บทที่ 18 ไล่บี้อย่างไม่ลดละ พลิกสถานการณ์ (2) โดย Ink Stone_Romance
คำว่าจวนอ๋องฉางซุ่นที่หลุดออกมาไม่กี่คำกลับทำให้ทั้งห้องต่างพากันสูดลมหายใจ
ในใจของเหยาก่วงไท่สั่นสะท้าน เผยสีหน้าลังเลมองไปยังฉู่อี้อัน “องค์รัชทายาท ท่านว่า…”
“วันนี้ที่ข้ามาก็เพื่อเป็นผู้ฟังเท่านั้น ใต้เท้าเหยาไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับข้า จัดการไปตามขั้นตอนของท่านก็พอแล้ว” ฉู่อี้อันกล่าว กลับออกตัวให้เขาเป็นคนทำโดยตนเองมองดูอยู่เฉยๆ เท่านั้น
ฐานะของจวนอ๋องฉางซุ่นั้นก็ไม่ได้ธรรมดา ในตอนที่เหยาก่วงไท่กำลังพิจารณาตัดสินใจอยู่นั้น กลับไม่คาดคิดว่า
ฉู่สวินหยางจะร้อนใจ กล่าวอย่างโมโหขึ้นมา “ใต้เท้าเหยา ที่ท่านต้องการสืบสวนคือคดีที่ใต้เท้ากู้ถูกลอบสังหาร เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของข้า ไม่จำเป็นต้องเสียแรงเจ้าหรอก หากเป็นดังที่หัวหน้ามือปราบตู้พูดมา ระหว่างข้ากับใต้เท้ากู้ก็เพียงผิดใจกันเล็กน้อยเท่านั้น ท่านคิดว่าข้าจะเอาเรื่องเล็กน้อยเท่าเม็ดถั่วเม็ดงานั้นไปสร้างความลำบากให้แก่ใต้เท้ากู้หรือ?”
“ท่านหญิง ข้าเพียงแค่ว่าไปตามเรื่อง” ตู้ฉางหมิงกล่าว แสดงท่าทีไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง กลับเห็นได้ชัดว่ายังแฝงด้วยความโมโหกับเรื่องการตายของกู้ฉางเฟิงอยู่บ้าง
ท่าทีของฉู่อี้อันที่นั่งหลังตั่งนั้นยังคงจิบชาด้วยใบหน้าราบเรียบ แทบไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการโต้แย้งในการพิจารณาคดีแม้แต่น้อย
เหยาก่วงไท่ใช้หางตาเหลือบมองดูปฏิกิริยาของเขาหลายครั้ง กลับยิ่งพบว่าเขาแสดงท่าทางไม่สนใจ เช่นนี้ในใจเขาก็ยิ่งกังวลขึ้นมา
ภายใต้การโต้แย้งของสองฝ่าย ฐานะของชิงหลัวก็ยังมีจุดที่น่าสงสัย คดีความนี้เดิมทีก็ไม่สามารถหาข้อสรุปลงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ตรงหน้าของฉู่อี้อันและคนเหล่านี้
เหยาก่วงไท่ครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ยังไม่กล้าไล่เค้นอย่างจริงจัง เพียงแต่กล่าวไป “องค์รัชทายาท ในเมื่อเวลานี้เรื่องเกี่ยวพันไปถึงจวนอ๋องฉางซุ่น ข้าคิดว่าควรจะรายงานฝ่าบาท ให้พระองค์ได้ตัดสินพระทัยก่อนดีหรือไม่ขอรับ?”
ฉู่อี้อันหลับตาจิบชาอย่างไม่สนใจเขา…
ฝ่าบาทอยากให้เขาไม่สอดมือยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทุกคนล้วนแต่รู้ดี
คนอื่นๆ เมื่อเห็นว่าเรื่องถูกดึงไปพัวพันกับจวนอ๋องฉางซุ่นจึงไม่อยากร่วมจมโคลนไปด้วย ต่างก็มีสีหน้าแตกต่างกันไปไม่แสดงท่าทีอะไรออกมาชั่วขณะ
เหยาก่วงไท่ร้อนรนจนหน้าผากปกคลุมไปด้วยเหงื่อเย็น กัดฟันกล่าวกับมือปราบ “เจ้าจงเข้าวังไปขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทเดี๋ยวนี้ นำเรื่องที่เกิดขึ้นกราบทูลให้ฝ่าบาททราบ จากนั้นก็ส่งคนไปเชิญซูซื่อจื่อมาที่นี่!”
