“อ้าวชวาง… ”สายตาของเหลิ่งหลิงยวิ๋นดูซับซ้อนเล็กน้อยเขาจะไม่เห็นความกังวลและความลังเลในดวงตาของชีอ้าวชวางได้อย่างไรล่ะนางอยากจะตามไปแต่ก็ทำไม่ได้
สุดท้ายแล้วชีอ้าวชวางก็ถอนหายใจและพูดช้าๆ “เอาอย่างนี้นะ ถึงอย่างไรก็อย่าให้ถึงขั้นทำลายรากฐานของศาสนจักรเพรสไบทีเรียนก็แล้วกัน ต้องระมัดระวังในสนามรบให้ดี” หลังจากที่ชีอ้าวชวางพูดจบ ใบหน้าของนางก็ดูเหนื่อยล้าเล็กน้อยจากนั้นก็ลุกขึ้นยืนและเดินออกไปอย่างเงียบๆ
เหลิ่งหลิงยวิ๋นมองแผ่นหลังของชีอ้าวชวางแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
สงครามปะทุขึ้นแล้ว
ตอนที่กองทัพทูตสวรรค์กว่าหนึ่งล้านองค์ของศาสนจักรเพรสไบทีเรียนมาที่เมืองและประกาศสงครามกับมาริลิน โลกเทพเจ้าทั้งหมดก็เดือดขึ้นทันที
นี่มันเรื่องอะไรกัน? ผู้คนสับสนไปหมด ศาลแห่งแสงเก่ามาต่อสู้กับศาลแห่งแสงในปัจจุบันหรือ?
มาริลินไม่ได้โง่ นางเตรียมพร้อมมานานแล้วอีกอย่างถึงอย่างไรนางก็เป็นเทพีแห่งแสงที่แท้จริงนางรวบรวมกองทัพทูตสวรรค์แปดแสนองค์ได้อย่างรวดเร็วอยู่แล้ว แม้ว่าความแข็งแกร่งจะไม่เทียบเท่ากองทัพของศาสนจักรเพรสไบทีเรียน แต่จำนวนก็ใกล้เคียงกัน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรวบรวมกองกำลังจำนวนมากได้ในช่วงเวลาอันสั้น ยิ่งทำให้เห็นได้เลยว่ามาริลินเป็นผู้หญิงที่มีวิธีการมากจริงๆ
เห็นได้ชัดว่าคราวนี้ศาสนจักรเพรสไบทีเรียนตัดสินใจจะกำจัดมาริลิน สมาชิกทั้งหมดของศาสนจักรเพรสไบทีเรียนมีการเคลื่อนไหว รวมทั้งฟลอร่าผู้เป็นเทพีแห่งแสงคนต่อไปด้วย ทูตสวรรค์สิบสองปีกถูกส่งออกมาทั้งหมด จำนวนมากจนน่าตกใจ
ส่วนทางนี้มาริลินจะไปที่สนามรบด้วยตัวเองเพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจให้เหล่านักรบ
ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง
สนามรบเป็นที่ราบแห่งหนึ่ง
บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยปีกสีขาวและเสียงกระพือปีกที่ไม่มีที่สิ้นสุด
เสียงแตรเริ่มสงครามดังขึ้น เหล่านักรบทูตสวรรค์ทั้งสองฝ่ายต่างต่อสู้กันเพื่อเกียรติยศของพวกเขา
ชีอ้าวชวางและคนอื่นๆ มองไปที่การต่อสู้ในสนามอย่างเย็นชา อันที่จริงถ้าพูดอย่างเห็นแก่ตัวก็คือหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสู้กันให้หนักขึ้นเพราะถ้าเป็นแบบนั้นพลังของโลกเทพเจ้าจะลดลงอย่างมากจนทำให้พวกเขาทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้
หยาดเลือดหลั่งรินลงมาราวกับสายฝน ขนปีกสีขาวปลิวกระจายไปทั่วท้องฟ้า ขนสีขาวส่วนมากถูกย้อมเป็นสีแดงเลือดเหล่าทูตสวรรค์ต่างก็กรีดร้องและล้มลงอย่างต่อเนื่อง
นี่แหละสงคราม
ชีอ้าวชวางขมวดคิ้วมองทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า
โลกเทพเจ้าทำสงครามก็เป็นเช่นนี้ หากเป็นสงครามศักดิ์สิทธิ์ของทั้งสามโลกล่ะ?
มันคงจะโหดร้ายกว่าสงครามในตอนนี้เป็นร้อยเท่าพันเท่าเลยใช่หรือไม่?
