ตอนที่ 130 ซีหลิงยกทัพ (2)

ชายาเคียงหทัย

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าม่อจิ่งฉีดูเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่หลายอารมณ์ พักใหญ่กว่าจะกลับมาตั้งตัวได้ มองสตรีสีหน้าเรียบเรื่อยที่ยืนอยู่กลางตำหนักด้วยสายตาหลากหลาย ที่จู่ๆ เยี่ยหลีก็หงายไพ่ตายในมือออกมาตรงๆ นั้น เขาเองก็เดาใจไม่ออกว่านางต้องการอันใด หากว่าตำหนักติ้งอ๋องคิดอยากหาเรื่องเขาในยามนี้ เขาคงไม่เชื่อ อย่าว่าเพราะยามนี้ม่อซิวเหยาไม่อยู่เลย ต่อให้ม่อซิวเหยาอยู่ในเมืองหลวง ตำหนักติ้งอ๋องก็ไม่มีทางลุกขึ้นมาทำเรื่องที่ไม่เป็นผลดีต่อต้าฉู่เป็นแน่ เพียงแต่หากว่าเยี่ยหลีเพียงต้องการพูดเรื่องทางการทหาร เช่นนั้นนางก็มิจำเป็นต้องพูดถึงมู่ฉิงชังออกมาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ แหล่งข่าวของตำหนักติ้งอ๋องมีอยู่มากมายนัก จะหาสักแหล่งข่าวหนึ่งมาอ้างให้พอผ่านไปมิได้เชียวหรือ

 

 

ครู่ใหญ่ ม่อจิ่งฉีถึงได้เอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า “เรื่องที่ชายาติ้งอ๋องพูดมานั้นข้ารับรู้แล้ว”

 

 

เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นมองบุรุษบนบัลลังก์มังกร แล้วขมวดคิ้วน้อยๆ

 

 

ม่อจิ่งฉีไม่เปิดโอกาสให้นางได้พูดอันใดอีก ลุกขึ้นโบกมือกล่าวว่า “เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว ชายาติ้งอ๋องกลับไปก่อนเถิด”

 

 

เยี่ยหลีนึกทอดถอนใจเบาๆ ยอบกายลงเล็กน้อยเอ่ยว่า “เยี่ยหลีทูลลา”

 

 

เมื่อออกจากห้องทรงพระอักษร เยี่ยหลีก็เตรียมตัวจะกลับตำหนัก แต่กลับถูกขวางเอาไว้เสียก่อน โดยนางกำนัลที่ดูคุ้นหน้าสองคน “พระชายา พระสนมกุ้ยเฟยเชิญท่านไปพบเพคะ”

 

 

เยี่ยหลีนึกย้อนไปก็พอจำได้ว่านางกำนัลสองคนนี้เป็นนางกำนัลใหญ่ข้างกายหลิ่วกุ้ยเฟย และนึกขึ้นถึงเรื่องที่ได้ยินเมื่อครั้งที่อยู่ในป่าเถาเมื่อคราที่แล้ว รวมถึงสายตาประหลาดของหลิ่วกุ้ยเฟยที่มองตนทุกครั้งที่พบหน้า ก็อดรู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมาไม่ได้ นางเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้ามีเรื่องต้องไปจัดการ ฝากท่านทั้งสองช่วยขออภัยพระสนมกุ้ยเฟยแทนข้าด้วย”

 

 

เมื่อนางกำนัลทั้งสองได้ยินดังนั้นก็หันสบตากัน แต่กลับมิมีผู้ใดยอมขยับหลีกทางให้ เอ่ยอย่างแน่วแน่ว่า “พระชายาโปรดอภัยด้วย พระสนมกุ้ยเฟยมีเรื่องสำคัญอยากหารือกับพระชายาเพคะ”

 

 

เยี่ยหลีปรายตามองนางกำนัลที่เอ่ยกับนางเรียบๆ เลิกคิ้วกล่าวว่า “อ้อ แต่หากข้าไม่มีเวลาจริงๆ เช่นนั้นควรทำเช่นไรดีหรือ”

