บทที่ 187.2 เหล่าผู้เฒ่าในวันปีใหม่ โดย ProjectZyphon
พอเข้าประตูมาแล้ว ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มก็เอ่ยเบาๆ ว่า “วันหน้าเมื่ออยู่ในยุทธภพ เวลาจะกุมมือคารวะใคร จำไว้ว่าผู้ชายต้องใช้มือซ้ายทับมือขวา นี่เรียกว่าคารวะแบบมงคล แต่ถ้ากลับกันจะเป็นเรื่องต้องห้าม เพราะจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามดวงซวยได้ง่ายๆ”
เฉินผิงอันหันขวับมามองผู้ฝึกกระบี่หนุ่ม อีกฝ่ายพูดเหมือนไม่ใส่ใจนัก “ความพิถีพิถันพวกนี้ แค่จำไว้ในใจก็พอแล้ว”
ในบ้านมีม้านั่งเล็กอยู่แค่สามตัว เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูจึงรีบลุกขึ้น ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มไม่ได้รีบร้อนนั่งลง ยังเอ่ยยิ้มๆ ว่า “มาเยี่ยมถึงบ้านในวันแรกของปีใหม่ ถ้ามามือเปล่าก็คงไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่ งั้นก็มอบของเล่นสองชิ้นนี้แล้วกัน”
เขายื่นมือออกมาจึงเห็นว่ากลางฝ่ามือมีแผ่นหยกไร้ตัวอักษรสองชิ้นวางทับซ้อนกันอยู่ แต่สี่มุมของแผ่นหยกกลับสลักลายเมฆาคล้อยที่มีเฉพาะในสกุลซ่งราชวงศ์ต้าหลี “พวกมันมีชื่อว่าป้ายสงบสุขไร้กังวล เวลาปกติสามารถเอามาห้อยไว้ที่เอว ถือว่าพอจะมีประโยชน์สำหรับพวกเจ้าสองคนที่ในอนาคตจะมาอาศัยที่นี่อยู่บ้าง และถ้าจะเดินทางไกล โดยอยู่ในอาณาเขตของต้าหลีก็จะยิ่งสะดวกสบาย”
เด็กชายชุดเขียวอยากได้มาก เพราะเขารู้ถึงความล้ำค่าของวัตถุชิ้นนี้
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูไม่รู้ความนัยที่ซุกซ่อนอยู่ ได้แต่มองไปทางเฉินผิงอัน จะรับหรือไม่ ต้องดูที่ความต้องการของนายท่าน
เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วครู่ แล้วก็พยักหน้าให้ “รับไว้เถอะ”
หลังจากเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูรับมาแล้วก็หันไปโค้งตัวขอบคุณผู้ฝึกกระบี่หนุ่มอย่างพร้อมเพรียงกัน
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มมอบของขวัญพบหน้าเรียบร้อยแล้วก็บอกลาจากไปทันที
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะรั้งอีกฝ่ายไว้อย่างไร จึงได้แต่เดินไปส่งที่หน้าประตูบ้าน
ทางฝ่ายของบ้านเก่าตระกูลเฉา เศรษฐีผู้เฒ่ายืนอยู่ข้างบ่อน้ำในบ้าน บนปากเพดานที่เปิดโล่งของตัวบ้านมีจิ้งจอกสีแดงตัวหนึ่งนั่งอยู่ ส่วนเฉาจวิ้นนั้นนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ ปรายตามองบรรพบุรุษตระกูลตัวเอง แม้แต่จะเอ่ยทักทายสักคำเขายังคร้านจะทำ
พอผู้ฝึกกระบี่หนุ่มเดินเข้ามาแล้ว ผู้เฒ่าก็ถามยิ้มๆ “เจ้าสนิทสนมกับเด็กหนุ่มผู้นั้นรึ?”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มยิ้มตอบ “ด้วยตบะและฐานะของผู้เฒ่าเฉา ยังต้องลงมือกับเด็กหนุ่มในตรอกทรุดโทรมคนหนึ่งด้วยหรือ?”
