บทที่ 18 ไล่บี้อย่างไม่ลดละ พลิกสถานการณ์ (4) โดย Ink Stone_Romance
ตู้ฉางหมิงลอบถอนหายใจ ทั้งยังกล่าวไปก่อนอย่างรู้งาน “เมื่อวานตอนที่ท่านหญิงเค้นถามองครักษ์สองคนนั้น พวกเขาก็ยอมรับว่าได้ลงมือจนสาวใช้ผู้นั้นจนบาดเจ็บสาหัสจริงๆ หากคำกล่าวของพวกเขาเป็นความจริง เช่นนั้นมือสังหารกับสาวใช้ท่านหญิงก็คงจะเป็นแค่คนที่คล้ายกันเท่านั้น เมื่อคืนวานตอนที่พวกข้าล้อมจับกุมนาง จึงทำให้มือสังหารบาดเจ็บที่หัวไหล่ซ้ายและช่วงหลัง”
เมื่อเขาพูดจบ มือปราบที่ตรวจสอบศพนั้นเรียบร้อยไปหนึ่งครั้ง ก็กล่าวรายงาน “รายงานฝ่าบาท เป็นอย่างที่หัวปราบมือปราบพูดจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ บนตัวของศพนี้มีร่องรอยการบาดเจ็บพียงสองที่ ที่หนึ่งคือหัวไหล่ซ้าย อีกที่คือด้านหลังพ่ะย่ะค่ะ!”
มุมปากของฉู่สวินหยางลากโค้งขึ้น ยิ้มอย่างน่าสนใจขึ้นมา “ชิงหลัวร่ำเรียนวรยุทธ์มาตั้งแต่ยังเด็ก หลายปีมานี้ก็ชักมีดฟันดาบ มีประสบการณ์ไม่รู้ตั้งเท่าใด บนร่างกายอย่างไรก็ย่อมเหลือบาดแผลเก่าไว้ให้เห็นอย่างแน่นอน!”
มือปราบผู้นั้นใบหน้ามีความลำบากใจอยู่บ้าง ยังคงฝืนกล่าวกลับไปอย่างใจเย็น “ร่างของเด็กคนนี้ไม่มีแผลเป็นทั้งยังไม่มีแผลเก่าด้วยขอรับ!”
เรื่องเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ส่งผลให้การวางแผนมีข้อจำกัดด้านเวลา ยากจะหาคนที่มีรูปลักษณ์คล้ายกับชิงหลัว ใช้โอกาสปรากฏขึ้นในตอนกลางคืนให้เกิดความสับสนนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่ยากคือการให้ทำเรื่องทุกอย่างไม่มีช่องโหว่ต่างหาก
“ในเมื่อคนผู้นี้ไม่ใช่ชิงหลัว เช่นนั้นการตายของกู้ฉางเฟิงก็ไม่เกี่ยวข้องกับฉู่สวินหยางแล้ว” ฉู่อี้เจี่ยนค่อยๆ ถอนลมหายใจออกมา เงยหน้ามองไปทางฮ่องเต้
ใบหน้าของฮ่องเต้นั้นเย็นเยียบ กวาดสายตามองใบหน้าของทุกคน
ตู้ฉางหมิงนั้นเหงื่อเย็นไหลราวกับสายน้ำ โขกหัวกับพื้นกล่าว “เป็นกระหม่อมที่โง่งมพ่ะย่ะค่ะ”
“หัวหน้ามือปราบตู้กังวลมากไปจึงได้ทำเรื่องผิดพลาดออกมา!” กลับไม่คิดว่าในหมู่ผู้คนกลับเป็นฉู่สวินหยางที่ก่อนหน้านี้ถูกเขาต่อว่าอย่างร้ายแรง เวลานี้กลับเป็นคนแรกที่ออกปากแก้ต่างให้เขา
ในใจของตู้ฉางหมิงคิดสับสนงงงวยไปหมด แม้จะไม่กล้าเงยหน้าแต่ก็ยังคงใช้หางตาที่แฝงด้วยความซับซ้อนนั้นเหลือบมองไปยังนาง
เมื่อพายุผ่านไปแล้ว ใบหน้าของฉู่สวินหยางก็ยังนิ่งสงบอยู่เช่นเคย ใช้ดวงตาที่คมใสนั้นหันไปมองฮว่าเหมย “เพราะหัวหน้ามือปราบตู้กังวลมากไปจึงทำเรื่องผิดพลาด แล้วเช่นนั้นเจ้าล่ะ? ชิงหลัวถูกเผาจนเป็นเถ้าถ่านเจ้าก็จำได้อย่างนั้นรึ? หรือว่าฮว่าเหมยก็กลายเป็นขี้เถ้าแล้ว เจ้าจึงกล้าแอบอ้าง วิ่งโร่มาถึงห้องพิจารณาคดีของศาลต้าหลี่อย่างเปิดเผย กล่าวความเท็จต่อหน้าฮ่องเต้? ”
ฮว่าเหมยสั่นสะท้าน แววตาเบิกกว้างอย่างหวาดกลัว พูดด้วยเสียงสะอื้น “ท่านหญิงพูดอันใดเจ้าคะ? บ่าวก็คือฮว่าเหมยนะเจ้าคะ!”