 

 

“เรื่องนี้…เช่นนั้นก็ขออภัยที่พวกบ่าวต้องล่วงเกิน” ทั้งสองคนเดินขึ้นหน้ามาด้วยฝีเท้าที่มั่นคง และแววตาเป็นประกาย ดูออกมาว่าเป็นคนที่เคยฝึกวิชามาพอสมควร

 

 

เยี่ยหลียกมือขึ้นโบกเบาๆ เป็นสัญญาณบอกองครักษ์ลับที่อยู่โดยรอบว่าไม่จำเป็นต้องแสดงตัวออกมา นางขมวดคิ้วมองไปทางด้านหลังของนางกำนัลทั้งสอง เอ่ยพร้อมยิ้มเยาะว่า “พระสนมกุ้ยเฟยช่างกล้าหาญนัก ถึงกับกล้าทำร้ายข้าหน้าห้องทรงพระอักษรเชียวหรือ”

 

 

“หากเจ้ายอมมาคุยกับข้าดีๆ เหตุใดข้าจะต้องทำร้ายเจ้าด้วย” หลิ่วกุ้ยเฟยเดินเรื่อยๆ ออกมาจากมุมหนึ่งของตำหนัก น้ำเสียงของนางยังคงเรียบเย็นเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เพียงแต่เยี่ยหลีกลับอดนึกถึงน้ำเสียงเจ็บปวดของนางในป่าเถาเมื่อครานั้นไม่ได้

 

 

หลิ่วกุ้ยเฟยมีใจรักม่อซิวเหยาแต่มิอาจได้ครอบครอง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องบอกว่าน่าสงสาร เพียงแต่เยี่ยหลีเป็นภรรยาของม่อซิวเหยาจึงมิได้รู้สึกเห็นใจนางสักเท่าไร ดังนั้นเมื่อเห็นหลิ่วกุ้ยเฟยเดินออกมา จึงเพียงเอ่ยเรียบๆ ว่า “ไม่ว่ากุ้ยเฟยคิดอยากหารือเรื่องใด แต่ที่ท่านให้คนของท่านมาทำร้ายข้าในวังเช่นนี้ พระสนมกุ้ยเฟยได้คิดถึงผลที่จะตามมาบ้างหรือไม่”

 

 

ริมฝีปากงดงามของหลิ่วกุ้ยเฟยยกยิ้มขึ้นเพียงบางเบา “ผลที่ตามมาหรือ เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะทำอันใดข้าเพื่อคนอย่างเจ้าหรือ ที่ก่อนหน้านี้ทุกคนยอมอ่อนให้เจ้า ก็ด้วยเพราะความสัมพันธ์กับติ้งอ๋อง ยามนี้เมื่อติ้งอ๋องไม่อยู่ในเมืองหลวง เจ้าคิดว่าอาศัยเพียงฐานะชายาติ้งอ๋องของเจ้าจะมีประโยชน์อันใดหรือ”

 

 

เยี่ยหลีมองสายตาเหยียดหยามของหญิงงามตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้า นางก็รับรู้ได้ถึงสายตาเหยียดหยามและเยาะหยันที่หลิ่วกุ้ยเฟยมีต่อนาง คงด้วยเพราะในสายตาของหลิ่วกุ้ยเฟย นอกจากตัวนางเองแล้วมิมีผู้ใดที่คู่ควรกับม่อซิวเหยาอยู่อีกกระมัง เพียงแต่น่าเสียดาย ม่อซิวเหยาไม่ถูกใจนาง…

 

 

“ถ้าเช่นนั้น มีเรื่องอันใดเชิญพระสนมกุ้ยเฟยเอ่ยมาตรงนี้เลยเถิด” เยี่ยหลีขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น

 

 

ปลายคางเรียวของหลิ่วกุ้ยเฟยยกเชิดขึ้น มองจ้องเยี่ยหลี “เดินไปพร้อมกับข้าเถิด”

 

 

เยี่ยหลียิ้มบางๆ หมุนตัวเดินออกไปทางประตูวัง”

 

 

“เยี่ยหลี!” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยเรียกเสียงเข้ม เมื่อเห็นเยี่ยหลีหมุนตัวเดินจากไปอย่างไม่ลังเลเช่นนั้น จึงเอ่ยด้วยความร้อนใจและหัวเสียว่า “ขวางนางเอาไว้!”