เฉาซีหัวเราะฮ่าๆ “ก็แค่จะลงโทษนิดหน่อยเท่านั้น อย่างมากก็แค่ปล่อยให้ไออัปมงคลล้อมวนอยู่รอบบ้านตลอดทั้งปี ไม่นับเป็นอะไรได้ ต่อให้เป็นแค่คนธรรมดา แต่ถ้าที่มีร่มเงาบรรพบุรุษปกป้องมากหน่อย มีธาตุหยางพลุ่งพล่านสักหน่อยก็ยังรับได้ไหว อีกอย่างเจ้าเองก็ช่วยเด็กหนุ่มคนนั้นขจัดภัยไปอย่างลับๆ แล้วไม่ใช่หรือ?”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไร
เรื่องราวบนโลกก็น่าขันเช่นนี้ เป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่เดินออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูเหมือนกัน เซี่ยสือนิสัยซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา มีชื่อเสียงเลื่องลือไปหลายทวีปใหญ่ เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับว่ามีมาดของปรมาจารย์ การที่เขาโดดเด่นขึ้นมาในอุตรกุรุทวีปที่ซึ่งมีผู้ฝึกกระบี่กลาดเกลื่อน ลัทธิเต๋าเสื่อมโทรมลง มีหวังว่าจะได้กลายเป็นเทพสวรรค์ที่มีน้ำหนักมากพอคนหนึ่ง ต่อให้เป็นนักพรตผู้เป็นศัตรูของเซี่ยสือเองก็ยังเลื่อมใสเขาจากใจจริง กลับมามองเฉาซีผู้มีนิสัยประหลาด ชื่อเสียงฉาวโฉ่มาโดยตลอด ต่างก็พูดกันว่าคนผู้นี้ใจจืดใจดำ ไม่สำนึกบุญคุณคน เพียงแค่มีโชควาสนาดีเยี่ยม ถึงได้เดินขึ้นสู่ที่สูงมาตลอดทางอย่างที่ใครก็ขัดขวางไว้ไม่อยู่
ทว่าตอนนี้เฉาซีเซียนกระบี่ที่เป็นพวกนอกรีตกลับเลือกที่จะยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับต้าหลี แต่เซี่ยสือกลับทำเรื่องที่ไม่ค่อยจะมีเกียรตินัก
เฉาจวิ้นลุกขึ้นยืน ยิ้มบางๆ พูดว่า “ข้ารู้จักเจ้า เจ้าคือสวี่รั่วแห่งสำนักโม่ อยู่ในยุทธภพของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาหลายปี ชื่อเสียงโด่งดังมาก ได้รับสมญานามว่าเป็นเจียวหลงแห่งโลกมนุษย์ ข้ารู้สึกว่าการที่เว่ยจิ้นแห่งแจกันสมบัติทวีปมักจะหมกตัวอยู่ในยุทธภพ ไม่ชอบอยู่บนภูเขา ไม่แน่ว่าอาจจะเลียนแบบเจ้าตอนที่เป็นหนุ่มก็ได้”
มือกระบี่นึกถึงเซียนกระบี่หนุ่มแห่งศาลลมหิมะที่เปี่ยมไปด้วยปณิธานห้าวเหิมคนนั้นแล้วส่ายหน้ายิ้ม “เขาไม่ได้เลียนแบบข้า”
จู่ๆ เฉาซีก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขากระโดดลงไปในบ่อน้ำแห่งขอด พลิกแผ่นหินสีเขียวก้อนหนึ่งขึ้นมาจึงเห็นว่าด้านในซ่อนเหรียญทองแดงธรรมดาที่ขึ้นสนิมไว้หนึ่งเหรียญ เซียนกระบี่พสุธาที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทวีปพลันหัวเราะร่าเสียงดัง เก็บเหรียญทองแดงใส่ชายแขนเสื้อ จุ๊ปากพูด “ลางดี ลางดี”
เฉาซีเงยหน้ามองไปทางมือกระบี่หนุ่ม “หากถามข้านะ เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่ถูกทุบแตกในปีนั้น ต้าหลีและหลงเฉวียนพวกเจ้าเป็นฝ่ายทำผิดก่อน ถึงเป็นเหตุให้เกิดความผิดพลาดขึ้นมา แต่ตอนนั้นต้าหลีก็ชดใช้ไปแล้ว และฝ่ายตรงข้ามก็รับไว้แล้วด้วย ตามหลักแล้วเรื่องนี้ต้องถือว่าหายกัน แต่ตอนนี้คนซื้อกลับผลักดันเรื่องไปหาตัวการเบื้องหลังทีละขั้น สุดท้ายถึงได้ยกพระโพธิสัตว์ใหญ่อย่างเซี่ยสือออกมาข่มขู่ผู้คน เรื่องนี้ทำได้ไม่ดีนัก ไม่ละเอียดรอบคอบมากพอ แต่จริงๆ แล้วมันก็จัดการได้ง่ายมาก ฆ่าเซี่ยสือให้ตายไปซะเลย มีข้า มีเจ้า บวกกับอริยะหร่วนฉง พวกเราสามคนร่วมมือกัน เซี่ยสือไม่เพียงแต่ต้องแพ้ แม้แต่จะหนีก็ยังหนีไม่รอด เซี่ยสือรนหาที่ตายเอง จะโทษคนอื่นไม่ได้”
มือกระบี่หนุ่มเอ่ยถาม “ต่อให้ฆ่าเซี่ยสือตายได้ แต่ถ้าถ้ำสวรรค์หลีจูที่ปริแตกแล้วร่วงลงมาจากฟ้าแห่งนี้ต้องถูกทำลายย่อยยับไปด้วย พวกเราต้าหลีจะทำอย่างไร?”