ชีอ้าวชวางหลับตาลงอย่างช้าๆและลืมตาขึ้นอีกครั้ง ท้องฟ้าตอนนี้ราวกับถูกย้อมด้วยสีแดง ส่วนพื้นดินก็เป็นสีแดงไปแล้วจริงๆ
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนทำให้ผู้คนต้องขมวดคิ้ว
ชีอ้าวชวางเงยหน้าขึ้นมองไปไกลๆ แล้วก็ถูกดึงดูดด้วยแสงสีขาวพร่างพราวสองสามดวง
ที่ตรงนั้นมีทูตสวรรค์มุ่งเข้าไปอย่างต่อเนื่อง จากนั้นพวกเขาก็จะถูกตัดครึ่งและร่วงหล่นลงไป
ทูตสวรรค์ที่บินอยู่ตรงนั้นไม่ใช่ทูตสวรรค์สิบปีกหรือทูตสวรรค์สิบสองปีก
แต่เป็นทูตสวรรค์ที่มีสิบหกปีก!
หนึ่งสอง สาม…
มีทูตสวรรค์สิบหกปีกทังหมดเก้าองค์
นั่นคือสมาชิกของศาสนจักรเพรสไบทีเรียนหรือ
ชีอ้าวชวางเหลือบมองแล้วกางปีกเปลวไฟอันร้อนแรงด้านหลังบินบนท้องฟ้าตรงไปทางทูตสวรรค์สิบหกปีกนั่น
เฟิงอี้เซวียนเหลิ่งหลิงยวิ๋นและคนอื่นๆ ก็ตามชีอ้าวชวางไปเช่นกัน
คามิลล์ยังคงยืนอยู่ที่เดิมและมองการต่อสู้ตรงหน้าด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
ในสายตาของชีอ้าวชวางเห็นปีกสีขาวสิบหกคู่ที่เด่นชัดใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ…
ทูตสวรรค์สิบหกปีกทั้งเก้าถือดาบขนาดใหญ่ด้วยใบหน้าเหยียดหยามแล้วตัดนักรบทูตสวรรค์ทั้งหมดที่อยู่รอบๆ พวกเขาออกเป็นสองท่อนขนที่ปลิวอยู่รอบๆ นั้นล้วนถูกย้อมเป็นสีแดงแล้วจึงค่อยๆร่วงหล่นลงไป
ชาร์ลอตต์และเหล่าทูตสวรรค์ก็ตามชีอ้าวชวางไปด้วย
ทูตสวรรค์สองปีกและสี่ปีกทั้งหมดค่อยๆ ถอยไปด้านหลังอย่างช้าๆ เว้นที่ว่างไว้ให้พวกเขา
“เหอะๆ ชาร์ลอตต์นักรบผู้ซื่อสัตย์ ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเลื่อนระดับจากทูตสวรรค์แปดปีกไปเป็นทูตสวรรค์สิบสองปีกได้ในชั่วข้ามคืนนะ เจ้าดูดซับหัวใจของนักรบทูตสวรรค์ไปเท่าไหร่ล่ะ” ทูตสวรรค์ที่อยู่ด้านหน้ามองชาร์ลอตต์อย่างเยาะเย้ยแล้วพูดประโยคนี้ออกมา ทูตสวรรค์องค์นี้คือกาบรินจากศาสนจักรเพรสไบทีเรียนและเป็นปู่ของฟลอร่านั่นเอง
สีหน้าของชาร์ลอตต์ขาวซีดและตัวสั่นขึ้นเล็กน้อย
“เจ้าเป็นคนทรยศที่ทำผิดบาปจนไม่อาจให้อภัยได้ จิตวิญญาณของเจ้ามันสกปรกถึงขีดสุดแล้ว” เดวิสผู้เป็นทูตสวรรค์ปีกสิบหกปีกอีกองค์หนึ่งพูดอย่างเย็นชา
ชาร์ลอตต์กัดฟันแล้วหน้าซีดลงเรื่อยๆ แต่ก็พูดอะไรไม่ออกเขาไม่อาจครอบครองเกียรติยศของนักรบทูตสวรรค์ได้อีกต่อไปแล้ว อย่างที่พวกนั้นบอก วิญญาณของเขาแปดเปื้อนมากแล้วและเขาก็จะต้องตกลงไปในขุมนรกในท้ายที่สุด
