บทที่ 243 ไม่เอารางวัลนี้ได้หรือไม่
ณ เมืองเล็กเซียน ลานกว้างเฉพาะของแดนเทพสวรรค์
ซ่งฟู้กุ้ยนั่งเหม่อในลานบ้าน หน้านิ่วคิ้วขมวด
ฉินอวิ๋นตี๋และพวกหลิวไท่อี่เห็นดังนั้นก็เข้ามากันด้วยความเป็นห่วง
“ศิษย์น้องซ่ง เป็นอะไร มีเรื่องไม่สบายใจอะไรก็พูดมาให้พวกเราแบ่งเบาบ้าง ผ่านการฝึกสนามรบครั้งนี้มา เราถือว่าเป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายกันแล้ว มีอะไรก็บอกมาได้เลย”
“ศิษย์พี่ฟู้กุ้ย ข้าหลิวไท่อี่ชีวิตนี้นอกจากท่านเซียนแล้วไม่เคยยอมใคร มีอะไรก็บอกมาได้เลย ข้าจะช่วยเจ้าแน่นอน!”
…..
เมื่อได้ฟังคำพูดห่วงใยจากเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องรอบกาย ซ่งฟู้กุ้ยก็ถอนหายใจ “เฮ้อ เรื่องมันยาว!”
ฉินอวิ๋นตี๋หรี่ตาลง “เช่นนั้นศิษย์น้องก็เล่าสั้นๆ สิ!”
ซ่งฟู้กุ้ยพูดด้วยความคับแค้นใจ “ก็เมื่อครู่นี้ ลูกชายดวงซวยนั่นของข้ามาเมืองเล็กเซียน บอกข้าว่าเขากำลังดูใจกับคุณหญิงใหญ่ของตระกูลซ่ง”
ดูใจกับคุณหญิงใหญ่ตระกูลซ่งหรือ
พวกฉินอวิ๋นตี๋มองหน้ากัน นี่ไม่ใช่เรื่องดีรึ
ทุกคนรู้ว่าเดิมทีซ่งฟู้กุ้ยเป็นสายรองของตระกูลขุนนางซ่งผู้ฝึกบำเพ็ญเซียนใกล้ๆ กับอาณาจักรต้าเหยียน
แม้ตระกูลขุนนางบำเพ็ญเซียนตระกูลซ่งนี่จะอ่อนแอมาก บรรพบุรุษที่แกร่งที่สุดก็แค่จุดสูงสุดระดับแก่นพลังทอง
แต่ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นตระกูลใหญ่ของซ่งฟู้กุ้ย บุตรชายซ่งฟู้กุ้ยได้หัวใจของคุณหญิงใหญ่ตระกูลซ่ง นี่ไม่ควรจะทำให้เขาหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่ใช่หรือ
หลิวไท่อี่พูด “ลูกหลานก็มีความสุขของลูกหลาน บุตรชายเจ้าได้หมั้นหมายแล้ว เจ้าควรจะดีใจสิ”
ซ่งฟู้กุ้ยส่ายหน้า “ข้าไม่ได้ทุกข์ใจเพราะเขาหมั้นหมาย แต่เพราะหลังจากเจ้านี่หมั้นหมายแล้ว ก็ไม่อยู่บ้านกับลูกกับเมียสบายๆ ดันมาแจ้งข้าถึงที่นี่ ให้กลับไปเป็นเจ้าภาพงานแต่ง”
กุ้ยกงกงอึ้งไป “งานแต่งเรื่องใหญ่ ต้องมีบุพการีเป็นเจ้าภาพสิ นี่มีอะไรไม่เหมาะสมกัน”
ซ่งฟู้กุ้ยถอนหายใจ “กุ้ยเหล่าไม่รู้หรอก สายเลือดข้าเป็นสายเลือดรองของตระกูลซ่ง ไม่เคยได้รับความเคารพเลย ที่บุตรชายบ้าของข้าได้หัวใจของคุณหญิงใหญ่ตระกูลซ่ง คิดหรือว่าคุณหญิงใหญ่ตระกูลซ่งจะชอบคนหน้าตาอัปลักษณ์จริงๆ