 

 

นางกำนัลทั้งสองรีบเร่งฝีเท้าก้าวเข้าไปขวางเยี่ยหลีไว้ซ้ายคนขวาคนทันที ดวงตาเยี่ยหลีเป็นประกายเย็นเยียบ ในแขนเสื้อของนางมีประกายของมีคมวาดผ่าน ชุดสีเงินอ่อนโบกสะบัดท่ามกลางแสงอาทิตย์เป็นประกายแสบตา พร้อมกับเลือดสดๆ ที่สาดกระเซ็นออกมาสองสาย

 

 

“โอ้ย…!”

 

 

เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นพร้อมกันสองเสียง นางกำนัลทั้งสองจับข้อมือตนเอง มองสตรีในชุดสีเงินตรงหน้าด้วยใบหน้าขาวซีดและตื่นตกใจ เลือดสดๆ ซึมลงไปตามแขนเสื้อยาวสีชมพูโดยทันที

 

 

เยี่ยหลียกกริชในมือขึ้นมอง ก็เห็นเลือดสดๆ ไหลไปตามคมมีดในมือ ก่อนค่อยๆ หยดลงบนพื้นดินใกล้ฝ่าเท้า

 

 

หลิ่วกุ้ยเฟยที่สีหน้าเรียบเย็นมาโดยตลอด ก็ยังอดหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้ ถึงแม้นางจะไม่ถือว่าเป็นยอดฝีมือ แต่ในบรรดาสตรีด้วยกันแล้วก็ถือว่าเป็นหัวกะทิ แต่เมื่อครู่ นางกลับมองไม่ชัดด้วยซ้ำว่าเยี่ยหลีออกอาวุธตั้งแต่เมื่อใด สายตาดุเย็นมองจ้องเยี่ยหลีโดยที่หลิ่วกุ้ยเฟยพูดไม่ออกอยู่พักใหญ่

 

 

เยี่ยหลีมองตอบหลิ่วกุ้ยเฟยด้วยสายตาสบายๆ โดยไม่คิดแม้แต่จะขอโทษหรืออธิบายที่ตนทำร้ายคนของนางไปเมื่อสักครู่

 

 

นางกำนัลทั้งสองจับข้อมือของตนไว้ สายตาที่มองเยี่ยหลีเต็มไปด้วยความตกใจและตื่นกลัว

 

 

“เยี่ยหลี! เจ้าช่าง…” หลิ่วกุ้ยเฟยโกรธจนหน้าซีดขาว มองจ้องเยี่ยหลีเขม็ง

 

 

เยี่ยหลีเหลือบมองนางเรียบๆ ก่อนหมุนตัวเดินออกจากวังไป นางกำนัลทั้งสองที่ยืนขวางหน้านางอยู่ก่อนหน้านี้ รีบหลีกทางหลบให้นางทันที ด้วยเกรงว่าหากเข้าไปขวางสตรีตรงหน้าอีกจะทำให้พวกตนต้องเสียมือข้างหนึ่งไป

 

 

เมื่อออกจากประตูวังมาได้ ก็เห็นคณะเฟิ่งจือเหยาและจั๋วจิ้งกำลังยืนจ้องปากประตูวังอยู่ เมื่อเห็นเยี่ยหลีเดินออกมาสีหน้าของพวกเขาดูย่ำแย่ไม่น้อย

 

 

เฟิ่งจือเหยาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงว่า “พระชายา เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ ฝ่าบาทเชื่อที่พวกเราพูดหรือไม่”

 

 

