บทที่ 236 เจ้ายอดเยี่ยมแต่อายุน้อยไป

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

เช้าวันต่อมา ดวงอาทิตย์ทอแสงแรงกล้าเฉิดฉาย

ปู้ฟางตื่นขึ้นล้างหน้าล้างตา จากนั้นก็เดินเข้าครัวไปฝึกทักษะการแกะสลักและการใช้มีดประจำวัน ทั้งสองทักษะของเขาบรรลุไปเป็นระดับสองเรียบร้อยแล้ว และความสามารถของชายหนุ่มก็ดีขึ้นเป็นเงาตามตัวเช่นเดียวกัน

เขาสามารถควงมีดทำครัวในมือและจัดการกับวัตถุดิบด้วยความเร็วแสง โดยเห็นเป็นเพียงแสงวูบวาบของคมมีดเท่านั้น ทว่าวันนี้ปู้ฟางกลับไม่ได้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำอย่างเต็มที่ เขาขมวดคิ้วนิ่วหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่

หลังจากฝึกการแกะสลักและการใช้มีดเสร็จ ชายหนุ่มก็เริ่มทำอาหารจานโปรดของเจ้าดำ ซึ่งก็คือซี่โครงเปรี้ยวหวานนั่นเอง

ไม่นานหลังจากนั้นกลิ่นหอมชวนน้ำลายไหลของซอสเปรี้ยวหวานก็ลอยออกมาพร้อมกลิ่นเนื้อ กระจายจากห้องครัวไปทั่วบริเวณร้าน

ปู้ฟางเดินถือจานซี่โครงเปรี้ยวหวานออกมาแล้วยกไม้กระดานปิดหน้าร้านออก จากนั้นก็วางจานกระเบื้องสีฟ้าขาวลงตรงหน้าเจ้าดำที่กำลังนอนกรน จมูกของสุนัขตัวอ้วนกระตุกวูบ มันลืมตาขึ้นจ้องไปที่จานซี่โครงเปรี้ยวหวานอย่างตื่นเต้น อดไม่ได้ที่จะแลบลิ้นออกมา

ซี่โครงเปรี้ยวหวาน อาหารจานโปรดของท่านสุนัขผู้ยิ่งใหญ่ในปฐพี

ปู้ฟางยิ้มขณะมองเจ้าดำตั้งหน้าตั้งตากินซี่โครงเปรี้ยวหวานในจานกระเบื้องพร้อมส่ายหางไปมา เป็นเรื่องยากนักที่จะจินตนาการว่าสุนัขตัวอ้วนแสนตะกละตัวนี้ เป็นตัวเดียวกับอสูรเวทในตำนานที่ทำให้บรรดาฝูงชนขวัญหนีดีฝ่อเมื่อวานนี้

หลังจากลูบขนดำมันเงาของเจ้าดำเสร็จ ชายหนุ่มก็เดินกลับเข้าร้านไป เขาลากเก้าอี้มาวางตรงทางเข้าร้านแล้วนั่งลงอย่างสบายตัว พลางหยีตามองท้องฟ้าเบื้องหน้า

ตรอกเล็กเต็มไปด้วยคนงานที่จีเฉิงเสวี่ยส่งมาเพื่อซ่อมพื้นและกำแพงที่เสียหาย พื้นตรอกนั้นแหลกสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ส่วนกำแพงก็พังไม่ต่างกัน

คนงานที่ส่งมามีไม่มากแต่กลับสามารถซ่อมตรอกได้อย่างรวดเร็ว

เจ้าอ้วนจินและผองเพื่อนเดินเข้าตรอกมาด้วยท่าทางกระชุ่มกระชวย พวกเขาไม่ได้เข้ามาที่ร้านสองสามวันแล้ว เนื่องจากร้านของปูฟ่างในช่วงนั้นอันตรายเกินไปเพราะถูกผู้ฝึกตนระดับสูงล้อมเอาไว้หมด ทำให้เจ้าอ้วนจินต้องกลั้นใจเดินผ่านตรอกทุกครั้งที่แวะเวียนมาแถวนี้

แต่พอได้ข่าวว่าสถานการณ์คลี่คลายลงแล้ว เขาก็รีบเรียกเพื่อนฝูงมารวมตัวกันเพื่อไปที่ร้านทันที เพราะอดทนที่ไม่ได้กินอาหารรสเลิศไม่ไหวอีกต่อไป

“เถ้าแก่ปู้ ไม่ได้เจอกันเสียนาน” เจ้าอ้วนจินทักทายปู้ฟางอย่างเป็นอันเอง เขาหยีตาจนเหลือเป็นสระอิ

ปู้ฟางที่กำลังเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ขยับตัวทันที เขากะพริบตามองเจ้าอ้วนจิน สำรวจชายร่างใหญ่ตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว

เถ้าแก่ปู้เป็นอะไรไป สายตาดูไม่ชอบมาพากลแม้แต่น้อย ใบหน้าของเจ้าอ้วนจินเต็มไปด้วยความประหลาดใจแกมสยอง เหตุใดเถ้าแก่ปู้จึงมองเขาด้วยสายตาชวนขนลุกเช่นนี้

ปู้ฟางเห็นเจ้าอ้วนจินแล้วก็อดนึกถึงภารกิจฉุกเฉินที่ระบบมอบให้ไม่ได้

ชายหนุ่มอยากรู้ว่าเจ้าอ้วนจินมีคุณสมบัติพอจะเป็นพ่อครัวผู้ช่วยของเขาหรือไม่

หลังจากที่ลองประเมินร่างกายอันใหญ่โตของเจ้าอ้วนจินแล้ว ปู้ฟางก็รู้สึกว่าเจ้าอ้วนจินอาจจะเหมาะสม นอกจากนี้อีกฝ่ายยังชื่นชอบการกินอาหารรสเลิศมาก จึงเป็นไปได้ว่าน่าจะทำอาหารเป็น ปู้ฟางคิดกับตนเองในใจ จากนั้นใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นอ่านยากทันที

กล้ามเนื้อบนใบหน้าเจ้าอ้วนจินสั่น พับผ่าสิ…สีหน้าของเถ้าแก่ปู้นี่น่ากลัวเป็นบ้า ต้องการอะไรจากข้ากัน กำลังใช้สายตาแทะโลมนายน้อยผู้นี้อยู่รึ

“จะสั่งอะไร” ปู้ฟางเลิกมองเจ้าอ้วนจินด้วยสายตาเหมือนตอนไปเลือกผักที่ตลาด แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมเอ่ยถามเสียงสงบ

เจ้าอ้วนจินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกในที่สุด นี่สิเถ้าแก่ปู้คนเดิมที่เขารู้จัก สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ต้องเป็นภาพหลอนแน่

ปู้ฟางจดรายการที่เจ้าอ้วนจินและผองเพื่อนสั่ง จากนั้นก็เดินเข้าครัวไป ชายหนุ่มเริ่มทำอาหารส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว กลิ่นนั้นลอยออกจากครัวมาเตะจมูกลูกค้าภายในร้าน ทำให้ทุกคนมีสีหน้าเคลิบเคลิ้มเหมือนฝันไป

ปู้ฟางเดินถือจานอาหารออกมาจากครัวแล้ววางเนื้อตุ๋นตำรับจีนลงตรงหน้าเจ้าอ้วนจิน จากนั้นก็ไปลากเก้าอี้มานั่งลงตรงข้ามชายอ้วน

เจ้าอ้วนจินที่กำลังจะเริ่มกินอาหารตัวแข็งทื่อ พลางมองปู้ฟางด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“เถ้าแก่…เถ้าแก่ปู้ ท่านต้องการอะไรจากข้ารึ” เจ้าอ้วนจินถามเสียงเบา

ปู้ฟางยิ้มพลางปรับสีหน้าให้นิ่งดังเดิม ก่อนมองไปยังบุคคลตรงข้ามแล้วเอ่ยถาม “ตาจินคนเก่าคนแก่ เนื้อตุ๋นตำรับจีนนี้รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง”

“ยอดเยี่ยมที่สุด! อะไรก็ตามที่ผ่านรสมือเถ้าแก่ปู้นั้นอร่อยจนข้าอยากจะขึ้นสวรรค์ทีเดียว!” เจ้าอ้วนจินจึ๊ปากด้วยความอิ่มเอม ยกนิ้วโป้งพลางเอ่ยชมไม่ขาดปาก

ดวงตาของปู้ฟางเป็นประกายขึ้นมา “เจ้าสนใจอยากจะกินเนื้อตุ๋นตำรับจีนทุกวันหรือไม่”

ดวงตาของเจ้าอ้วนจินเบิกกว้างขณะมองปู้ฟางด้วยความตื่นเต้น “หมายความว่าอย่างไรกัน”

“มาเรียนวิธีการทำอาหารจากข้า แล้วเจ้าจะได้กินเนื้อตุ๋นตำรับจีนทุกวัน” ปู้ฟางตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง

เมื่อได้ยินคำตอบจากชายหนุ่ม ความประหลาดใจแกมตื่นเต้นบนใบหน้าชายอ้วนก็แข็งค้าง พลางค่อยๆ สลายหายไป ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยสีหน้าไปต่อไม่ถูก

“เถ้าแก่ปู้ ข้าทำไม่ได้หรอกนะ ข้าเป็นคนไร้ซึ่งความละเอียดอ่อน การทำอาหารนั้นต้องใช้ความประณีตละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก ไม่ใช่อะไรที่ข้าจะทำได้อย่างแน่นอน ถ้าอยากกินทุกวันข้าก็แค่มาทุกวันก็พอแล้ว ข้าสบายใจเช่นนี้มากกว่า”

ปู้ฟางชะงักไป เขาไม่ได้คาดคิดว่าเจ้าอ้วนจินจะเอ่ยปฏิเสธอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้

หมอนี่ชอบกินเนื้อตุ๋นตำรับจีนไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดจึงไม่ยอมมาเป็นพ่อครัวเล่า

ตอนที่ปู้ฟางกำลังชะงักอยู่นั้น โอวหยางเสี่ยวอี้ก็กระโดดกระเด้งเข้าร้านมา นางวางของในมือลงแล้วเริ่มเตรียมทำงานตามกิจวัตรประจำวัน

ในเมื่อเจ้าอ้วนจินไม่สนใจจะเป็นพ่อครัว…ปู้ฟางจึงเริ่มหาเป้าหมายใหม่ สายตาของเขามองไปที่เสี่ยวอี้ซึ่งเพิ่งเดินเข้าร้านมาพอดี

เจ้าเด็กนี่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะทำได้เช่นกัน เนื่องจากนางใช้ชีวิตอยู่ที่ร้านนี้ทุกวัน…

“เสี่ยวอี้ มานี่หน่อย”

ปู้ฟางโบกมือเรียกโอวหยางเสี่ยวอี้ที่เงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยสายตางุนงง ก่อนจะเดินเข้ามาหาตามคำเรียก

“นายท่านตัวเหม็น ต้องการอะไรรึ” โอวหยางเสี่ยวอี้ถาม

“เจ้าอยากซดน้ำแกงเต้าหู้หัวปลาทุกวันหรือไม่” ปู้ฟางถามด้วยน้ำเสียงจริงจังและใบหน้าเคร่งเครียด

คำว่าน้ำแกงเต้าหู้หัวปลาทำให้ดวงตาของโอวหยางเสี่ยวอี้เป็นประกายขึ้นมา นางจึ๊ปากอยากกิน น้ำแกงปลาแสนอร่อย…เป็นของที่นางโปรดที่สุดแล้ว

“แน่นอนอยู่แล้ว!”

“เช่นนั้นก็มาเรียนวิธีการทำอาหารจากข้า จากนั้นเจ้าก็จะได้กินน้ำแกงเต้าหู้หัวปลาทุกวัน” ปู้ฟางตอบเสียงเข้ม

“เรียนวิธีทำอาหารรึ” โอวหยางเสี่ยวอี้ดวงตาเป็นประกายอีกครั้ง เถ้าแก่ปู้จะสอนนางทำอาหารรึ นี่มัน…ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเกิดขึ้นจริง

“ใช่ เจ้าสนใจหรือไม่” ปู้ฟางถามเรียบๆ

“สนใจสิ แน่นอนอยู่แล้ว” โอวหยางเสี่ยวอี้หยีตาแลบลิ้น ด้วยความที่นางเป็นเด็กน้อยที่ชอบกินอาหารอร่อยเป็นชีวิตจิตใจ นางจึงอยากทำอาหารรสเลิศด้วยฝีมือตนเองเป็นอย่างมาก

“คำเตือนด้วยความห่วงใยจากระบบ: ระบบได้วิเคราะห์พรสวรรค์การทำอาหารของโอวหยางเสี่ยวอี้แล้ว พบว่านายท่านต้องใช้เวลาสอนโอวหยางเสี่ยวอี้ทำข้าวผัดไข่เป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มด้วยกัน”

เสียงระบบดังขึ้นในศีรษะของปู้ฟางเพื่อเอ่ยเตือนเขา

ฉึก…ปู้ฟางรู้สึกราวกับถูกลูกศรวิ่งปักอก หนึ่งเดือน…แค่ข้าวผัดไข่จานเดียวใช้เวลาสอนหนึ่งเดือน โดยที่ตัวเขาต้องเป็นคนสอนเองเสียด้วย เด็กนี่มีฝีมือต่ำเตี้ยเรี่ยดินถึงเพียงนี้เชียวรึ

ดูเหมือนว่านางจะไม่เหมาะที่จะเป็นแม่ครัวฝึกหัด…หากเขาเลือกนาง เขาคงเหนื่อยตายก่อนจะทำสำเร็จแน่

“เอ่อ…เสี่ยวอี้ มาคิดดูอีกที ข้าว่าเจ้ายังเด็กเกินไปที่จะเข้าครัว กลับไปทำหน้าที่คนรักการกินเหมือนเดิมดีหรือไม่” ปู้ฟางกระแอมเบาๆ พลางกะพริบตาปริบขณะบอกโอวหยางเสี่ยวอี้

“นายท่านตัวเหม็น! แกล้งปั่นหัวข้ารึ!” โอวหยางเสี่ยวอี้โกรธเกรี้ยวเป็นอันมาก หมายความว่าอย่างไรกัน นายท่านตัวเหม็นกล้าปรามาสนางเช่นนั้นหรือ

ปู้ฟางลุกขึ้นยืนพลางยิ้มบาง ก่อนลูบศีรษะโอวหยางเสี่ยวอี้แล้วอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ “ไม่ เจ้ายอดเยี่ยมแล้ว แต่เจ้ายังเด็กเกินไป”

“ข้าไม่สน ท่านบอกว่าจะสอนข้า…” โอวหยางเสี่ยวอี้เบ้ปากด้วยความโมโห นางตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะต้องทำน้ำแกงเต้าหู้หัวปลาเองให้ได้ นางจะทำสองชาม กินหมดชามหนึ่ง แล้วโยนอีกชามทิ้งไปก็ยังได้ เนื่องจากนางเป็นคนทำเอง จะทำอะไรกับมันก็ไม่ใช่กงการของคนอื่น

“อืม…เอาเช่นนี้ไหม เจ้ากลับบ้านไปทำข้าวผัดไข่มาให้ข้าลองชิมพรุ่งนี้หนึ่งชาม หากผ่าน ข้าจะรับเจ้าเป็นแม่ครัวฝึกหัดที่ร้าน และจะสอนเจ้าทำอาหาร”

ปู้ฟางบีบจมูกโอวหยางเสี่ยวอี้เบาๆ ทำให้เด็กหญิงส่งเสียงฮึดฮัดออกมาด้วยความไม่พอใจ

“จำสิ่งที่ท่านเพิ่งพูดไว้ด้วยเล่า! อย่าคืนคำเลยเชียว!” เด็กหญิงพูดด้วยความตื่นเต้นดีใจ

“แน่นอน ข้าจะทำตามทุกคำพูด” ปู้ฟางตอบอย่างสงบนิ่ง

เขาไม่ได้รู้สึกหนักใจแต่อย่างใด เนื่องจากหากดูจากที่ระบบประเมินความสามารถของโอวหยางเสี่ยวอี้แล้ว ถ้าข้าวผัดไข่ที่นางทำออกมากินได้…ฟ้าคงถล่มดินคงทลายเป็นแน่ ด้วยเหตุนี้เขาจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมา

ร้านเริ่มเนืองแน่นด้วยลูกค้า ปู้ฟางจึงเดินกลับเข้าครัวไปทำงาน

โอวหยางเสี่ยวอี้แทบเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่ นางรู้สึกอยากกลับบ้านเสียเดี๋ยวนี้เพื่อทำข้าวผัดไข่แสนอร่อยที่จะทำให้นายท่านตัวเหม็นต้องยอมสยบ

ส่วนปู้ฟางกลับกำลังคิดจนศีรษะแทบแตก…ว่าควรจะเลือกใครมาเป็นพ่อครัวแม่ครัวฝึกหัดที่ร้านดี