เหอะๆ นี่ไม่ใช่เพราะข้าเข้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ต่างไปจากเมื่อก่อนหรือ ตอนนี้พวกเขาถึงทำดีกับข้าน่ะ”
ซ่งฟู้กุ้ยชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดอย่างจำใจ “เดิมทีข้าอยากจะฝึกบำเพ็ญให้สำเร็จก่อนค่อยหาทางดึงเจ้าลูกสุนัขนั่นมาเมืองศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ แบบนี้ก็จะได้สั่งสอน…อมรบและดูแลอย่างใกล้ชิด ภายภาคหน้าอาจจะมีโอกาสได้เข้าแดนศักดิ์สิทธิ์
แต่ไม่นึกเลยว่าเจ้านี่จะบ้าราคะ หลงใหลบุตรสาวของเจ้าตระกูล หมั้นหมายกันไปนานแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นข้าจะรับเขามาเมืองศักดิ์สิทธิ์ เข้าร่วมกลุ่มสวรรค์พิทักษ์รับใช้ท่านเซียน จะไม่มีอนาคตไร้ที่สิ้นสุดหรือ”
น้ำเสียงเถ้าแก่ซ่งเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจที่บุตรชายไม่ได้ดี
เจ้าลูกชายโง่นี่ ไม่มีความมานะเลย!
หลิวไท่อี่พูดปลอบ “ลูกหลานก็มีความสุขของลูกหลาน ในเมื่อบุตรชายเจ้าเจอความสุขแล้ว คนเป็นบุพการีก็ไปให้พวกเขาเถอะ!”
ซ่งฟู้กุ้ยส่ายหน้า “ข้าไม่ได้โมโหที่เขาหมั้นหมาย แต่เพราะเขามาตามให้ข้ากลับไปเป็นเจ้าภาพงานแต่งต่างหาก”
ยิ่งพูดยิ่งโมโห ซ่งฟู้กุ้ยแค่นเสียงขึ้นจมูก “ตอนนี้ข้าอยู่กับท่านปรมาจารย์สวรรค์บุตรศักดิ์สิทธิ์ พลังบำเพ็ญรุดก้าวหน้าอย่างเร็ว ประจบท่านยังไม่ทัน จะเอาเวลาที่ไหนกลับไปเป็นเจ้าภาพงานแต่งบ้านั่นกัน
นึกถึงตอนที่ข้าซ่งฟู้กุ้ยบุกเบิกทำการค้ามาหลายปี ถึงไม่กล้าบอกว่าเป็นใหญ่ในสังคม แต่ก็รู้จักบุกรู้จักถอย รู้เหตุรู้ผลมีปัญญา แต่เจ้าลูกชายบ้านั่นของข้า สมองอย่างกับถูกอุดกาว วันๆ เอาแต่สร้างปัญหาให้ข้า
นี่ยังจะให้ข้าทิ้งเรื่องการประจบกลับไปเป็นเจ้าภาพงานแต่งอีก โง่ที่สุดเลย! งานแต่งเขากับการประจบท่านเซียนอย่างไหนสำคัญกว่ากันคิดไม่ได้รึไง”
เอ่อ พูดมาตั้งนานแค่เรื่องนี้หรือ…
พอได้ฟังคำพูดของเถ้าแก่ซ่ง ทุกคนมุมปากกระตุกขึ้นมา
สมกับเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของกลุ่มสวรรค์พิทักษ์ ความรู้เรื่องการเมืองสูงส่ง ให้ความสำคัญกับสามมุมมอง!
ฉินอวิ๋นตี๋ถาม “เช่นนั้นศิษย์น้องซ่งหมายความว่าเจ้าปฏิเสธบุตรชายและให้เขากลับไปรึ”
เถ้าแก่ซ่งส่ายหน้า “ไม่ ก่อนจะไล่ให้เขากลับไปแต่งงาน ข้าได้ตั้งใจสำแดงวิชาลับวิเคราะห์ ตอนแรกข้าก็คิดจะทำเช่นนี้มานานแล้ว แค่หาวิชาลับไม่เคยเจอ แต่หลังจากเข้าแดนศักดิ์สิทธิ์ ข้าก็หมั่นฝึกฝนวิชาลับนี้
เมื่อครู่ข้าได้สำแดงวิชาลับนี้เพื่อตรวจสอบว่าเจ้าลูกไม่รักดีนี่ใช่บุตรชายแท้ๆ ของข้าหรือไม่”
เถ้าแก่ซ่งพูดพลางถอนหายใจด้วยใบหน้าเศร้า “นี่ต่างหากคือสาเหตุที่ข้าทุกข์ใจ!”
เอ่อ ซี้ด!
เหมือนขุดเจอลูกแตงใหญ่อะไรบางอย่างเข้า!
ดวงตาทุกคนแวววาวขึ้นและดูอยากรู้อยากเห็น
หลิวไท่อี่ถามด้วยความเห็นใจ “ศิษย์พี่ฟู้กุ้ย หมายความว่าอย่างไรกัน”
เจินจื้อเจี่ยดวงตาลุกวาว “หรือว่าบุตรชายเจ้าไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ ของเจ้ากัน หู บ้ามาก!”
ฉินอวิ๋นตี๋หรี่ตาลง พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์น้องซ่งวางใจเถอะ เราจะเก็บความลับให้เจ้าเอง ไม่บอกใครเด็ดขาด”
กุ้ยกงกงพูดอย่างเคร่งขรึม “ปิดปากดั่งขวด”
ฉินเกาพูดอย่างจริงจัง “ปิดปากดั่งขวด!”
สยงเหมิ่งพยักหน้า “ข้าก็สาบานเช่นกัน ปิดปากดั่งขวด”
เมื่อเห็นพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องที่พูดเสียงดังกันว่า ‘ปิดปากดั่งขวด’ แล้ว เถ้าแก่ซ่งถึงกับหนาวสั่น
“แค่กๆ”
เขาพูดด้วยความจำใจ “พวกเจ้าเข้าใจผิดแล้ว ใคร…ใครบอกว่าเจ้าลูกบ้านั่นไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ ของข้ากัน เขาใช่!”
หลิวไท่อี่ถามด้วยความฉงน “ในเมื่อบุตรชายเจ้าเป็นลูกชายแท้ๆ ของเจ้า ไฉนศิษย์พี่ถึงยังหน้านิ่วคิ้วขมวดล่ะ”
ซ่งฟู้กุ้ยอธิบาย “ก็ดูสิว่าข้าซ่งฟู้กุ้ยฉลาดเป็นหนึ่ง แต่บุตรชายกลับโง่เขลาที่สุด เดิมทีแซ่ซ่งสงสัยมาตลอดว่าเขาเป็นลูกเถ้าแก่หวังร้านข้างๆ ก็คิดว่าสักวันหนึ่งจะตรวจสอบความจริง
แต่ตอนนี้ตรวจสอบความจริงแล้ว เจ้าโง่นั่นเป็นบุตรชายแท้ๆ ของข้าจริงๆ สวรรค์! แซ่ซ่งฉลาดเป็นหนึ่ง แต่บุตรชายกลับเป็นไอ้โง่ ยังมีเรื่องใดที่กระทบกระเทือนจิตใจได้มากกว่านี้อีก”
ทุกคนจ้องเถ้าแก่ซ่ง เหมือนกำลังตัดสินว่าตาแก่นี่พูดจริงหรือไม่
ผ่านไปนาน ฉินอวิ๋นตี๋ถึงถอนหายใจ “บางครั้ง ชีวิตธรรมดาก็อาจจะเป็นความสุขอย่างหนึ่ง”
เขาพูดยิ้มๆ “ในเมื่อศิษย์น้องซ่งคิดว่าบุตรชายไม่ฉลาดพอ ก็สู้ให้โอกาสเขาเป็นคนธรรมดาเถอะ!”