เยี่ยหลีโบกมือ “ไม่มีอันใด ฝ่าบาทจะเชื่อหรือไม่ รอดูพรุ่งนี้ก็รู้แล้ว ถ่ายทอดคำสั่งลงไป กองทัพในบัญชาการของตำหนักติ้งอ๋องทั้งหมดเตรียมตัวให้พร้อม หากพรุ่งนี้ในวังยังไม่มีท่าทีอันใดอีก…”

 

 

สีหน้าเฟิ่งจือเหยาเปลี่ยนไป เอ่ยเสียงต่ำว่า “พระชายาคิดจะเคลื่อนพลกองกำลังตระกูลม่อหรือ หากทำเช่นนี้จะเป็นข้ออ้างให้ฝ่าบาทจัดการตำหนักติ้งอ๋องนะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีหันกลับไปถามเขาว่า “ยามนี้ไม่มีข้ออ้างฝ่าบาทก็จะไม่จัดการตำหนักติ้งอ๋องอย่างนั้นหรือ อีกอย่าง…หากครานี้ซีหลิงรีบยกทัพมาอย่างรวดเร็วจริงๆ หากเราช้าไปเสียเกรงว่าต่อไปสถานการณ์รบคงไม่เอื้อกับพวกเรา เจ้าวางใจเถิด กองกำลังที่อยู่โดยรอบเมืองหลวงยามนี้คงยังเคลื่อนพลไม่ได้ ฝ่าบาทจะหาข้ออ้างอย่างไรก็คงอ้างเรื่องนี้ไม่ได้ จั๋วจิ้ง กลับไปนี้เรียกให้ฉินเฟิงมาพบข้าที”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ” จั๋วจิ้งเอ่ยรับเสียงขรึม “สายเพิ่งส่งข่าวมาว่า ช่วงนี้ทหารบริเวณชายแดนของซีหลิงพร้อมที่จะเคลื่อนพลตั้งแต่หนึ่งเดือนก่อนแล้ว เกรงว่าข่าวของมู่ฉิงชังคงจะเป็นเรื่องจริงพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

สายตาเยี่ยหลีเยียบเย็นลงทันที “ท่านอ๋องพูดไว้ไม่ผิด พวกเศษสวะตามชายแดนนั้นควรเปลี่ยนออกได้แล้ว! กลับตำหนัก!”

 

 

เช้าวันต่อมาเมื่อออกว่าราชการตอนเช้า ฝ่าบาทมิได้เอ่ยถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชายแดนแคว้นซีหลิงเลยแม้แต่น้อย”

 

 

วันที่สาม ในวังยังคงไม่มีการส่งข่าวใดๆ ออกมา

 

 

วันที่สี่ หลังจากออกว่าราชการยามเช้าสิ้นสุดลง ฝ่าบาทได้เรียกขุนนางใกล้ชิดที่ตนไว้ใจไปเข้าเฝ้ายังห้องทรงพระอักษร แต่กลับยังคงไม่มีข่าวเรื่องการเคลื่อนกำลังทัพหรือเสบียงอาหารออกมาให้ได้ยิน

 

 

บรรยากาศภายในตำหนักติ้งอ๋องเองก็หนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ ตามข่าวคราวที่เงียบหายของในวังหลวง เยี่ยหลีนั่งฟังรายงานล่าสุดเกี่ยวกับหัวข้อราชการในยามเช้าอยู่ภายในห้องหนังสือ นางหลับตาลงด้วยความอ่อนเพลียใจ เอ่ยเสียงขรึมขึ้นว่า “ฉินเฟิง”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ” ฉินเฟิงเอ่ยตอบเสียงขรึม

 

 

“บททดสอบที่จัดไว้เดิมให้ยกเลิกไปก่อน คืนนี้เจ้าออกนำหน่วยนั้น แล้วรีบไปยังชายแดนให้เร็วที่สุด”

 

 

ฉินเฟิงตอบรับโดยไม่ลังเล “ข้าน้อยรับบัญชา”

 

 

เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นมองเขา “ข้ามิได้ต้องการให้เจ้านำคนไปร่วมรบยังบริเวณชายแดน คนเพียงจำนวนเท่านั้นของพวกเจ้าต่อให้ขัดขวางคนจำนวนเป็นร้อยได้ แต่ก็มิอาจขวางกองทัพใหญ่นับแสนนายได้ เจ้าแบ่งกำลังออกไปยังชายแดนจุดต่างๆ สืบหาข่าวเกี่ยวกับซีหลิงและสถานการณ์รบทั้งหมดมาที”

 

 

ฉินเฟิงพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าน้อยเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ไปเถิด”

 

 

สงครามปะทุขึ้นเร็วกว่าที่เยี่ยหลีคาดการณ์ไว้มาก ด้วยเพราะวันที่ซีหลิงเริ่มยกทัพมิใช่วันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนแปด แต่เป็นวันขึ้นเก้าค่ำเดือนแปด พอล่วงเข้าวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนแปดข่าวที่กองทัพแคว้นซีหลิงเคลื่อนพลเข้ามาก็แพร่ไปถึงเมืองหลวงของต้าฉู่แล้ว แต่ข่าวที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ ครานี้เจิ้นหนานอ๋องแห่งแคว้นซีหลิงนำทัพใหญ่ห้าแสนนายบุกต้าฉู่ด้วยตนเอง เพื่อเป็นการล้างอายที่ได้เคยพ่ายแพ้ต่อม่อหลิวฟางไปเมื่อในคราก่อน

 

 

ทัพใหญ่ของซีหลิงลอบฝึกฝนและเสริมสร้างความแข็งแกร่งอยู่หลายปี ตลอดทางที่ยกทัพมา ง่ายดายประหนึ่งการฟันกระบอกไม้ไผ่ ภายในหนึ่งวันสามารถตีเมืองแตกได้ถึงสองเมือง จึงเกิดความสั่นสะเทือนขึ้นบนแผ่นดินต้าฉู่โดยทันที เยี่ยหลีที่ในขณะนี้มีฐานะเป็นนายหญิงแห่งตำหนักติ้งอ๋อง จึงถูกฮ่องเต้เรียกเข้าวังไปหารือในเรื่องนี้เป็นการด่วน

 

 

ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน เยี่ยหลีได้กลับเข้าไปเหยียบห้องทรงพระอักษรอีกครั้ง ซึ่งสถานการณ์แตกต่างจากคราก่อนอย่างสิ้นเชิง เพียงก้าวเข้าไปในห้องทรงพระอักษร นางก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันหนักอึ้งภายในห้องทันที

 

 

เยี่ยหลีกวาดตามองทุกคนที่อยู่ภายในห้องทรงพระอักษร ก็เห็นมีเสนาบดีหลิ่ว มู่หยางโหว แม่ทัพเจิ้นกั๋ว หนานโหว หนานโหวซื่อจื่อ เหลิ่งฉิงอวี่ ฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่า และยังมีชายหนุ่มที่เยี่ยหลีคุ้นหน้าแต่ไม่รู้จักอยู่อีกผู้หนึ่ง เขามิได้อยู่ในชุดขุนนาง แต่อยู่ในชุดผ้าไหมและยืนอยู่ข้างโต๊ะหนังสือของม่อจิ่งฉี เยี่ยหลีขมวดคิ้ว สัญชาตญาณนางบอกว่ามิค่อยชอบคนผู้นี้สักเท่าไร สายตาคมของคนผู้นี้ดูคิดใคร่ครวญสิ่งใดอยู่ตลอดเวลา ซึ่งได้ทำลายเสน่ห์บนใบหน้าที่ถือว่าหล่อเหลาลงไปทันที

 

 