“ขอรับ ใต้เท้า!” มือปราบรับคำสั่งออกไป
ในห้องพิจารณาคดีเต็มไปด้วยความเงียบงัน เป็นเวลากว่าครึ่งชั่วยาม[1] ที่ทุกคนต่างก็ไม่พูดอะไรออกมา
ในตอนที่ซูหลินเดินเข้ามา ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ก่อนจะพยายามกดความโกรธไว้ทำความเคารพพวกของฉู่อี้อัน คล้อยหลังในยามที่มองไปทางฉู่สวินหยางก็เผยท่าทีเยียบเย็น
ฉู่สวินหยางเผชิญหน้ากับเขาอย่างไม่สะทกสะท้าน
ทั้งสองคน สบตาประสานกัน สายตาของแต่ละคนล้วนแฝงมาซึ่งความเป็นศัตรูอย่างเห็นได้ชัด เตรียมพร้อมที่
จะระเบิดปะทุได้ทุกเวลา
เหยาก่วงไท่เริ่มเป็นกังวล ในตอนที่กำลังลังเลจะพูดก็ได้ยินเสียงผู้รับใช้ตะโกนเสียงแหลมในลำคอ ร้องว่า “ฝ่าบาทเสด็จแล้ว!”
คำพูดของซูหลินที่กำลังจะออกจากปากจำเป็นต้องกลืนกลับเข้าไป
ฉู่อี้อันและคนอื่นๆ ต่างก็ค่อยๆ พากันยืดตัวขึ้นทำเคารพ นั่งคุกเข่าในห้องพิจารณาคดี
ซูหลินและฉู่สวินหยางที่เป็นผู้เกี่ยวพันกับคดีนี้ถูกแยกตัวจากกลางห้องพิจารณาคดี เวลานี้จึงนั่งคุกเข่าอยู่ด้วยกัน
ฉวยโอกาสตอนที่ผู้คนรีบร้อนกับการรับเสด็จ ในที่สุดซูหลินก็ได้โอกาสใช้สายตาทิ่มแทงเหลือบมองฉู่สวินหยางไปหนึ่งที กล่าวด้วยเสียงเย็น “เจ้าอย่าคิดว่าทำเช่นนี้ก็จะสามารถดึงข้าลงไปในน้ำได้ ลูกเล่นเล็กๆ เช่นนี้ก็ยังกล้าที่จะเอามาใช้รึ?”
“เจ้าอย่าได้คิดว่าหลังจากฆ่าคนปิดปากแล้วก็จะสามารถนอนหลับสบายได้อย่างไม่ต้องกังวลอะไร ชีวิตของชิงหลัวไม่ใช่สิ่งที่จะปล่อยไปได้ง่ายๆ ขนาดนั้น” ฉู่สวินหยางยกคิ้ว พูดย้อนประชดประชันอย่างไม่ยอมแพ้
ในตอนที่ซูหลินอยากจะพูดอะไรขึ้นมา หลี่รุ่ยเสียงก็พยุงมือฮ่องเต้เข้ามาจากด้านนอกแล้ว ทุกคนต่างก็พากันกล่าวต้อนรับสรรเสริญ
“กระหม่อมบังอาจยิ่งนักที่รบกวนฝ่าบาท!” เหยาก่วงไท่กล่าวอย่างรู้ผิด ในขณะที่พูดคนของทางการก็ย้ายเก้าอี้เข้ามาอย่างระมัดระวัง
ฮ่องเต้ช่วงนี้สีหน้าดูไม่ดีนัก ระหว่างคิ้วนั้นปรากฏท่าทีเหน็ดเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด ขมวดคิ้วกล่าว “แค่เรื่องเล็กน้อยพวกเจ้าก็ยังทำเรื่องให้โกลาหลอลหม่าน แล้วยังเกิดเรื่องใดขึ้นกันอีก?”