“หากเทียบกับเจ้าที่เอาตัวเทพีแห่งแสงคนก่อนไปไว้เป็นเชลยเหมือนสุนัขเพื่อเล่นกับเจ้า ดูเหมือนว่าชาร์ลอตต์จะดีกว่าเจ้าหลายเท่านะ” เสียงของเย็นชาของชีอ้าวชวางพูดขึ้น เสียงนั้นไม่ได้ดังมากแต่ก็เพียงพอให้คนที่อยู่ใกล้ๆ ได้ยิน สมาชิกทั้งหมดของศาสนจักรเพรสไบทีเรียนที่เป็นทูตสวรรค์สิบหกปีกต่างก็ได้ยินรวมถึงทุกคนในฝั่งของชีอ้าวชวางก็เช่นกัน แต่ชีอ้าวชวางคิดไว้อย่างดีว่าเพียงแค่ให้คนในบริเวณนี้ได้ยินก็พอไม่ได้ต้องการให้คนอื่นได้ยิน
ชีอ้าวชวางมีแผนของตัวเองอยู่ ถึงอย่างไรต่อไปก็จะต้องให้ศาสนจักรเผชิญหน้ากับมาริลินอยู่แล้ว ดังนั้นจะทำให้ชื่อเสียงของพวกเขาเสียหายมากเกินไปไม่ได้ แต่คำพูดเหล่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้คนของทางศาสนจักรเพรสไบทีเรียนจิตใจสั่นคลอน
แน่นอนว่าเมื่อสมาชิกของศาสนจักรเพรสไบทีเรียนได้ยินคำพูดของชีอ้าวชวาง การแสดงออกของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมาก แทบจะก้าวไปฉีกชีอ้าวชวางออกเป็นชิ้นๆ
“เจ้าเป็นใคร มาพูดเรื่องไร้สาระอะไรที่นี่” กาบรินพูดอย่างเย็นชาด้วยใบหน้าที่มืดครึ้ม
“ฮ่าๆ เป็นความจริงหรือไม่พวกเจ้ารู้อยู่แก่ใจไม่ใช่หรือ” ชีอ้าวชวางตอบคำถามด้วยรอยยิ้ม
สีหน้าของทูตสวรรค์ทางฝั่งชาร์ลอตต์เริ่มกลับมาเป็นปกติอย่างช้าๆ การเผชิญหน้ากับสมาชิกที่พูดดีแต่ภายในสกปรกของศาสนจักรเพรสไบทีเรียนนี้ การกระทำของพวกเขาก็ไม่เกินไปแล้ว จิตวิญญาณของพวกเขาก็สกปรกพอๆ กันนั่นแหละ!
ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือทูตสวรรค์จิตใจล้วนเหมือนกัน ในตอนที่รู้สึกไม่ดีแล้วรู้สึกว่ามีคนที่มีความผิดร่วมกันก็จะเป็นเรื่องที่ช่วยสร้างสมดุลทางจิตใจ
พวกเจ้าก็เป็นแค่พวกที่หลอกตัวเองและผู้อื่นเท่านั้นเอง
ชีอ้าวชวางยิ้มเยาะมองเหล่าคนของศาสนจักรเพรสไบทีเรียนที่กำลังโกรธยิ่งขึ้น
ทูตสวรรค์สิบหกปีกเก้าองค์ จะมีมากกว่านี้อีกหรือไม่?
สิ่งนี้ดูเหมือนจะไม่ยุติธรรมกับมาริลินนะ
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครก็ตาม ในเมื่อเจ้าอยู่ข้างมาริลิน เจ้าก็ต้องชดใช้ด้วย” เดวิสแสยะยิ้มแล้วเหวี่ยงดาบไปทางชีอ้าวชวางและพูดอย่างเย็นชา “ชดใช้ด้วยชีวิตของเจ้า”
ชีอ้าวชวางเพียงแค่ยิ้ม นางไม่พูดอะไรค่อยๆยกมือขึ้นและโบกมือออกไป
แสงสีทองพราวโอบล้อมร่างกายของชีอ้าวชวาง แสงสีทองพราวนั้นทำให้เหล่าคนในศาสนจักรเพรสไบทีเรียนต้องหรี่ตาลงเพราะมองไม่ได้จริงๆ
ตอนชีอ้าวชวางดึงดาบออกมา ดาบก็สั่นสะท้าน มันกำลังตื่นเต้น! ดาบในมือของทูตสวรรค์สิบหกปีกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนั้นไม่ธรรมดาเลยตอนนี้ดาบในมือของชีอ้าวชวางตื่นเต้นราวกับผีหิวโซที่ไม่ได้เจออาหารมื้อใหญ่มาเนิ่นนานถ้ามันส่งเสียงได้มันคงจะคำรามออกมาไม่หยุดแล้ว
“เงียบหน่อย” ชีอ้าวชวากกระตุกมุมปากแล้วยื่นนิ้วออกไปสะกิดดาบ เจ้านี่อยู่ไม่นิ่งจริงๆ!
