บทที่ 208 อย่าดูแคลนลัทธิเต๋าให้มากนัก

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน ซ่งชูอีได้ยินเสียงการต่อสู้อึกทึกท่ามกลางความสะลึมสะลือ นางลุกขึ้นพรวดจากเตียงด้วยความตื่นเต้น

แสงแดดสีทองที่เล็ดลอดผ่านเงาไม้สาดส่องเข้ามาในกระโจม ลมพัดผ่าน ใบไม้ส่งเสียงกรอบแกรบและกลิ่นคาวเลือดโชยมาจางๆ ซ่งชูอีจัดแจงผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงครู่หนึ่ง ก้าวเท้ายาวๆ ออกไปจากกระโจม เอ่ยถามนายทหารผู้รักษาการณ์ “เกิดอะไรขึ้น?”

“เรียนท่านที่ปรึกษา ครั้นฟ้าสางสู่อ๋องได้นำกองทัพเข้าโจมตีประตูด่าน บัดนี้ผ่านไปกว่าสองชั่วยามแล้ว” นายทหารกล่าว

ซ่งชูอีก้มหน้ามองครู่หนึ่ง ชุดเกราะบนตัวก็ยังคงเรียบร้อยดี ขณะที่กำลังจะไปที่ประตูด่านนั้น ก็ถูกหัวหน้ากองซือหม่าเข้ามาห้ามไว้ “ท่านแม่ทัพกำชับให้รักษาความปลอดภัยของท่านที่ปรึกษาทั้งสอง ได้โปรดท่านที่ปรึกษาห้ามออกจากค่ายเป็นการชั่วคราวขอรับ”

ซ่งชูอีครุ่นคิดสักพักก่อนพยักหน้า “ได้ จางจื่ออยู่ที่ใด?”

“จางจื่อเพิ่งจะกลับกระโจมไปพักผ่อนตอนที่เริ่มต่อสู้กันขอรับ” หัวหน้ากองซือหม่าไม่เข้าใจท่านที่ปรึกษาสองคนนี้จริงๆ ยิ่งต่อสู้กันดุเดือดเท่าใดก็ยิ่งหลับสบายเท่านั้น แปลกคนเหลือเกิน!

ซ่งชูอีได้ยินเขากล่าวดังนี้กลับวางใจขึ้นมาก ดูเหมือนว่าแผนราบรื่นดี ทว่าแม้เป็นเช่นนี้นางก็ยังต้องการรู้รายละเอียด ดังนั้นจึงถามที่ตั้งของกระโจมจางอี๋แล้วพาไป๋เริ่นไปหาเขา

ส่วนจางอี๋นั้นเพิ่งจะล้มตัวลงนอนโดยมิได้ถอดเสื้อผ้า ขณะที่กำลังหลับสนิททันใดนั้นก็รู้สึกว่าใบหน้าเปียกชื้น ยื่นมือไปคว้าโดยไม่รู้ตัวและสัมผัสกับสิ่งที่มีขนเข้า ครั้นลืมตาขึ้นก็ตกใจเมื่อเห็นใบหน้าของหมาป่าที่ขยายใหญ่ขึ้นจนเกือบจะสัมผัสใบหน้าของเขา อดไม่ได้ที่จะพึมพำ “จินเกอ? มิได้เข้าไปรบหรือ?”

“ดูท่าพี่ชายจะเหนื่อยจริงๆ แม้แต่หมาป่าที่ตัวเองเลี้ยงก็จำไม่ได้แล้ว” ซ่งชูอีนั่งอยู่บนโต๊ะ ยกขาขึ้นมาพาดขาอีกข้าง ใช้มีดสั้นเฉือนเนื้อและกินอย่างเอร็ดอร่อย

จางอี๋ขยี้ศีรษะพร้อมกับลุกขึ้นนั่ง การถูกคนรบกวนจากห้วงนิทราแสนหวานบวกกับเห็นท่าทางของซ่งชูอีแล้วก็อดที่จะขมวดคิ้วมิได้ “เจ้าดูเจ้าสิ รูปลักษณ์หยาบโลนเยี่ยงนี้ ไร้ความเป็นระเบียบสิ้นดี!”

นี่เป็นการตำหนิที่ร้ายแรงมากสำหรับบัณฑิตทั่วไป ซ่งชูอีกลับหัวเราะเอ่ย “งั้นหรือ เช่นนั้นข้าก็เข้าใจโลกของเต๋าอย่างถ่องแท้ทีเดียว”

“อย่าดูแคลนลัทธิเต๋าให้มากนัก” จางอี๋กล่าวอย่างหัวเสีย

เขานั่งคุกเข่าอยู่บนเตียง ยื่นมือรินน้ำให้กับตัวเอง ดื่มเสียงดังเอื้อกๆ “หลังจากพ้นยามจื่อแล้ว ทางหุบเขาอวิ๋นซานเข้ามารายงานว่า กองทัพสู่ที่ข้ามหุบเขาในเวลากลางคืนถูกทหารเราซุ่มโจมตี โดยมีซย่าเฉวียนนำการปิดล้อมสังหาร ท่านแม่ทัพสั่งให้ทำลายกองทัพสู่อย่างสิ้นซาก ห้ามปล่อยไปแม้แต่คนเดียว จากนั้นก็ส่งคนปลอมตัวเป็นทหารสู่กลับไปรายงานสถานการณ์ทางทหาร บอกว่าบัดนี้กองทัพห้าหมื่นนายได้ข้ามหุบเขาอวิ๋นซานไปได้อย่างราบรื่นแล้ว สู่อ๋องจึงสั่งให้โจมตีกองทัพของเราจากสองทาง…”

สู่อ๋องได้รับข่าวแล้วก็อาศัยตอนที่ฟ้ายังไม่สว่างและในขณะที่กองทัพฉินไม่สามารถแยกแยะจำนวนคนได้บุกโจมตีด่านเจียเหมิง เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของกองทัพฉิน

“เล่าจบแล้ว” หลังจากจางอี๋ดื่มน้ำเสร็จแล้วก็ปีนขึ้นเตียง “คราวนี้อย่าได้รบกวนข้าเชียวนะ…หัวหน้ากองซือหม่าก็เล่าอย่างละเอียดได้ อย่าทรมานข้า”

ซ่งชูอีตอบว่าอืมเสียงหนึ่ง กินเนื้ออย่างเอร็ดอร่อยต่อ และเย้าแหย่ไป๋เริ่นเป็นครั้งคราว

ไม่รู้ว่าจางอี๋พลิกตัวไปมาบนเตียงนานแค่ไหน จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงโห่ร้องดังกึกก้อง เขาตกใจจนแทบตกจากเตียง

ทันทีที่ซ่งชูอีได้ยินก็ออกจากกระโจมทันที เมื่อเห็นทหารหลายพันคนรวมตัวกันอยู่ที่นั่นก็เดินเข้าไปหา

ทหารม้าจำนวนมากขี่ม้าไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งกลับมาจากสงคราม สิ่งที่ดึงดูดสายตาคนมากที่สุดก็คือชายวัยกลางคนบนม้าที่ร่างกายส่วนบนถูกมัดโดยแขนทั้งสองข้างถูกผูกไว้ด้านหลังและเชือกคล้องรอบคอ รูปร่างของคนนั้นท้วมเล็กน้อย เนื้อตัวสะบักสะบอม สวมชุดเกราะสีเขียวเข้ม ผมปล่อยสยาย เขาถูกมัดอย่างแน่นหนาอยู่บนหลังม้าเหมือนเป็นสัมภาระห่อหนึ่ง

“หรือว่านั่นคือสู่อ๋อง?” จางอี๋ออกมาจากกระโจม เดินเข้าไปหาซ่งชูอี

“ท่านที่ปรึกษา!” หัวหน้ากองซือหม่าเข้ามาหาทั้งสองคนด้วยสีหน้าปิติ กล่าวด้วยเสียงอันดัง “ได้โปรดท่านที่ปรึกษาทั้งสองดูว่านี่ใช่สู่อ๋องหรือไม่”

ซ่งชูอีกับจางอี๋เคยเป็นราชทูตที่รัฐสู่มาก่อน โดยเฉพาะซ่งชูอีที่พักอยู่ในรัฐสู่เป็นเวลาครึ่งปี สายตาของทุกคนมองมา ซ่งชูอีเดินเข้าไปใกล้บุคคลนั้น เอื้อมมือคว้าผมบังคับให้เขาเงยหน้าขึ้น

บุคคลนั้นเงยหน้าขึ้นจ้องมองไปยังผู้ที่รังแกเขาด้วยความโมโห ทว่ากลับต้องตกตะลึงเมื่อเห็นซ่งชูอี จากนั้นไม่นานก็มีการตอบสนอง ทันใดนั้นดวงตากระหายเลือด แววตาราวกับต้องการจะกินคนอย่างไรอย่างนั้น “ซ่งหวยจินตัวดี! ซ่งหวยจินตัวดี!”

ในชั่วขณะหนึ่ง สู่อ๋องไม่รู้ว่าควรจะสรรหาคำพูดใดมาแสดงโทสะของตัวเอง

ซ่งชูอีหยิบผ้าเช็หน้าขึ้นมาเช็ดๆ มืออย่างใจเย็นท่ามกลางสายตาของทุกคน “นี่แหละสู่อ๋อง”

เสียงโห่ร้องยินดีดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เสียงดังทะลุต้นไม้หนาทึบและพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า

“คิดไม่ถึงว่าจะจับสู่อ๋องได้จากการต่อสู้ครั้งแรก นับเป็นสัญญาณดีจริงๆ!” หัวหน้ากองซือหม่าดีใจเป็นอย่างยิ่ง

ชัยชนะในการรบครั้งแรกช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจแก่เหล่าทหาร ทว่าในใจของซ่งชูอีรู้ดีว่าการต่อสู้อันยากลำบากที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น สู่อ๋องในวัยหนุ่มเก่งกาจด้านการต่อสู้ แต่เขาหมกมุ่นกับสุรานารีหลายปี การนำทัพเข้าสู่สงครามเป็นความไม่เต็มใจอย่างยิ่ง กำลังรบที่แท้จริงของรัฐสู่คือกองทัพที่รัฐปาส่งเข้ามาช่วยเหลือต่างหาก

“สู่อ๋องก็ช่างเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง! ทั้งๆ ที่รู้ว่าสู้ไม่ได้ก็ยังกล้านำทัพมาและใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ!” จางเหลียวเพิ่งจะออกมาจากสนามรบ ในเสียงหัวเราะนั้นยังคงมีความกระหายเลือดที่ยังไม่จางหายไปไหน

บางคราวเส้นทางที่ดูเป็นไปไม่ได้ที่สุดกลับสามารถผ่านไปได้ หากสู่อ๋องอาศัยหมอกหนาเมื่อคืน สั่งรวบรวมกำลังพลเพื่อจู่โจมด่านเจียเหมิงอย่างเต็มกำลังก็คงไม่ประสบกับความล้มเหลวเช่นนี้ ที่ตั้งของด่านเจียเหมิงมีความอันตราย ทว่ากองทัพสู่ก็เก่งกาจในการปีนหน้าผา บวกกับบนหอคอยของประตูด่านมีความแคบยิ่ง แม้ว่ากองทัพฉินจะมีกองทหารจำนวนมาก แต่ก็ไม่สามารถรักษาไว้ได้ทั้งหมด หากกองทัพสู่โจมตีเต็มกำลัง ก็มีโอกาสอย่างน้อยสี่ส่วนที่จะสามารถยึดพื้นที่สูงได้

น่าเสียดายที่สู่อ๋องจิตใจไม่มั่นใจอีกทั้งยังรีบร้อน บวกกับอาศัยอยู่ในซอกหลืบมานาน มีความมั่นใจในตัวเองมากเกินไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงเลือกกระทำการด้วยความโง่เขลาเป็นอย่างยิ่ง

“ซ่งหวยจิน!” สู่อ๋องคำรามฉับพลัน “เพราะเจ้าคนต่ำต้อยชั่วช้าที่ทำลายรัฐสู่ของข้า! ต่อให้กว่าเหรินตายไปแล้ว สวรรค์ก็จะไม่ปล่อยเจ้า!”

“ฝ่าบาทไม่เคยอ่านตำราพิชัยสงครามหรือ?” ซ่งชูอีมองเขาอย่างเฉยเมย เอ่ยว่า “วิธีใช้กำลังพล สิบโอบล้อม ห้าโจมตี สองต่อสู้ เท่ากันกระจายกำลัง น้อยกว่าหลีกเลี่ยง ฝ่าบาทรนหาที่ตายเอง เกี่ยวอะไรกับซ่งหวยจินเล่า?”

พื้นฐานของพิชัยสงคราม หลักการที่ใช้ในการต่อสู้จริงคือ หากมีกำลังมากกว่าศัตรูสิบเท่าก็สามารถทำการปิดล้อมได้ หากมีกำลังมากกว่าศัตรูห้าเท่าก็สามารถโจมตีได้ หากมีมากกว่าสองเท่าก็ต้องพยายามเอาชนะ หากมีกำลังไล่เลี่ยกับศัตรูก็พยายามกระจายกองกำลังศัตรูเพื่อเอาชนะ หากกองกำลังมีน้อยกว่าศัตรูก็ต้องคิดหาวิธีหลีกเลี่ยงการต่อสู้

สิบเท่า ห้าเท่า สองเท่าล้วนเป็นเพียงการประมาณการคร่าวๆ ไม่จำเป็นต้องให้ได้อัตราส่วนดังกล่าว

สู่อ๋องนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาคุ้นเคยกับตำราพิชัยสงครามตั้งแต่เด็กแล้ว! ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจประเด็นของซ่งชูอีว่าความผิดของเขาคือการพึ่งพาภูมิประเทศมากเกินไป ปรารถนาที่จะใช้การโจมตีฉับพลันเพื่อที่จะสามารถชนะให้มากขึ้นด้วยกำลังคนที่น้อยกว่า

จากนั้นพระอาทิตย์ที่ขึ้นสูงก็ทำให้อุณหภูมิค่อยๆ เพิ่มตามไปด้วย

ศพในหุบเขาอวิ๋นซานที่อยู่ที่ไม่ไกลจากด่านเจียเหมิงกองพะเนินดังมหาสมุทรกว้างใหญ่ เสื้อเกราะสีเขียวเข้มโชกไปด้วยเลือด เมื่อมองขึ้นไปแล้วก็เห็นสีเขียวแดงที่ชวนขยะแขยง

เมื่อคืนทหารม้าห้าหมื่นนายพบกับกองกำลังซุ่มโจมตีจากรัฐฉินขณะที่เดินผ่านหุบเขา ถูกฝนลูกธนูที่หนาแน่นยิงตายไปกว่าครึ่ง สองหมื่นนายที่เหลือก็ถูกกองทัพฉินหกหมื่นนายล้อมฆ่าจากหุบเขาทั้งสองด้านและถูกสังหารจนสิ้นภายในเวลาสองชั่วยาม

วันนี้กองทัพสู่ห้าหมื่นนายก็นอนหลับเงียบๆ อยู่ในหุบเขาอวิ๋นซานเช่นนั้นชั่วนิจนิรันดร์