“เป็นกระหม่อมที่ไร้ความสามารถ!” เหยาก่วงไท่กล่าว คุกเข่าลงไปอีกครั้ง เผยสีหน้าละอายใจเหลือบมองไปที่ด้านหลังของฉู่สวินหยางและซูหลิน “กระหม่อมได้รับคำสั่งให้ไต่สวนคดีใต้เท้ากู้ที่ถูกลอบสังหาร แต่เบาะแสกลับยิ่งลึกลับซับซ้อน ท่านหญิงสวินหยางยืนกรานว่ามือสังหารนั้นไม่ใช่บ่าวหญิงของนาง ทั้งยังลากเรื่องขององครักษ์จวนอ๋องฉางซุ่นเข้ามาเกี่ยว กระหม่อมจึงไม่กล้าตัดสินตามอำเภอใจ จึงอยากถามพระประสงค์ว่าคดีนี้ ยังต้องสืบสวนลงลึกต่อไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“กู้ฉางเฟิงเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก เรื่องนี้หากไม่ไต่สวนอย่างจริงจัง แล้วจะมีกฎซีเยว่ของข้าเอาไว้ทำไมกัน?” ฮ่องเต้กล่าวอย่างไม่ยินดี เงยหน้ามองเห็นพวกของฉู่อี้อันที่ล้วนแต่คุกเข่าหลับตาอยู่ด้านข้าง ก็โบกมือไป “ข้าก็มาเพื่อฟังการพิจารณาคดี พวกเจ้าไม่จะเป็นต้องมากพิธี กลับไปนั่งที่เถิด!”
เมื่อกล่าวจบก็ใช้สายตามองไปยังเหยาก่วงไท่ “เจ้าสอบสวนต่อเถิด!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” เหยาก่วงไท่ตอบรับอย่างอ่อนน้อม กลับไปยังที่เดิม กล่าวด้วยท่าทีที่จริงจังกับตู้ฉางหมิง “ตู้ฉางหมิง เจ้าจงเล่าเรื่องราวของเมื่อวานที่เกิดขึ้นออกมาให้อย่างละเอียดอีกครั้ง”
เมื่อเชิญฮ่องเต้มาแล้ว เรื่องราวก็ยิ่งยุ่งยากขึ้นแล้ว ตู้ฉางหมิงฝืนใจกล่าวรายงานเรื่องราวอย่างกระชับครอบคลุม โดยไม่ได้เล่าเรื่องที่ฉู่สวินหยางข่มขู่กู้ฉางเฟิงออกมา ท้ายที่สุดก็กล่าวเพียงว่า “เป็นกระหม่อมที่มุทะลุไป ในใจก็มัวแต่จะคิดหาความเป็นธรรมคืนให้ใต้เท้าของพวกเรา ไม่ได้คิดว่าศพของมือสังหารจะถูกทำลาย จนตอนนี้ท่านหญิงสวินหยางก็ปฎิเสธไม่ยอมรับฐานะของคนผู้นี้”
ฮ่องเต้ชำเลืองสายตามองไปหนึ่งครั้ง เขาไม่ได้จดจำอะไรในตัวสาวใช้ข้างกายของฉู่สวินหยางได้เลย เรื่องราวก็มาสะดุดอยู่อย่างนี้ จึงประกายความโมโหพุ่งไปยังเหยาก่วงไท่ที่ดูแลเรื่องนี้ได้อย่างไม่รอบคอบทันที
เหยาก่วงไท่สั่นสะท้านอยู่ในใจ พยายามรักษาท่าทีกล่าวไป “เป็นกระหม่อมที่เลินเล่อ แต่ว่าเมื่อวานก็มีพยานให้การต่อหน้าแล้ว ล้วนยืนยันว่าเป็นสาวใช้ของท่านหญิงสวินหยางอย่างไม่ต้องสงสัย น่าจะ…ไม่ผิดแน่พ่ะย่ะค่ะ!”