เยี่ยหลีหลุบตาลง ภายในห้องทรงพระอักษรมีคนอยู่ด้วยกันแปดคน เสนาบดีหลิ่ว มู่หยางโหว และแม่ทัพเจิ้นกั๋วล้วนเป็นคนที่ฮ่องเต้ไว้วางพระทัยทั้งสิ้น ส่วนหนานโหวมิได้สนใจราชกิจมาแต่ไหนแต่ไร ฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่าถึงแม้จะมีความใกล้ชิดกับตำหนักติ้งอ๋อง แต่ด้วยวัยที่มากแล้วจึงพักผ่อนอยู่แต่ในจวนมาหลายปี

 

 

“เยี่ยหลีถวายพระพรฝ่าบาท” เยี่ยหลีเอ่ยพร้อมยอบกายลงเล็กน้อย

 

 

“กระหม่อมคารวะชายาติ้งอ๋อง” ทุกคนต่างเอ่ยขึ้นและทำความเคารพขึ้นพร้อมกัน

 

 

ม่อจิ่งฉีโบกมือด้วยความร้อนใจ “ชายาติ้งอ๋องไม่ต้องมากพิธี เกิดสถานการณ์คับขันในช่วงแปดร้อยลี้จากชายแดน ชายาติ้งอ๋องได้ยินเรื่องนี้แล้วหรือยัง”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า

 

 

ม่อจิ่งฉีขมวดคิ้วถามว่า “ทุกท่านมีความเห็นเช่นไรบ้าง”

 

 

ฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่าเดินขึ้นหน้ามาคนแรก “ย่อมต้องส่งกำลังเสริมไปช่วยเหลือทันทีพ่ะย่ะค่ะ เราต้องโจมตีกองทัพซีหลิงอย่างหนัก พวกมันจะได้ไม่คิดว่าต้าฉู่ของพวกเราจะยอมให้มันรังแกง่ายๆ!”

 

 

ม่อจิ่งฉีขมวดคิ้วเอ่ยว่า “กั๋วกงผู้เฒ่าก็ได้ยินข่าวแล้วหรือ กองทัพซีหลิงมีเจิ้นหนานอ๋องนำทัพมาด้วยตนเอง ในปีนั้นถึงแม้เจิ้นหนานอ๋องจะพ่ายแพ้และต้องเสียแขนไปข้างหนึ่ง แต่ก็ต่างกันเพียงแขนหนึ่งข้างเท่านั้น เขามีชื่อเสียงเป็นเทพแห่งสงครามในซีหลิงมาโดยตลอด ทุกท่านเห็นว่าจะให้แม่ทัพคนใดเป็นผู้นำทัพไปถึงจะดีหรือ”

 

 

มู่หยางโหวและแม่ทัพเจิ้นกั๋วเหลือบมองหน้ากัน ต่างอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้

 

 

ฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่าส่งเสียหึขึ้นเบาๆ ก้าวขึ้นหน้าไปเอ่ยว่า “กระหม่อมถึงแม้จะชราภาพมากแล้ว แต่ก็ยินดีนำทัพออกไปรับศึก เพื่อสำแดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของแคว้นต้าฉู่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เมื่อกล่าวออกไปเช่นนี้ มู่หยางโหวและแม่ทัพเจิ้นหนานต่างอดหน้าเปลี่ยนสีไมได้ เหลิ่งฉิงอวี่และหนานโหวซื่อจื่อที่ยืนอยู่แถวหลังต่างเดินออกจากแถวมากล่าวว่า “กระหม่อมยินดีนำทัพออกไปรับศึก เพื่อสำแดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของต้าฉู่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ม่อจิ่งฉีหันมองทั้งสอง หัวเราะออกมาด้วยความพอใจ “กั๋วกงผู้เฒ่ากล่าวเกินไปแล้ว ด้วยอายุของกั๋วกงผู้เฒ่า สมควรที่จะได้พักผ่อนและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้แล้ว หากข้ายังส่งกั๋วกงผู้เฒ่าออกไปทำศึกอีก คงมีแต่จะทำให้บุรุษในแผ่นดินต้าฉู่ไม่มีที่ให้สร้างเกียรติยศใช่หรือไม่ ทุกท่านเห็นว่าอย่างไรบ้าง”

 

 

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา”