บทที่ 251: ได้เวลาเอาจริงแล้ว

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END

บทที่ 251: ได้เวลาเอาจริงแล้ว

ลิเลียนฟังคำพูดของกลินท์เงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไร ซึ่งกลินท์ก็ได้เข้าใจผิดว่านั่นเป็นการแสดงท่าทีว่าเธอกำลังเชื่อมั่นในโรเอล

กลินท์ได้ถูกสั่งสอนมาตั้งแต่ยังเด็กว่ายิ่งสายเลือดบริสุทธิ์มากเท่าไรก็ยิ่งมีเกียรติมากขึ้นเท่านั้น และสายเลือดที่บริสุทธิ์ที่สุดก็คือตระกูลขององค์จักรพรรดิ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์หญิงลิเลียนที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ ไร้ที่ติในแง่ของรูปลักษณ์ เป็นดั่งเทพธิดาเพียงหนึ่งเดียวในรุ่น

แม้ว่าลิเลียนจะวิเศษแค่ไหน แต่เด็กสาวก็ยังมีข้อบกพร่องที่ร้ายแรงอยู่ นั่นก็คือความเย็นชาของเธอ ราวกับว่าไม่น่าจะมีอะไรมากวนใจเธอได้เลย เมื่อปีที่แล้ว แม้ว่ากลินท์จะได้เป็นผู้ถือครองแหวนกุหลาบอีกคนให้แก่จักรวรรดิออสทีน แต่อีกฝ่ายก็ยังแสดงความยินดีโดยแทบจะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าใด ๆ เลยแม้แต่น้อย

ทว่าจู่ ๆ สาวงามอันเยือกเย็นคนนี้ก็ได้แสดงความสนใจในตัวนักเรียนใหม่ทั้งสอง นั่นก็คือ พอล แอคเคอร์มันน์ และโรเอล แอสคาร์ด

แม้ว่ากลินท์จะดูถูกเหยียดหยามพอล แต่เขาก็พอจะเข้าใจได้ว่าทำไมลิเลียนถึงสนใจอีกฝ่าย แม้ว่าพอลจะไม่ใช่เลือดบริสุทธิ์ แต่เขาก็มีสายเลือดของตระกูลแอคเคอร์มันน์ไหลเวียนอยู่ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่ลิเลียนจะแสดงความห่วงใยแก่เขา

อย่างไรก็ตามกลินท์ไม่เข้าใจสถานการณ์ในกรณีของโรเอล

คนป่าเถื่อนจากจักรวรรดิเซนต์เมซิทคนนี้ ดึงดูดสายตาของฝ่าบาทได้อย่างไรกัน?

“เขาก็แค่นักเรียนใหม่ที่มีอุปกรณ์เวทดี ๆ อยู่ในมือ ไม่มีอะไรน่าจดจำ ผมได้ยินเรื่องของครอนกับไลท์แล้ว เขาเป็นคนที่ปราบสองคนนั้นได้ใช่ไหมล่ะ”

กลินท์เอื้อมมือไปหยิบถ้วยไวน์ พลางเหลือบมองไปที่โรเอลที่มือว่างเปล่าในจอฉายภาพและหัวเราะเบา ๆ

“ช่างน่าเสียดายจริง ๆ ที่เขาไม่สามารถนำอุปกรณ์เวทเข้ามาในโบราณสถานได้ หากไม่มีไพ่ตายนั่น เขาก็ไม่ต่างอะไรไปจากเด็กใหม่คนอื่น ๆ เลย”

ขณะที่นักเรียนปีหนึ่งต่างชื่นชมโรเอลที่ได้ก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อรักษาความยุติธรรม แต่สำหรับกลินท์แล้ว เขาคิดว่าโรเอลได้ออกมาจัดการรุ่นพี่ เพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง ความรู้สึกภาคภูมิใจของกลินท์ในฐานะขุนนางจากจักรวรรดิออสทีนได้บดบังการตัดสินของเขาด้วยอคติ

ซึ่งลิเลียนคิดว่ามันเป็นอะไรที่ไร้สาระและน่าขันมาก

ด้วยที่เธอเป็นสมาชิกคนหนึ่งของราชวงศ์ ลิเลียนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องยอมรับแนวคิดเลือดบริสุทธิ์ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอยึดมั่นในแนวคิดที่แทบไม่มีหลักฐานอะไรรองรับดังกล่าวเลย เหตุผลเดียวที่เธอจับตาดูโรเอล เป็นเพราะความสนใจที่เธอรู้สึกขณะกำลังกดดันโรเอลตอนช่วงเช้า

ทีแรกลิเลียนตั้งใจที่จะกดดันโรเอล เพื่อส่งคำเตือนไม่ให้เขาเข้าใกล้พอล มันเป็นแรงกดดันมหาศาลที่ไม่ใช่ว่าใคร ๆ จะทนได้ แม้แต่กลินท์เองก็ยังต้องศิโรราบลงต่อหน้าแรงกดดันของเธอ