แม้ว่าจะกล่าวเช่นนี้ เขากลับยังคงมีความไม่มั่นใจอยู่บ้าง
ฮ่องเต้เบนสายตาไปยังฉู่สวินหยาง “เจ้าบอกว่านี่ไม่ใช่บ่าวคนนั้นของเจ้าอย่างนั้นรึ?”
“ไม่ใช่เพคะ!” ฉู่สวินหยางสั่นศีรษะ ในท่าทีนั้นกลับมีท่าทีหลบหลีกเล็กน้อย
ฉู่อี้ชิงที่มองอยู่ด้านข้าง จึงหัวเราะพลางกล่าวขึ้นมา “แม้ว่าจะเป็นบ่าวของสวินหยางจริงๆ ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่านางได้รับคำสั่งจากสวินหยาง ดูสิหลานคนนี้ตกใจหมดแล้ว”
ฉู่สวินหยางกัดมุมปากไม่ยอมพูด
ฉู่อี้อันจึงกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าเยือกเย็น
“สวินหยาง อยู่ต่อหน้าเสด็จปู่แล้ว เจ้ายังไม่พูดให้ชัดเจนอีก? อย่าได้ปิดบังอะไร!”
“ท่านพ่อ นี่ไม่ใช่ชิงหลัวจริงๆ เจ้าค่ะ!” สวินหยางกล่าว “อีกทั้ง…อย่างไรก็ไม่สามารถเป็นชิงหลัวได้หรอกเจ้าค่ะ!”
“เด็กน้อย แม้ว่าผู้นี้จะเป็นบ่าวเจ้าจริงๆ แต่ตอนนี้คนตายพูดไม่ได้ มีเสด็จปู่ของเจ้าเป็นผู้ตัดสินอยู่ ไม่มีใครกล้าสาดโคลนใส่เจ้าง่ายๆ หรอก” ฉู่อี้เจี่ยนก็กล่าวขึ้นเช่นกัน น้ำเสียงกลับดูปลอบโยนอย่างจริงใจ “เจ้าลองคิดให้ละเอียดดูดีๆ ว่าตกลงแล้วเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไรกันแน่ เวลานี้เจ้าเรียกตัวนางออกมาไม่ได้ ก็ต้องพูดออกมาให้ชัดเจน ฝ่าบาทถึงจะสามารถคืนความเป็นธรรมให้แก่เจ้าได้!”
ฉู่สวินหยางคล้ายกับถูกกดดันจนร้อนใจอยู่บ้าง เพียงแต่สาดคำพูดอย่างหงุดหงิดใจออกไปไม่กี่คำเท่านั้น “อย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ชิงหลัว!”
“เจ้าเอาแต่พูดว่านางไม่ใช่ ถ้าเช่นนั้นสาวใช้คนนั้นของเจ้าล่ะ? เรียกนางออกมาพิสูจน์ต่อหน้าข้าสิ!” ฮ่องเต้แทบจะหมดความอดทน ใช้น้ำเสียงที่เรียบเย็นกล่าว
ฉู่สวินหยางกัดริมฝีปาก ลังเลไปสักครู่ “นางหายตัวไปเพคะ!”
นางยังคงอ้ำๆ อึ้งๆ เห็นได้ชัดว่ายังมีส่วนที่ปิดบังอยู่ เหยาก่วงไท่ครุ่นคิดชั่วขณะก่อนกล่าว “ฝ่าบาท พระองค์คิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่บ่าวคนนั้นจะสมรู้ร่วมคิดกับคนอื่น หรือไม่ก็เรื่องนี้ท่านหญิงไม่รู้เรื่องจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ?”
ซูหลินเมื่อได้ยินเช่นนี้ จู่ๆ ในใจก็พลันเกิดความรู้สึกขมุกขมัวสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาทันที
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วขบคิดสักพัก ยังคงกล่าวถามกับฉู่สวินหยาง “เหตุใดบ่าวคนนั้นของเจ้าถึงหายตัวไป?”
