม!

ทันใดนั้น ด้านนอกแว่วเสียงระเบิดดังกึกก้องกัมปนาท

รถม้าหยุดชะงักกะทันหัน ม้าแตกตื่นจนส่งเสียงร้องฮี้ๆ หยุดอยู่กับที่ รถม้าโคลงเคลงตาม หยุดยั้งไม่ได้

เสียงระเบิดครั้งนี้ทำให้แม้แต่หัวใจก็ยังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

ลู่เซิ่งเลิกม่านรถ มองไปยังทิศทางของเสียง

ไกลออกไป ใต้ท้องฟ้าสีขาวเทา เห็นควันสีดำหนาลอยออกมาจากใจกลางขบวนสำนัก

“นั่นเป็น…ตำแหน่งของสำนักบูรพางามเลิศ” เยวี่ยเซิ่งหย่านิ่วหน้า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นหรือ”

“สำนักบูรพางามเลิศเป็นหนึ่งในสำนักระดับสามขั้นบน สมควรไม่เกิดเรื่องง่ายๆ” ลู่เซิ่งใคร่ครวญ “บางทีอาจเกิดอุบัติเหตุ”

“วิชาลับสูญเสียการควบคุมแล้วระเบิดขึ้นกระมัง ข้ากลับเคยได้ยินมาก่อนว่าอัจฉริยะระดับสามขั้นบนมีคุณสมบัติร่างชนิดหนึ่ง ทำให้พลังสายเลือดของตนไม่เสถียรถึงขีดสุดได้ หากพลังสายเลือดที่พัฒนามีจำนวนมากขึ้น ก็จะกลายเป็นพลังระเบิด” เยวี่ยเซิ่งหย่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม

“มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ” ลู่เซิ่งฉงนใจ นี่เป็นสิ่งที่อ่านไม่เจอบนหนังสือ

ขบวนรถสำนักบูรพางามเลิศ

รถม้ากระจัดกระจาย เถ้าสีดำจากซากศพหลายซากกองสุมกันอยู่ข้างตัวรถ

ผู้ปกครองเกาะชุนอี้ที่นำขบวนไม่ทราบอยู่ไหน ศิษย์ในสังกัดทั้งหมดสามสิบสามคนรอดชีวิตแค่สามคน เป็นเพราะว่าสามคนนี้ไปตีสนิทกับสำนักอื่นๆ อยู่พอดี

“เวลาลอบจู่โจมสั้นสุดขีด ตั้งแต่เริ่มต้นถึงตอนจบ เพียงแค่กะพริบตาไม่กี่ครั้ง ทุกอย่างก็จบแล้ว”

สวีเฟิงเหอผู้อาวุโสนำขบวนของเรือนสุดประจิมนั่งยองๆ ตรวจสอบเถ้าสีดำบนพื้นด้วยสีหน้าเหยเก

“หนำซ้ำรอบๆ ยังไม่มีร่องรอยการขัดขืน คู่ต่อสู้ที่ทำให้ยอดฝีมือระดับอสรพิษอย่างผู้ปกครองเกาะชุนอี้สูญเสียความสามารถในการขัดขืนไปพริบตาหนึ่ง ระดับแบบนี้ ไม่ว่าใครในขบวนของพวกเราก็ต้านด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ พวกเราจำเป็นต้องรีบกลับสำนักโดยเร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นนอกจากเจ้าสำนักมาเอง พวกเราที่อยู่ที่นี่ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของคนร้าย!”

“สาหัสขนาดนี้เชียวหรือ เป็นเพราะผู้ปกครองเกาะชุนอี้ไล่ตามคนร้ายไปหรือเปล่า จึงไม่เห็นร่องรอย” บุรุษที่เป็นเจ้าสำนักระดับสามขั้นล่างคนหนึ่งถามเสียงทุ้ม

……………………………………….