“ตายไปซะ!” เดวิสตะโกนออกมาอย่างเย็นชาพร้อมกับยกดาบขึ้นแล้วฟันไปที่ชีอ้าวชวาง
ชีอ้าวชวางยิ้มเล็กน้อยและยกดาบขึ้นตั้งรับ
ทูตสวรรค์สิบหกปีกที่อยู่ด้านหลังเดวิสต่างก็ยกดาบขึ้น ทุกคนที่อยู่ด้านหลังของชีอ้าวชวางก็บินขึ้นปะทะเช่นกัน
จากนั้นการต่อสู้ที่ดุเดือดก็เริ่มขึ้น
เดวิสมองปีกเปลวไฟที่อยู่ตรงหลังของชีอ้าวชวางด้วยความสงสัยและพยายามคิดว่าผู้หญิงคนนี้คือใคร ดูเหมือนนางจะไม่ใช่คนของโลกเทพเจ้า คนในโลกเทพเจ้าไม่มีปีกเช่นนี้หรอก
ผมสีดำตาสีดำปีกเปลวไฟ…
เคร้ง…
เสียงการปะทะกันของอาวุธระหว่างชีอ้าวชวางและเดวิสดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้า
เดวิสขมวดคิ้วและแอบตกใจที่หญิงสาวตรงหน้ารับดาบของเขาได้โดยที่สีหน้าของนางไม่เปลี่ยนไปเลย
ในช่วงเวลาต่อมา สีหน้าของเดวิสก็ซีดลงเมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้าและรูม่านตาของเขาก็หดแคบลงทันที
เขาเห็นอะไร
เขาเห็นดาบในมือของหญิงสาวตรงหน้าเขาเชื่อมต่อกับดาบของเขาแล้วเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นของเหลวที่ล้อมรอบดาบของเขาทันที!
เสียงดังนั้นทำให้ผู้คนต่างหวาดกลัว
ในชั่วพริบตา ดาบในมือของเดวิสก็เหลือเพียงแค่ด้ามจับแล้ว!
ดาบของเขาหายไปเลย! ถูกอาวุธในมือหญิงสาวกลืนกินไปหมดแล้ว! ใช่ เขาไม่ได้ตาฝาด ดาบของเขาถูกกลืนกินไป…
เดวิสมองด้ามดาบสั้นๆในมืออย่างงุนงงและเหม่อไปเป็นเวลานาน เพียงแค่พริบตาดาบของเขาก็หายไปเลย! ดาบแห่งแสงที่อยู่คู่กับเขามาหลายหมื่นปีหายไปแล้ว
ชีอ้าวชวางรอให้ดาบในมือกลืนกินให้หนำใจแล้วมองเดวิสที่กำลังงุนงงอยู่ แน่นอนว่านางไม่ได้ใจดีปล่อยเวลาให้เดวิสตั้งตัวนางยิ้มอย่างเย็นชาพร้อมกับแสงสีทองที่ล้อมรอบตัว จากนั้นก็เหวี่ยงดาบในมือออกไปอย่างรุนแรง!
คราวนี้เดวิสจึงเรียกสติกลับมาได้ เขารีบหลบอย่างตื่นตกใจ แต่มันสายไปแล้ว ไหล่ของเขาถูกดาบของชีอ้าวชวางฟันลงมาไหล่ซ้ายทั้งหมดแทบจะแยกออกจากร่างกายของเขา
เดวิสถอยออกไปอย่างรวดเร็วแล้วรีบใช้เวทมนตร์เพื่อรักษาตัวเอง เขาเห็นรอยยิ้มเย็นชาที่ทำให้หายใจไม่ออกบนใบหน้าที่สดใสของหญิงสาวผู้นั้น เดวิสก็นึกได้และตะโกนออกมา “นางคือผู้หญิงที่มีสีดำทั้งสอง! หญิงสาวผู้มีสีดำทั้งสองในตำนาน!”
พอเดวิสตะโกนออกมา เหล่าทูตสวรรค์สิบหกปีกของศาสนจักรเพรสไบทีเรียนต่างก็ตกใจกันหมด!
หญิงที่มีสีดำทั้งสอง? ใช่นางจริงๆ หรือ? ตอนแองเจลิก้ารายงานเรื่องนี้พวกเขายังคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระและคิดว่ามันเป็นข้ออ้างที่ไร้สาระในความผิดพลาดของนาง คิดไม่ถึงเลยว่าหญิงสาวในตำนานจะมาปรากฏตัวในโลกเทพเจ้าและอยู่ตรงหน้าพวกเขา แถมตอนนี้ยังเป็นศัตรูกันอีกด้วย!
“หรือว่าตำนานจะเป็นจริงและไม่ได้เกิดขึ้นแค่โลกด้านล่าง?” ทูตสวรรค์สิบหกปีกชูดาบตั้งรับการโจมตีของชาร์ลอตต์พร้อมกับพูดประโยคนั้นออกมา
ประโยคนี้เหมือนกับก้อนหินที่โยนลงไปในทะเลสาบอันสงบจนทำให้เกิดระลอกคลื่นเลยทีเดียว