“ข้า…” ฉู่สวินหยางสองจิตสองใจไม่กล้าเปิดปาก
“พูด!” ฮ่องเต้กดเสียงต่ำ คำเดียวกลับสั่นสะเทือนไปทั่ว
ร่างของฉู่สวินหยางสั่นไหว เมื่อเจอกับสถานการณ์ที่ไม่อาจเลี่ยงได้อย่างเมื่อครู่จึงกล่าวเสียงเบาออกไปอย่างกระอักกระอ่วน “ข้าให้ชิงหลัวแอบสะกดรอยตามซูซื่อจื่อ จากนั้น…เมื่อนางไปแล้วก็ไม่กลับมา ดังนั้น…”
“เหลวไหล!” ฮ่องเต้ยังไม่ได้กล่าวอะไร กลับเป็นฉู่อี้อันที่วางถ้วยชาในมือลงอย่างเสียงดัง กล่าวด้วยโมโห “เจ้าเด็กคนนี้นับวันก็ยิ่งกำเริบเสิบสานแล้วจริงๆ!”
ในขณะที่เขาพูดก็หยัดกายยืนขึ้น ยกชุดคลุมคุกเข่าลงไปต่อหน้าฮ่องเต้ กล่าวรับผิด “เสด็จพ่อ เป็นลูกที่อบรมนางได้ไม่ดี เลี้ยงเด็กคนนี้จนเสียคน ทำให้นางไม่สนใจอันใดทำเรื่องราวที่ไม่รู้หนักรู้เบาเช่นนี้ออกมา กลับไปแล้วลูกจะอบรมกวดขันนางอย่างเข้มงวดแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”
“สวินหยางรู้ผิดแล้วเพคะ เป็นสวินหยางที่ดื้อรั้น ขอเสด็จปู่โปรดลงโทษ อย่าได้กล่าวโทษเสด็จพ่อเลยเพคะ!”
ฉู่สวินหยางกล่าว กลับมีท่าทีราวกับไม่ได้ใส่ใจเท่าใด ยังคงไม่ทำใจยอมรับพึมพำออกไป “แต่บ่าวของข้าหลังจากนั้นก็หายไปไม่เจออีกเลยเพคะ”
สีหน้าของฮ่องเต้เปลี่ยนเป็นจนดูแทบไม่ได้ เวลานี้ที่เขาคิดเล็กคิดน้อยไม่ใช่เรื่องที่ฉู่สวินหยางไม่มีระเบียบวินัย แต่กลับเป็นเพราะเรื่องนี้ที่นับวันก็ยิ่งเกี่ยวพันเป็นวงกว้าง คาดไม่ถึงว่าแม้แต่สกุลซูก็ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้อง
“ซูหลิน เจ้าว่าอย่างไร?” ฮ่องเต้ประกายสายตาขมุกขมัว หลับตาดื่มชาไปคำหนึ่ง
ซูหลินขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าเผยท่าทีอ่อนน้อมเป็นอย่างยิ่ง “กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ!”
“เห็นได้ชัดว่าเจ้ารู้!” ฉู่สวินหยางเมื่อได้ยินก็หน้างอบิดเบี้ยวทันที ยกมือชี้ไปที่เขาอย่างไม่พอใจ “เมื่อวานข้าถามองครักษ์สองคนนั้นของเจ้าเรียบร้อยแล้ว พวกเขารับสารภาพอย่างหมดเปลือก กล่าวว่าชิงหลัวนั้นถูกจับได้ เจ้าจึงสั่งคนให้สังหารนาง ซูหลิน เจ้ายังกล้าเบิกตาพูดคำโกหกออกมา? ตอนนี้อยู่ต่อหน้าเสด็จปู่ เจ้ากล้าพูดอีกหรือว่าเจ้าไม่ได้เจอชิงหลัว?”
นางราวกับถูกกดดันจนลนลาน คำพูดจึงดูสะเปะสะปะอยู่บ้าง
เวลานี้ทุกคนต่างก็เข้าใจขึ้นมาอย่างเลือนราง สาเหตุที่ทำให้นางพูดตะกุกตะกักมาตลอดก่อนหน้านี้
———————————–
[1] เวลากว่าครึ่งชั่วยาม ประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