เฉาซีกล่าวอย่างคนยืนพูดไม่ปวดเอว (เปรียบเปรยว่าไม่ใช่เรื่องของตนย่อมไม่เดือดร้อน ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็ไม่เข้าใจ) “ฆ่าเซี่ยสือไปคนหนึ่ง ได้ผลลัพธ์เฉกเช่นเคาะภูเขาสะเทือนพยัคฆ์ ดีจะตายไป ไม่ด้อยไปกว่าการสร้างหอป๋ายอวี้จิงหลังหนึ่งเลย”
มือกระบี่หนุ่มไม่ต่อคำ
เฉาซียังคงพูดล่อลวงใจคนต่อไป “อีกไม่นานต้าหลีของพวกเจ้าก็จะยกทัพลงใต้แล้วไม่ใช่หรือ? พอฆ่าเซี่ยสือตายแล้ว ก็ลองดูเถอะว่าถึงเวลานั้นพวกตะพาบเฒ่าที่มีขอบเขตสิบและห้าขอบเขตบนในต้าสุยจะเหลืออยู่สักกี่คน? ข้ากล้าเดิมพันเลยว่าไม่มีทางเกินมือเดียว และถ้าข้าเฉาซีเดิมพันแพ้ มีตะพาบเฒ่าเกินมา ถ้าอย่างนั้นก็ให้ข้าจัดการกับทุกคนเอง ตกลงไหมล่ะ?”
มือกระบี่หนุ่มกล่าวอย่างไม่เข้าใจ “เจ้ามีความแค้นใหญ่หลวงกับเซี่ยสือรึ?”
เฉาซีส่ายหน้า “เปล่านี่ ก็แค่เป็นคนบ้านเดียวกันเท่านั้น แถมยังไม่ใช่คนรุ่นเดียวกับข้า ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน บรรพบุรุษของสองตระกูลไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ข้าก็แค่ไม่ชอบใจที่เซี่ยสืออาศัยตบะมารังแกต้าหลี เนรคุณกันเกินไป จะดีจะชั่วเขาก็มีชาติกำเนิดมาจากต้าหลี ไม่นึกถึงบุญคุณที่อบรมเลี้ยงดูก็แล้วไปเถอะ แต่นี่ยังจะตั้งตนเป็นปรปักษ์กับต้าหลี คนแบบนี้ข้าเฉาซีเกลียดนักล่ะ”
“ผายลมเหม็นโฉ่!”