ให้โอกาสเป็นคนธรรมดาหรือ
เถ้าแก่ซ่งครุ่นคิด “ช่างเถอะ วันนี้ข้าได้มอบศิลาวิญญาณกับว่านโลหิตมังกรให้เจ้าลูกบ้านี่ไปไม่น้อยแล้ว พอจะให้เขาผ่าเผยในตระกูลซ่งได้อย่างมั่นคงไปชั่วชีวิตแล้ว
ภายภาคหน้าข้าจะถือว่าไม่มีบุตรชายคนนี้ แต่จะตามท่านเซียนเดินบนเส้นทางเซียนอย่างสงบใจ หากมีโอกาส เหอะๆ บางทีอาจจะยังมีใบไม้ผลิที่สอง”
เถ้าแก่ซ่งพูดพลางรู้สึกว่าจิตใจใสสะอาด เหมือนทำลายปราการจิตใจบางอย่าง พลังบำเพ็ญก้าวหน้าไปไม่น้อย
ส่วนผลการตรวจสอบเป็นอย่างไรเหมือนจะไม่มีใครสนใจแล้ว
……
เหง่ง~!
เหง่งๆ~!
เหง่งหง่างๆๆ~!
……
เสียงระฆังดังขึ้น ศิษย์ทุกฝ่ายเซียนเริ่มมารวมกัน
พวกผู้อาวุโสอย่างผู้สูงศักดิ์สวรรค์ตันอู่ ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวขาวและผู้สูงศักดิ์จื่อพยางยืนอยู่บนฟ้าด้วยความโอหัง
พวกเขาแผ่กลิ่นอายพลังแข็งแกร่งออกมาทั้งตัว ทั้งยังมีแสงสว่างแวววับวูบไหว ทำให้คนมองเห็นใบหน้าไม่ชัด
นี่ก็คือวิชาลับเฉพาะ…มนตร์แสงเทพ
เมื่อใช้แล้วจะเพิ่มความรู้สึกลึกลับและการอวดตนของตัวเองได้ เป็นที่นิยมในยอดฝีมืออย่างมาก
ผู้สูงศักดิ์สวรรค์ตันอู่และผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวขาวเดินหน้ามาหนึ่งก้าว ทั้งบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์และงดงาม ทำให้ศิษย์ฝ่ายเซียนมากมายเคลิบเคลิ้ม
กล่องสมบัติปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคนทีละชิ้น เปล่งแสงสว่างพร่างพราย
ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวขาวหยิบผ้าแพรหยกออกมาจากอกเสื้อ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “การฝึกสนามรบบรรพกาลครั้งนี้สิ้นสุดลงตรงนี้ ในการฝึกสนามรบ ทุกคนทำกันได้ดีมาก พูดได้ว่าแกร่งกว่าหลายรุ่นก่อนๆ!”
ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวขาวเพิ่งพูดจบ ก็มีเสียงโห่ร้องดีใจดังขึ้นกลางกลุ่มคน
เห็นได้ชัดว่ากำลังใจจากผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวขาวทำให้อบอุ่นหัวใจมาก
ผู้สูงศักดิ์สวรรค์ตันอู่พูดนิ่งๆ “ต่อไป ผู้อาวุโสแต่ละฝ่ายจะมอบรางวัลให้กับศิษย์ที่ร่วมฝึกฝน”
เมื่อเอ่ยจบ นางก็มองผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวขาว
ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวขาวพยักหน้าเล็กน้อย “อันดับหนึ่งในการทดสอบครั้งนี้จะได้รับสมบัติวิญญาณระดับสูงสุดของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ค้อนนภาม่วงสะท้านฟ้า!
เขาคือ…บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ เสิ่นเทียน!”
เพิ่งเอ่ยจบก็มีเสียงคำขวัญของศิษย์เทพสวรรค์ดังขึ้นกลางกลุ่มคน
“จุดสูงสุดแห่งเซียน โอหังต่อโลก หมั่นฝึกฝนทุกคืนวัน ติดตามศิษย์พี่จักต้องเป็นเซียน กลุ่มศิษย์สวรรค์พิทักษ์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ขอเรียนเชิญศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์!”
บึ้ม!
ยันต์ระเบิดอัสนีที่ทำขึ้นแบบพิเศษเก้าแผ่นระเบิดกลางฟ้าดิน ยิงดอกไม้ไฟเจ็ดสี ทั้งยิ่งใหญ่และสวยงาม
กระบี่ยาวข้างหลังศิษย์ร้อยกว่าคนออกจากฝักพร้อมกัน ทะลวงอยู่บนฟ้าไม่หยุด ขยับแสงกระบี่หนาวเยือกเข้ากระดูก
กระบี่ล้ำค่าทุกเล่มรวมกันบนฟ้าเป็นคำว่า ‘เทียน’ ไอกระบี่นับพันนับหมื่นตกลงมา ดูโออ่ายิ่งใหญ่มาก
ศิษย์สำนักอื่นๆ เห็นภาพนี้ต่างตาเปล่งประกาย วีรบุรุษแท้จริงก็แค่นี้!
ท่ามกลางสายตาเฝ้ารอคอยของทุกคน ประตูห้องของเสิ่นเทียนที่อยู่ไม่ไกลเปิดออก
ร่างสีทองสว่างจ้าปรากฏตรงหน้าทุกคน
เขาสวมเกราะศักดิ์สิทธิ์หุบเหวมังกรห้าสี ข้างหลังมีปรากฏการณ์หมื่นกระบี่ไหลมารวมกันและสัตว์เทพห้าอัสนี ดูองอาจเหนือธรรมดา
และที่สำคัญที่สุดคือข้างหลังเขายังมีปีกเทพทองคำคู่หนึ่ง กำลังสาดแสงเทพไร้ที่สิ้นสุดลงมา
เสิ่นเทียนในตอนนี้เหมือนกับเทพบนฟ้าลงมายังโลกจริงๆ สูงศักดิ์และไม่อาจมองตรงๆ ได้
‘ตาแก่หน้าไม่อาย เพราะท่าน ข้าถึงเกือบมาไม่ทันพิธีเลย’
เสิ่นเทียนพูดแขวะในใจ ปีกเทพทองคำหมุนเป็นมุมเจ็ดร้อยยี่สิบองศาบนฟ้า ลงตรงหน้าผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวขาวอย่างมั่นคง
สง่ามาก~
ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวขาวมองเสิ่นเทียนด้วยความชื่นชม “เจ้าไม่ทำให้ศิษย์พี่เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ผิดหวัง ทำได้ดีมาก”
ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวขาวพูดพร้อมกับเปิดกล่องออกช้าๆ แล้วหยิบค้อนสีม่วงขนาดเท่าฝ่ามือออกมา เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ค้อนนภาม่วงสะท้านฟ้าเป็นของเจ้าแล้ว”
เสิ่นเทียนรับค้อนนภาม่วงสะท้านฟ้าด้วยรอยยิ้ม รู้สึกได้ถึงพลังแก่กล้าที่แฝงอยู่ในนั้นได้อย่างชัดเจน มันอยู่เหนือกว่าค้อนม่วงทองไปไกลมาก
มุทะลุพอ แกร่งพอ บ้าอำนาจพอ!
“ขอบคุณอาจารย์อา ข้าจะใช้ค้อนนี้พิทักษ์แดนเทพสวรรค์อย่างแน่นอน!”
เสิ่นเทียนกำค้อนนภาม่วงสะท้านฟ้าไว้แน่น ก่อนจะหยดโลหิตบริสุทธิ์หนึ่งหยดลงไป ทันใดนั้นมีสายฟ้าสีม่วงอมทองแผ่กระจายมาจากในค้อน ปกคลุมทั่วร่างเสิ่นเทียนทันใด
ค้อนนภาม่วงสะท้านฟ้าพลันขยายใหญ่ขึ้นหลายร้อยเท่า กลายเป็นค้อนเทพยักษ์ยาวหลายจั้ง เคลือบด้วยของเหลวสีเงิน
เสิ่นเทียนเผยอมุมปากเล็กน้อยก่อนจะทุบใส่มวลอากาศข้างๆ อย่างฉับพลัน
บึ้ม~!