ทว่าโรเอลกลับทนแรงกดดันนั้นได้อย่างสงบนิ่ง นอกจากนี้ลิเลียนยังรู้สึกแปลกประหลาดระหว่างการเผชิญหน้าครั้งนั้นอีกด้วย

แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ชั่วพริบตา แต่เด็กสาวก็รู้สึกเหมือนว่าตนเองกำลังถูกบางสิ่งที่อยู่ในร่างของโรเอลจ้องมองมา มันเป็นตัวตนที่ทรงพลังมากเสียจนแม้แต่เธอเองก็ต้องระมัดระวัง

“ความเย่อหยิ่งและความอยุติธรรมจะทำให้การประเมินสถานการณ์ของเธอแย่ลง”

ลิเลียนเตือนกลินท์

นัยน์ตาสีอเมทิสต์ของเด็กสาวตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนว่าเด็กหนุ่มผมดำนั้นวางตำแหน่งตัวเองอย่างไร ก่อนจะพูดต่อ

“และดูเหมือนว่าเขาจะรู้เรื่องต้นไม้แล้วสินะ”

ฝูงหมาป่าทรงพลังแค่ไหน?

หากเป็นในอดีตชาติ โรเอลคงไม่มีคำตอบที่ชัดเจนสำหรับคำถามนี้ ชาวเมืองอย่างเขารู้เรื่องสัตว์ป่าน้อยมาก และความรู้ส่วนใหญ่มาจากสารคดีหรือวิดีโอออนไลน์

ทว่าหลังจากได้มาที่ทวีปเซีย โรเอลก็เริ่มได้สัมผัสกับสัตว์ป่าจริง ๆ ในช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่งตัวแทนผู้ปกครองเขตการปกครอง เขาต้องออกสำรวจพื้นที่ต่าง ๆ ล่วงหน้าเพื่อตรวจดูว่ามีสัตว์ป่าชนิดไหนอยู่ในพื้นที่บ้าง ซึ่งสัตว์ร้ายที่เขาต้องระวังเป็นพิเศษก็คือหมาป่า ถึงขั้นที่ต้องมีเครื่องหมายพิเศษเขียนบอกให้ชาวบ้านรอบ ๆ พยายามหลีกเลี่ยงพื้นที่อาณาเขตของพวกมัน

ฝูงหมาป่าปีศาจกลายพันธุ์นั้นน่ากลัวกว่าหมาป่าและโจรทั่ว ๆ ไปมาก มันเป็นฝันร้ายโดยแท้จริงสำหรับขุนนางผู้ปกครองเขตการปกครอง ถ้าเลือกได้โรเอลขอยอมสู้กับสัตว์อสูรระดับแก่นแท้ 4 แทนที่จะต้องมาเผชิญหน้ากับฝูงหมาป่าปีศาจกลายพันธุ์ ระดับแก่นแท้ 6 ซะยังจะดีกว่า

หากเป็นสัตว์อสูรระดับแก่นแท้ 4 โรเอลก็เพียงแค่ต้องส่งทีมที่มีพลังแข็งแกร่งเหนือกว่าระดับแก่นแท้ 4 จากนั้นเรื่องก็จะจบลงอย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตามถ้าเขาส่งทีมเดียวกันไปจัดการกับฝูงหมาป่าปีศาจกลายพันธุ์ เขาคงจะต้องสวดอ้อนวอนขอให้มีผู้บาดเจ็บน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

อย่างไรก็ตามตอนนี้นักเรียนคนอื่น ๆ ส่วนใหญ่ ดูเหมือนจะลืมไปแล้วว่า ฝูงหมาป่าปีศาจกลายพันธุ์นั้นน่ากลัวเพียงใด ส่งผลให้พวกเขาต้องชดใช้ความเขลาของตนเอง

เหล่านักเรียนใหม่ต่อสู้กับฝูงหมาป่ามานานกว่าสิบนาทีแล้ว และจำนวนทางฝั่งของนักเรียนก็ลดลงไปเป็นอย่างมาก

“ออกไปสิ! ให้ตายสิเถอะ… อ๊ากกกก!”

