เจ้าลิงดูอยากรู้อยากเห็น ใจกล้าแถมไม่กลัว มันกระโดดขึ้นมา นั่งลงเลียนแบบฟางเจิ้ง และกอดเอวฟางเจิ้งไว้ มองไปทั่วทิศไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร

แต่ต่อมาเสียงเร่งเครื่องยนต์ดังขึ้น ลิงนี่ก็ตกใจจนแทบจะปล่อยมือกระโดดลงจากรถ

ดีที่ฟางเจิ้งจับมือมันไว้ไม่ให้มันตก ก่อนจะสวดบทหนึ่ง “อมิตาพุทธ”

จิตใจลิงถึงสงบลง แต่ก็ยังกลัวอยู่นิดๆ ไม่กล้ามองซ้ายแลขวาอีก เอาแต่กอดฟางเจิ้งไว้แน่นด้วยกลัวตกลงไป

“นั่งดีๆ ล่ะ ไปละนะ” หวังโอ้วกุ้ยพูดจบก็เหยียบคันเร่ง รถจักรยานยนต์พุ่งไปอย่างรวดเร็ว…

เจ้าลิงตกใจจนใบหน้าผิดปกติ แต่เจ้านี่ก็ยังเป็นลิง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งรู้ว่าไม่มีอันตรายอะไรก็ใจกล้าขึ้นมาก เริ่มมองซ้ายแลขวา กระทั่งช่วงหลังๆ ยังคิดจะปล่อยมือหนึ่งข้างเพื่อโบกไปมาด้วย

ฟางเจิ้งรีบบอกให้มันอยู่เฉยๆ ก่อเรื่องบนถนนไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ชนครั้งหนึ่งอาจจะเกิดเรื่องใหญ่ถึงชีวิตคนได้

ระยะทางระหว่างวัดเอกดรรชนีกับวัดผาแดงไม่ถือว่าไกลนัก หวังโอ้วกุ้ยเร่งให้ทันเวลา ไม่ถือว่าขับรถจักรยานยนต์ช้า แต่ก็ไม่ได้เร็วเกินไป ไม่นานก็ออกจากหมู่บ้านเอกดรรชนี ครึ่งชั่วโมงต่อจึงมาถึงหน้าสะพานใหญ่ ขณะจะข้ามแม่น้ำพลันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกระโดดลงจากสะพาน!

หวังโอ้วกุ้ยกับฟางเจิ้งเห็นพร้อมกัน หวังโอ้วกุ้ยรีบเบรกรถ ลงจากรถแล้วพุ่งปรี่เข้าไป! ชีวิตคนสำคัญยิ่ง ไม่เห็นก็ช่างเถอะ แต่เห็นแล้วจะให้ไม่สนใจได้ยังไง?

ทว่าตอนนี้เอง มีสองร่างพุ่งลงไปในแม่น้ำก่อนฟางเจิ้งหนึ่งก้าว ตกลงไปในแม่น้ำดังตูม

แทบขณะเดียวกันยังได้ยินเสียงดังโครม รถจักรยานสองคันล้มคว่ำกับพื้น เห็นได้ชัดว่าสองคนนี้ยังไม่ทันหยุดรถจักรยานก็กระโดดลงไปแล้ว

คนตกปลาริมแม่น้ำเห็นเหตุการณ์ก็รีบตะโกนเสียงดังเรียกคนมาช่วย บ้างแจ้งตำรวจ บ้างหาเชือกมา พากันเตรียมให้ความช่วยเหลือ

ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นแล้วรู้สึกเบาใจไม่น้อย ถึงเขาช่วยคนจะได้รางวัล แต่คนอื่นๆ ช่วยก็ได้บุญกุศลเหมือนกัน เขาจะเก็บความดีไว้ทั้งหมดคนเดียวไม่ได้ โลกใบหนึ่งจะดีหรือไม่ ต่อให้หนึ่งคนทำมากแค่ไหนก็เป็นเพียงแบบอย่างที่ดีเท่านั้น กระแสสังคมทั้งหมดต่างหากที่สำคัญ เมื่อเห็นผู้ชายสองคนลงน้ำไป ฟางเจิ้งจึงมายืนมองอยู่ริมฝั่งกับทุกคน รอเชือกมาจะได้โยนเชือกไปให้ความช่วยเหลือ