มวลอากาศแตกกระจายออกโดยพลัน
รอยแยกมิติสีดำน่าสะพรึงแผ่ขยายออกมา แผ่กลิ่นอายที่ทำให้คนหวาดกลัว
เวลานี้ พวกศิษย์ฝ่ายเซียนอื่นๆ โดยรอบเหม่อมองแล้ว
ค้อนทำลายมวลอากาศ!
นี่คือศักยภาพที่แท้จริงของบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เสิ่นเทียนรึ
ทั้งหล่อเหลา ทั้งแข็งแกร่ง อีกทั้งยังได้ยินมาว่าใจกว้างกับศิษย์ร่วมสำนักเป็นพิเศษอีก รักเลยๆ!
……
ผู้สูงศักดิ์สวรรค์ตันอู่มองเสิ่นเทียนด้วยความชื่นชมก่อนจะก้าวออกมา “อันดับสองในการฝึกฝนครั้งนี้ ได้รับสมบัติวิญญาณระดับสูงจากแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยก ไข่มุกวิญญาณลับ
เขาคือ ศิษย์สายตรงแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ฉินอวิ๋นตี๋!”
ฉินอวิ๋นตี๋หรี่ตาลง ใบหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้มอ่อนๆ
ในสนามรบบรรพกาลนี้ นอกจากเสิ่นเทียนที่เปิดสูตรโกงแล้ว เขาคือคนที่ได้เปรียบที่สุด
ถึงอย่างไรข้างหลังก็มีปืนหยินหยางพิฆาตอสูรหลายสิบกระบอกลอยอยู่ ปกติจะสังหารวิญญาณร้ายได้ในเสี้ยววินาที
ครึ่งเดือนกว่ามานี้ ฉินอวิ๋นตี๋ใช้วิญญาณร้ายฝึกฝนปืน สังหารเจ้าพวกนี้ไปไม่น้อย ย่อมได้ผลคะแนนสูงพอดู
ไข่มุกวิญญาณลับเป็นสมบัติวิญญาณระดับสูงจากแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยก เมื่อส่งพลังฤทธิ์เข้าไปจะสร้างเป็นเขตแดนป้องกัน สามารถเติมเต็มข้อบกพร่องด้านการป้องกันของฉินอวิ๋นตี๋ได้
รางวัลนี้มีประโยชน์การใช้งานจริงกับฉินอวิ๋นตี๋อย่างมาก
แน่นอน เทียบกับการเปิดตัวตอนมอบรางวัลเสิ่นเทียนแล้ว ฉินอวิ๋นตี๋ด้อยกว่ามาก
มีเพียงเสียงโห่ร้องดีใจหย็อมแหย็ม ดูทำขอไปทีอย่างเห็นได้ชัด ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้ให้ของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพาน
ต่อมา ผู้อาวุโสของแดนเทวาประกายอรุณก้าวออกมา “ศิษย์อันดับสาม จะได้รับสมบัติวิญญาณระดับล่างจากแดนเทวาประกายอรุณ ผ้าคาดหัวอำพันชาด
คนที่ได้อันดับสามคือ ศิษย์สายตรงแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยก เซียวหลิง!”
เซียวหลิงเป็นตัวแทนรุ่นนี้ของแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยก และยังมีกายวิญญาณเดิมสวรรค์ประทาน จึงมีศักยภาพไม่ธรรมดาเลย ผนวกกับนางฝึกคัมภีร์มองลอดวิญญาณสวรรค์ ชำนาญการค้นวิญญาณประเมินแร่อยู่แล้ว จึงเหมือนกับปลาได้น้ำในสนามรบบรรพกาล
รวมถึงเพื่อให้ตนแกร่งขึ้นเร็วที่สุดเพื่อยืนข้างเสิ่นเทียน เซียวหลิงจึงอาศัยภูมิประเทศพิเศษสังหารวิญญาณมรณะในการฝึกฝนไปไม่น้อย คะแนนจึงโดดเด่น
รวมถึงเพื่อหน้าตาของแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกทุกคน ตอนที่ประกาศคะแนน…อันดับสามในการฝึกครั้งนี้จึงเป็นของเซียวหลิง
ผ้าคาดหัวอำพันชาดเป็นสมบัติวิญญาณระดับล่างของแดนเทวาประกายอรุณ แม้มูลค่าจะไม่ถือว่าสูงมาก แต่ถึงอย่างไรก็เป็นสมบัติวิญญาณ ก็ยังมีมูลค่าไม่น้อย เซียวหลิงเองก็ไม่ได้รังเกียจอะไร
เพราะเทียบกับอันดับสี่แล้ว รางวัลอันดับสามดีกว่ามาก
….