นักเรียนอีกคนหนึ่งถูกหมาป่าปีศาจกัดดาบเอาไว้ ทำให้เขาหมดหนทางเมื่อหมาป่าตัวอื่นพุ่งเข้ามาหา เขาส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่ร่างจะสลายหายไปในอากาศ เหลือเพียงวิญญาณนำทางของเขาที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง เพื่อดูดซับพลังเวทที่กระจัดกระจายจากสัตว์อสูรที่เขาฆ่าไปก่อนหน้านี้

คะแนนของนักเรียนใน ‘ค่ำคืนแห่งปีศาจ’ จะถูกจัดตารางโดยอัตโนมัติผ่านวิญญาณนำทาง โดยวิญญาณนำทางจะดูดซับพลังเวทที่ปล่อยออกมาจากสัตว์อสูรที่ถูกฆ่าโดยนักเรียนที่เป็นเจ้าของมัน และยิ่งมันดูดซับพลังเวทได้มากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งส่องแสงสว่างขึ้นเท่านั้น ตอนนี้จำนวนหมาป่าและนักเรียนลดจำนวนลงไปมากจนวิญญาณนำทางของนักเรียนที่รอดมาได้แต่ละคนต่างก็เรืองแสงเกือบเท่าหลอดไฟแล้ว

ทว่าวิญญาณนำทางของโรเอลนั้นยังคงดูเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

ด้วยกรงเล็บกระดูกในมือ โรเอลฟาดฟันหมาป่าปีศาจเละจนกลายเป็นก้อนเนื้อ ก่อนจะหยุดประเมินสภาพแวดล้อมของตนอีกครั้ง เขาตั้งรับการโจมตีมาโดยตลอด จัดการกับหมาป่าที่เข้ามาหาเท่านั้น พฤติกรรมของโรเอลดูแปลกมากหากเทียบกับคนอื่น ระหว่างที่นักเรียนส่วนใหญ่จดจ่ออยู่กับหมาป่าที่ระดับพื้นดิน เด็กหนุ่มผมดำกลับจ้องมองไปบนท้องฟ้าอย่างระมัดระวัง ดวงตาสีทองของเขาจับจ้องไปที่ต้นไม้ใหญ่รอบ ๆ ตัว ขณะที่เขารู้สึกว่าความเข้มข้นของพลังเวทในอากาศนั้นค่อย ๆ เพิ่มขึ้น

“มันใกล้จะถึงเวลาแล้วสินะ”

โรเอลพึมพำออกมาเบา ๆ

วินาทีต่อมา ทั่วทั้งผืนป่าก็เริ่มสั่นสะเทือน ก่อนที่มนุษย์และหมาป่าจะไหวตัวทัน ภัยพิบัติก็เกิดขึ้นกับพวกเขาแล้ว

กรร!

เสียงแหบแห้งดังก้องไปในอากาศ ส่งสัญญาณถึงการเริ่มต้นระลอกใหม่ของสงคราม พลังเวทสั่นสะเทือนแผ่ขยายกระเพื่อมมาจากต้นไม้ ทำให้นักเรียนหลายคนต้องถอยหลังออกมาเมื่อสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงบนลำต้นของต้นไม้

ต้นไม้หนาทึบหลายสิบต้นกระแทกลงบนพื้นในทันที เล็งไปที่เหล่านักเรียนโดยเฉพาะคนที่มีวิญญาณนำทางสว่างที่สุด มันเป็นการจู่โจมอย่างกะทันหันโดยที่ไม่คาดคิด ทำให้เหล่านักเรียนที่แม้จะสามารถจัดการกับฝูงหมาป่าปีศาจจนสะสมคะแนนมาได้ถึงตอนนี้ถูกกำจัดในพริบตา

เสียงกรีดร้องอันน่าสังเวชและเสียงของเนื้อถูกบดดังก้องไปทั่ว ริมฝีปากของเหล่าเทรนท์ม้วนตัวขึ้นอย่างน่าขนลุกราวกับเยาะเย้ยความโง่เขลาของมนุษย์ โดยที่ไม่รู้เลยว่าเด็กหนุ่มผมสีดำที่ยืนอยู่ตรงมุมเองก็มองมาที่พวกมันด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเหล่าเทรนท์ พลังเวทของโรเอลถูกส่งไปรอบ ๆ ตัวของเขา จุดไฟที่มีส่วนผสมของเปลวไฟและสายฟ้าขึ้นมา ก่อนจะแผ่รัศมีสีแดงเข้มอันน่าสยดสยอง ปรากฏขึ้นเป็นเงาของตัวตนจากยุคโบราณกาลท่ามกลางหมอก กระแทกหมัดลงมาด้วยแรงมหาศาลราวกับอุกกาบาต

ตูม!

เหล่าเทรนท์ระเบิดกระจายด้วยพลังอันแรงกล้าของหมัดยักษ์ ส่งผลให้วิญญาณนำทางเพียงตัวเดียวที่ยังไม่เปล่งแสง ขยายตัวด้วยความเร็วอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ส่องแสงประกายสว่างไสวพร้อมกับรอยยิ้มของเด็กหนุ่มผมดำก็ถูกเปิดเผยขึ้นต่อหน้าเหล่าเทรนท์ที่เหลือรอด

“ถึงเวลาที่ฉันจะต้องเลิกเล่นละครและเอาจริงได้แล้วสินะ ”