ก้มหน้ามองไปเห็นเพียงแม่น้ำแตกคลื่น ชายสองคนกำลังพยายามว่ายน้ำ ดึงผู้หญิงคนหนึ่งไม่ให้จมลงไป แต่ผู้หญิงกลับแปลกอยู่บ้าง ไม่ว่าสองคนนี้ช่วยดึงยังไงก็ดึงไม่ขึ้น

“แย่แล้ว น่าจะโดนหญ้าใต้น้ำพันไว้” ชาวประมงชราคนหนึ่งพูดด้วยความกังวล

“แบบนี้ไม่ดีแน่ สองคนนั่นคงทนได้อีกไม่นาน ตรงนี้เป็นคลองลูกข่าง อาจจะมีพวกน้ำวนแต่ละแบบเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ถ้าเกิดน้ำวนดูดสามคนนี้ก็จบเห่แน่! ต้องรีบหาเรือแล้ว!” หวังโอ้วกุ้ยเห็นสถานการณ์จึงตะโกน

คนชราข้างๆ กล่าว “เรียกแล้ว แต่ว่าที่นี่ห่างจากหมู่บ้านเกินไป จะให้ชาวประมงแถบนี้รีบมาก็ยาก” คนชราก็ร้อนใจเช่นกัน แต่ว่าช่วยอะไรไม่ได้

ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นถึงจะนึกออก แม่น้ำนี่ก็แม่น้ำธรรมดานี่ ไม่ใช่แม่น้ำขาวที่เรียบนิ่งเหมือนกระจกหน้าวัดเมฆาขาว นี่คือแม่น้ำสายย่อยของแม่น้ำซงฮวา ชื่อว่าคลองลูกข่าง เพราะผิวดินใต้แม่น้ำซับซ้อน ผิวน้ำเลยเกิดน้ำวนบ่อยๆ จึงมีชื่อเปรียบเปรยแบบนี้

คิดได้ดังนั้น ฟางเจิ้งก็รู้ว่าเขาจะรอไม่ได้แล้ว อาศัยจังหวะที่ทุกคนมองแม่น้ำหลบออกจากบนสะพาน วิ่งไปอีกด้านของสะพานที่ไม่มีใครเห็น ก่อนจะถอดรองเท้าข้ามฟากยัดเข้าไปในอก สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วกระโดดลงไปในคลองลูกข่าง

หากไม่ช่วยคนก็ไม่รู้จักความยากของการช่วยคน น้ำช่วงต้นใบไม้ผลิเย็นเยียบ หนาวเข้ากระดูก ฟางเจิ้งมีจีวรขาวจันทร์คุ้มกันกาย กันหนาวกันร้อนได้ ถึงเขาจะหนาวก็ไม่เป็นไร แต่จินตนาการได้เลยว่าตอนนี้ผู้ชายที่กล้าหาญสองคนนั้นจะต้องทนกับความหนาวเพียงใดอยู่ ฟางเจิ้งอดชื่นชมสองคนนี้ในใจไม่ได้ นี่ต่างหากคือวีรบุรุษตัวจริง! แต่เขาเป็นเพียงวีรบุรุษปลอมๆ เท่านั้น ถ้าไม่มีจีวรขาวจันทร์ เขาที่ว่ายน้ำไม่เป็นคงไม่กล้าลงน้ำหรอก

ไม่ผิด ฟางเจิ้งว่ายน้ำไม่เป็น ลงน้ำปุ๊บก็จะจมลงทันที แต่คนเรามีแรงลอยตัวอยู่ ความรู้สึกที่ขึ้นไม่ได้ลงก็ไม่ได้ทำให้ฟางเจิ้งเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ด้วยความจำใจ เขาทำได้แค่คลำไปมั่วๆ จนสุดท้ายเจอหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง เมื่อกอดหินไว้แล้วถึงจมดิ่งลงไป

ฟางเจิ้งมองทิศทางดีแล้ว จึงตรงไปอีกฟากของสะพาน

ขณะเดียวกัน ที่อีกฟากของสะพาน

“พี่ พี่ต้องดันหัวเธอขึ้น ให้หายใจได้ ไม่อย่างนั้นจะขาดใจตาย!” หงเชียนเจี๋ยตะโกน

วันนี้หงเชียนเจี๋ยกับพี่ชายหงเชียนสี่ไปร่วมงานที่วัดผาแดงด้วยกัน สองคนไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดา ไม่เชื่อในพระพุทธ พวกเขาแค่ไปเที่ยวกันเท่านั้น