ผู้สูงศักดิ์จื่อหยางก้าวออกมาจากกลุ่มผู้อาวุโสช้าๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความจำใจ
เขามองเสิ่นเอ้า ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าลูกศิษย์ไม่ได้เรื่องของตนสังหารกระดูกวิญญาณมรณะไปมากขนาดนั้นได้อย่างไร กระทั่งมากกว่ายัยเด็กแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกนั่น
เห็นๆ อยู่ว่าก่อนหน้าที่เจ้าหนูนี่จะเข้าสนามรบบรรพกาลก็เพิ่งทะลวงระดับสร้างฐานเท่านั้น!
แต่ระดับพลังของเสิ่นเอ้าก็พุ่งพรวดขึ้นไม่น้อย
แค่หนึ่งเดือนสั้นๆ ก็ทะลวงจุดสูงสุดระดับสร้างฐาน อีกทั้งรากฐานยังมั่นคงอย่างยิ่ง
ความเร็วตรงนี้แทบจะเรียกได้ว่าไร้เหตุผล
หรือว่าการฝึกฝนพิเศษของศิษย์พี่จะเพิ่งแสดงผลเอาตอนนี้กัน
เขาพูดอย่างเนิบนาบว่า “ศิษย์ที่ได้อันดับสี่จะได้เดินทางไปแดนเทวาดาวประกายพรึก ได้เรียนสุดยอดวิชากระบี่จากเจ้ากระบี่ธารนิรันดร์สามเดือน!
ศิษย์ที่ได้อันดับสี่ก็คือ ศิษย์สายตรงแดนเทวาดาวประกายพรึก เสิ่นเอ้า”
เสิ่นเอ้ารึ
เมื่อได้ฟังดังนั้น เสิ่นเอ้าผงะไปแล้ว
นี่มันบ้าอะไรกัน เหตุใดข้าได้ที่สี่ ที่สี่ข้ามาจากไหนกัน
เสิ่นเอ้าจำได้แม่นว่าเขาสังหารวิญญาณมรณะไปเล็กน้อยเท่านั้น แทบทุกคนในกลุ่มมากกว่าเขา
นี่มีอะไรผิดพลาดหรือไม่
ไม่เอารางวัลอันดับสี่นี่ได้หรือไม่
……….
ขณะเดียวกันในกลุ่มศิษย์เทพสวรรค์
เจ้าพวกคนที่มีแผนการร้ายในใจบางคนแอบหดคอกันเงียบๆ
เดิมทีเจ้าพวกนี้คิดว่าเสิ่นเอ้าเป็นพี่ชายแท้ๆ ของท่านปรมาจารย์สวรรค์ ก็ควรจะผูกมิตรเอาไว้
ดังนั้นพวกเขาจึงหารือกันลับๆ ว่าจะเอาคะแนนของตนมากกว่าครึ่งไปช่วยให้เสิ่นเอ้ามีอันดับสูงขึ้น
จากการคาดการณ์ของพวกเขา หลังจากเสิ่นเอ้าได้คะแนนพวกนี้แล้ว อย่างน้อยก็น่าจะติดอันดับสองหรือสาม
แต่ไม่นึกเลยว่าจะไม่เป็นไปตามแผน
เหมือนจะทำบาปทำกรรมเข้าแล้ว~
……………………….