จิ้งจอกแดงเพลิงที่อยู่บนหลังคาเปิดโปงความจริงด้วยประโยคเดียว แล้วพูดแดกดันต่อว่า “สกุลเฉินผู้มากความรู้ในทักษินาตยทวีปคือหนึ่งในสาขาของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง แต่สกุลเฉินดั้งเดิมแท้จริงนั้นไม่เคยถูกกับลัทธิเต๋า ฆ่าเซี่ยสือตายไปคนหนึ่งก็ถือเป็นของขวัญชิ้นใหญ่ที่สุดในใต้หล้า อย่าว่าแต่ยกสตรีสายตรงของสกุลเฉินผู้มากความรู้ให้แต่งงานกับเฉาจวิ้นเลย ต่อให้ตระกูลเดิมในแผ่นดินกลางส่งผู้หญิงอีกคนมาแต่งงานกับเขาเฉาจวิ้นด้วยก็ยังไม่เป็นปัญหา”
“เจ้านี่มันปากคอเราะร้ายจริงๆ” เฉาซีสบถยิ้มๆ แล้วยกมือโบกชายแขนเสื้อ
ร่างของจิ้งจอกเพลิงสีแดงพลันระเบิดดังปัง สลายกลายเป็นเถ้าธุลี
เห็นได้ชัดว่าช่วงเวลากว่าที่มันจะกลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิมอย่างสมบูรณ์แบบนานกว่าตอนที่ถูกกระบี่บินของเฉาจวิ้นแยกร่างมากนัก
มันหยิบกระเบื้องขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วขว้างใส่เฉาซีแรงๆ กระเบื้องชิ้นนั้นพุ่งไปดุจสายฟ้าแลบ จากนั้นมันก็หันหัวเผ่นหนี
เฉาซีรับกระเบื้องไว้เบาๆ โยนขึ้นข้างบน ส่งมันกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม
อันที่จริงกระเบื้องชิ้นนั้นได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว
จอมยุทธ์สำนักโม่นามว่าสวี่รั่วปฏิเสธข้อเสนอของเฉาซี “เรื่องแบบนี้ ข้าไม่สามารถตัดสินใจได้เองโดยพลการ”
เฉาซีเหลือกตามองบนใส่ “แล้วใครในต้าหลีของพวกเจ้าที่ตัดสินใจได้ล่ะ?”
สวี่รั่วพูดยิ้มๆ “ฮ่องเต้ ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้น ราชครูชุยฉาน สามคนนี้”
เฉาซีพูดเสียงขุ่น “ถ้าอย่างนั้นก็โผล่หัวมาสักคนสิ เจ้าสวี่รั่วมาแค่เพื่อดูละครไม่ยอมลงมือแล้วจะมีความหมายอะไร? ในเมื่อครั้งนี้เซี่ยสือกล้าเดินทางมาเพียงลำพัง แสดงว่าต้องมีที่พึ่ง ถ้าเกิดพวกเราสามคนร่วมมือกันแล้วยังปล่อยให้เขาหนีไปได้ ปล่อยให้เขาทำตามเป้าหมายได้สำเร็จ แถมยังหนีกลับไปที่อุตรกุรุทวีปได้ ถึงเวลานั้นแมลงที่น่าสงสารอย่างพวกเราสามคน บวกกับสกุลซ่งต้าหลีของพวกเจ้าต้องจบเห่กันหมดแน่!”
สวี่รั่วพยักหน้ารับ “ต้องมาแน่อยู่แล้ว”
เฉาซีเงียบเสียงลงในบัดดล
เพราะแต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ชอบเอาใจของคนถ่อยมาวัดคุณธรรมของสุภาพชนอยู่แล้ว จึงกลัวมากว่าเมื่อต้าหลีจัดการกับเซี่ยสือแล้วจะหันกลับมาจัดการตนต่ออีก
แล้วนับประสาอะไรกับที่สกุลซ่งของต้าหลีไม่ใช่สุภาพชน
สุภาพชนที่แท้จริงบางคน คนผู้หนึ่งที่ร้ายกาจยิ่งกว่าเขาเฉาซีกับเซี่ยสือรวมกันยังตายจนตายไปอีกไม่ได้แล้ว
ตายอยู่ที่นี่
แน่นอนว่าเรื่องนี้จะโทษว่าราชวงศ์ต้าหลีไม่มีคุณธรรมไม่ได้ แล้วก็โทษฮ่องเต้สกุลซ่งที่ทำตัวเป็นเต่าหดหัวไม่ได้เช่นกัน
แต่เฉาซีก็ยังรู้สึกว่าเป็นเคราะห์ร้าย เป็นเรื่องอัปมงคลเกินไป
บวกกับตลอดระยะทางที่เดินทางมาที่นี่ได้รับรายงานลับเกี่ยวกับถ้ำสวรรค์หลีจูต้าหลี หนึ่งในพูดถึงเรื่องบ้านบรรพบุรุษของเขาพังทรุดและได้รับการซ่อมแซมให้ดีดังเดิม จึงยิ่งทำให้เฉาซีอารมณ์ไม่ค่อยดี
หากไม่เป็นเพราะสกุลเฉินผู้มากความรู้เปิดปากเอง อันที่จริงเขาก็ไม่อยากมาทำตัวเป็นมังกรข้ามแม่น้ำที่นี่
โดยเฉพาะตอนนี้เฉาซียังไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าเงื่อนตายที่ผลักดันให้ฉีจิ้งชุนต้องตายอย่างไม่มีทางเลี่ยงนั้นอยู่ที่ไหน นี่จึงทำให้เขารู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวนับตั้งแต่ที่เดินเข้ามาในเขตการปกครองหลงเฉวียน
ดังนั้นเขาจึงหวังว่าการตายของเซี่ยสือจะสามารถชักนำเงื่อนตายนั้นให้ปรากฎ ถึงเวลานั้นต่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดก็ยังมีสกุลซ่งต้าหลี อริยะหร่วนฉงกับศาลลมหิมะที่อยู่เบื้องหลังเขา รวมไปถึงสกุลเฉินผู้มากความรู้เบื้องหลังตน สกุลเฉินดั้งเดิมในแผ่นดินกลางช่วยกันแบ่งเบาความเสี่ยง
แสวงหาความร่ำรวยจากความเสี่ยง
ไม่ว่าจะคนบนภูเขาหรือล่างภูเขาล้วนเป็นเช่นนี้
……
บ้านเดิมของเซี่ยสืออยู่ในตรอกเถาเย่ ลูกหลานในตระกูลไม่ถือว่าแตกกิ่งก้านเป็นพุ่มหนา มาถึงคนรุ่นนี้ตระกูลก็เริ่มตกต่ำลงแล้ว หากไม่เป็นเพราะเด็กหนุ่มคิ้วยาวกลายมาเป็นลูกศิษย์ในนามของหร่วนฉง ก็คงต้องเผชิญกับสภาพการณ์อันน่าสังเวชอย่างการขายบ้านบรรพบุรุษเพื่อต่อชีวิตไปแล้ว
ชายฉกรรจ์วัยกลางคนผู้หนึ่งเคาะประตู
เป็นเด็กสาวคนหนึ่งเดินมาเปิดประตู ถามว่า “เจ้าคือ?”
ชายฉกรรจ์ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “คือบรรพบุรุษของเจ้า”
เด็กสาวหน้าตางามพิสุทธิ์มองดูคล้ายเป็นคนอ่อนโยน แต่แท้จริงแล้วนิสัยกลับเผ็ดร้อน นางตอกกลับอย่างเดือดดาลทันที “วันแรกของปีใหม่ เจ้าเปิดปากก็ด่าคนแบบนี้ได้ยังไง? เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะหยิบไม้กวาดมาฟาดเจ้า?”
สีหน้าของชายฉกรรจ์ยังคงเป็นปกติ “เจ้าไปเปิดหนังสือลำดับวงศ์ตระกูลดู หาเล่มที่สิบเอ็ด บนนั้นจะมีชื่อของคนที่ชื่อเซี่ยสืออยู่ ซึ่งก็คือข้าเอง ตัวอักษร ‘สือ’ เขียนผิดไปนิด”
หนึ่งก้านธูปต่อมา คนทั้งตระกูลเซี่ยก็พากันมาคุกเข่าอยู่บนพื้นนอกศาลบรรพชน
เซี่ยสือไม่สนใจพวกเด็กรุ่นหลังในตระกูลที่ตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว เขาเปิดประตูเข้าไปในโถงไหว้บรรพชนโดยไม่พูดไม่จา เข้าไปนานประมาณสามก้านธูป
จากนั้นเสียงทุ้มหนักของเขาก็ดังขึ้น “เจ้าคนที่คิ้วยาวกว่าคนปกติผู้นั้นสามารถเข้ามาจุดธูปได้ คนอื่นๆ กลับไปกันให้หมด จะอย่างไรซะแค่พวกบรรพบุรุษเฒ่าเห็นหน้าพวกเจ้า ไม่ต้องให้พวกเจ้าจุดธูป ในอกก็สุมแน่นไปด้วยไฟโทสะแล้ว”
สีหน้าของสตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งที่อยู่นอกห้องโถงเต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนยินดี นางซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหลอาบเต็มหน้า รีบคว้าแขนบุตรชายที่นั่งอยู่ข้างกาย อีกมือหนึ่งอุดปากตัวเองเอาไว้ไม่ให้เสียงร้องไห้ดังออกมา
เด็กหนุ่มคิ้วยาวสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง พอมารดาของเขาปล่อยมือก็ลุกขึ้นยืน เดินข้ามธรณีประตูห้องโถงบรรพชนเข้าไปอย่างระมัดระวัง ขยับเข้าใกล้แผ่นหลังของคนผู้นั้นทีละก้าว
……
บนทางเดินม้านอกเมืองเล็ก รถม้าคันหนึ่งขับเคลื่อนมาอย่างเชื่องช้า
สารถีคือหลิวอวี้ที่เคยขัดขวางมือกระบี่บางคนบนภูเขาฉีตุน ในห้องโดยสารมีผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อท่าทางสำรวมเหมือนอาจารย์คนหนึ่ง กับเด็กสาวที่เกิดมาก็มีหน้าตาเย็นชาผู้หนึ่งนั่งอยู่
ราชครูชุยฉาน นางกำนัลจื้อกุย
หรือควรจะเรียกอีกอย่างว่าชุยฉานผู้เฒ่า กับหวังจู?
……
ในลานบ้านขนาดเล็ก เด็กชายชุดเขียวเริ่มกุมหัวร้องโอดครวญ
ทำไมคนด้านล่างภูเขาของเมืองเล็กถึงได้น่ารำคาญกันขนาดนี้นะ เพิ่งจะวันแรกของปีใหม่ก็มีตัวละครร้ายกาจสองคนที่มองตื้นลึกหนาบางไม่ออกมาเยือน ใช้หัวเข่าใช้ก้นคิดยังรู้เลยว่านั่นคือบุคคลน่ากลัวที่สามารถต่อยตนให้ตายได้ด้วยหมัดเดียว ในอดีตเด็กชายชุดเขียวมักจะรู้สึกว่าดีๆ ชั่วๆ ตนก็เคยเห็นคลื่นยักษ์เห็นลมพายุมาก่อนแล้ว (เปรียบเปรยว่าเห็นโลกมามาก มีประสบการณ์โชกโชน) ตอนนี้มาอยู่ที่นี่ถึงเพิ่งรู้ว่ามรสุมคลื่นลมที่เคยได้เห็นก่อนหน้านี้ยังเทียบกับแอ่งน้ำเล็กๆ ในตรอกหนีผิงนอกประตูบ้านไม่ได้เลย
เขาเริ่มรู้สึกนับถือเฉินผิงอันจากใจจริง สามารถมีชีวิตอยู่มาจนถึงวันนี้ ไม่ง่ายเลย! คนที่เป็นนายท่านผู้เฒ่าของเขาได้ ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ มิน่าเล่าตอนนั้นข้างกายถึงได้มีลูกศิษย์ที่อำมหิตแบบนั้นติดตามมาด้วย
ดังนั้นเด็กชายชุดเขียวจึงจับมือเฉินผิงอันพลางร้องไห้คร่ำครวญด้วยความรู้สึกจากใจจริง “นายท่าน วันหน้าข้าจะดีต่อท่านให้มากขึ้นอีกนิด”
เฉินผิงอันผลักหัวของเขาออก พูดยิ้มๆ “เจ้านี่มันขี้กลัวจริงๆ ไม่อายบ้างหรือไง”
หางตาของเด็กชายชุดเขียวมองประเมินนังเด็กโง่ใจดำแล้วให้รู้สึกว่าตนทำตัวน่าอายอยู่มากจริงๆ จึงกลับไปนั่งบนเก้าอี้เงียบๆ อย่างขุ่นเคือง
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูใจกล้ากว่าเขาอย่างแท้จริง นางเอาแต่จับประคองแผ่นป้ายสงบสุขไร้กังวลที่เรียบลื่นอุ่นมือแผ่นนั้น ชื่นชอบจนวางไม่ลง
แน่นอนว่าคนที่ใจกล้ามากที่สุดยังคงเป็นเฉินผิงอันนายท่านของพวกเขา
เขาหยิบแผ่นไม้ไผ่แต่ละแผ่นที่สลักตัวอักษรเรียบร้อยแล้วออกมาวางบนกำแพงดินเหนียวเล็กเตี้ยที่กั้นระหว่างสองบ้าน แบบนี้คงถือว่าตากตำราไม้ไผ่ได้แล้วกระมัง
—————————–