แต่ไม่นึกเลยว่าระหว่างทางจะเจอผู้หญิงไม่รักชีวิต วู่วามจะฆ่าตัวตาย พวกเขาคิดแค่อยากช่วยคนเท่านั้น สองคนกระโดดลงจากรถจักรยานที่ขี่มาโดยไม่ต้องนัดหมายก่อนกระโดดลงไป ดีที่สองคนนี้ว่ายน้ำเป็น ว่ายน้ำเก่ง ทั้งยังมีไหวพริบดี ผู้หญิงยังไม่จมลงไปในน้ำ สองคนนี้ก็คว้าไว้ได้ทัน แถมยังดึงขึ้นมา แต่ปัญหาคือเหมือนว่าตัวเธอจะมีบางอย่างดึงไว้ ทำให้ขึ้นมาเหนือน้ำไม่ได้ ใบหน้าอยู่ใต้น้ำตลอด หายใจไม่ได้เลย

หงเชียนสี่พูดขึ้น “แกดึงไว้ ฉันจะดำลงไปดูข้างล่าง น่าจะเป็นหญ้าใต้น้ำพันอยู่”

“ได้ เร็วหน่อยนะ ฉันใกล้จะรั้งไว้ไม่อยู่แล้ว” หงเชียนเจี๋ยกล่าว

หงเชียนสี่ขานรับก่อนดำลงไปใต้น้ำ

ตอนนี้เป็นช่วงต้นใบไม้ผลิ หิมะบนเขาละลายแล้ว น้ำจากน้ำแข็งทั้งหมดรวมอยู่ในแม่น้ำ น้ำจึงไหลเร็วกว่าปกติ แรงปะทะมากกว่าเดิม หงเชียนสี่ดำลงไปก็ต้องใช้แรงมากขึ้น เมื่อมองไปข้างล่างเห็นเป็นหญ้าใต้น้ำพันข้อเท้าผู้หญิงไว้จริงๆ หงเชียนสี่พยายามดึงหญ้าออก ทว่าหญ้ารัดไว้แน่นเกินไป ใช้มือดึงไม่ขาด แถมหญ้าใต้น้ำยังเยอะมาก ถ้าเขากับหงเชียนเจี๋ยไม่ระวังอาจจะถูกพันเข้าด้วยเหมือนกัน!

พยายามอยู่หลายครั้ง หงเชียนสี่เห็นดึงไม่ขาดจึงลอยตัวขึ้นมา ตะโกนเสียงดังว่า “ไม่ได้ ดึงไม่ขาดเลย ต้องใช้มีด”

“ผายปอดให้เธอก่อน เธอใกล้จะไม่ไหวแล้ว” หงเชียนเจี๋ยว่า

หงเชียนสี่สูดลมหายใจเข้าลึก ดำลงไปส่งลมหายใจให้ผู้หญิงคนนั้น หงเชียนเจี๋ยบีบจมูกเธอไว้ พยายามไม่ให้เธอกินน้ำเข้าไป แต่เห็นได้ว่านี่ไม่ใช่แผนระยะยาว มีเพียงอย่างเดียวที่หงเชียนเจี๋ยวางใจคือถึงแม้เธอจะคิดสั้น แต่ก็หมดสติไปแล้ว ไม่อย่างนั้นตื่นมาอาจจจะดิ้น แบบนั้นคงได้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นจริงๆ

ตอนนี้เอง ไม่รู้ว่าใครตะโกนเสียงดัง “แย่แล้ว มีน้ำวนแล้ว!”

แทบจะขณะเดียวกัน หงเชียนสี่กับหงเชียนเจี๋ยรู้สึกว่ากระแสน้ำรอบตัวเกิดการเปลี่ยนแปลง รู้สึกแน่นๆ ตรงข้อเท้า พวกเขาถูกหญ้าใต้น้ำพันขาซะแล้ว! ในใจสองคนนี้พลันเย็นเยือกไปครึ่งหนึ่ง!

หงเชียนสี่โผล่หัวขึ้นมาพูด “เชียนเจี๋ย พี่ถูกหญ้าพันขาไว้ แกรีบไปเถอะ!”

“ไปไม่ได้ ผมก็ถูกพันไว้เหมือนกัน” หงเชียนเจี๋ยร้อนใจแล้วเช่นกัน

หงเชียนสี่สูดลมหายใจเข้าลึก พูดออกไปโดยแทบไม่ต้องคิดว่า “อีกเดี๋ยวจะมีคนมาช่วยแก ไม่ว่ายังไงก็ต้องรอด!”