“ฮว่าเหมยเป็นคนในเรือนข้า ข้าจำได้ว่าบนหลังมือขวาของนางมีปานเล็กๆ อยู่” ฉู่สวินหยางส่ายหน้าอย่างเสียดาย
ฮว่าเหมยเผยใบหน้าซีดเผือด ร่างสั่นไหวอยู่บ้าง
สายตาของทุกคนล้วนมองไปยังมือนางที่ถูกปกคลุมอยู่ใต้แขนเสื้ออย่างพร้อมเพรียงกัน นางกลับขดมือสั่นๆ ชั่วครู่…
มือข้างขวาของนาง แต่เดิมส่วนที่มีปานก็เป็นส่วนที่มีแผลน้ำร้อนลวก ดังนั้นจึงมองไม่ค่อยออกอยู่แล้ว
ฉู่สวินหยางใช้แววตาเรียบนิ่งมองไปยังนาง “ข้าจำได้ว่าฮว่าเหมยมีน้องสาวฝาแฝดแต่แยกกันไปตั้งแต่เด็กแล้ว น่าจะชื่อว่าตู้จวน? เพื่อความภักดีต่อนายของเจ้า เจ้าก็นับว่าใช้ความพยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว ตอนนี้สามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้ว เจ้าได้รับคำสั่งจากใครสักคนให้มายืนยันตัวชิงหลัวเพื่อใส่ร้ายข้า?”
“ไม่ใช่นะเจ้าคะ!” ฮว่าเหมยกล่าวเสียงดัง “ท่านหญิง ท่านต้องเชื่อข้านะเจ้าคะ บ่าวไม่ได้คิดจะทำร้ายผู้ใด ข้าคิดว่าคนผู้นั้นเป็นพี่ชิงหลัวจริงๆ ท่านหญิง ท่านกล่าวผิด กล่าวโทษผิดใส่บ่าวแล้วเจ้าค่ะ!”
ฉู่สวินหยางใช้สายตาที่เยือกเย็นมองหน้านาง ราวกับมองคนแปลกหน้าก็มิปาน
ใจของฮว่าเหมยสั่นตุ๊มๆ ต่อมๆ กวาดสายตามองไปรอบๆ กลับไม่พบคนที่สามารถช่วยนางได้แม้แต่คนเดียว
“ลอบสังหารขุนนางในราชสำนัก โยนความผิดให้ร้ายราชนิกุล ดี! ดียิ่งนัก!” ฮ่องเต้ที่กักเก็บอารมณ์ไว้มานาน ในที่สุดก็ปะทุออกมาในเวลานี้ ใช้นิ้วมือจับพนักเก้าอี้อย่างแรง กล่าวอย่างหนักแน่นและชัดเจน “ชายใหญ่ เจ้าไปตรวจสอบให้ดี สืบหาเสื้อผ้าและอาวุธของมือสังหารออกมาให้ชัดเจน ข้าไม่เชื่อว่านางจะไม่เผยพิรุธอันใดออกมาได้!”
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา!” ฉู่อี้อันรับคำสั่งอย่างยินดี หันไปออกคำสั่งกล่าวกับลู่หยวน “ยกศพลงไปให้ขุนนางชันสูตรศพตรวจสอบอย่างละเอียด จากนั้นนำอาวุธไปสอบถามร้านช่างตีเหล็กแต่ละร้านในเมือง แล้วเด็กคนนี้ก็จับไปขังไว้ก่อน!”
“ไม่ ฝ่าบาทเพคะ ข้าคือฮว่าเหมย บ่าวคือฮว่าเหมยจริงๆ เพคะ!” ฮว่าเหมยร้องเสียงดัง แต่ก็ยังคงถูกลู่หยวนจับตัวไปราวกับลูกไก่ตัวหนึ่งเท่านั้น
ผู้คนมากมายในห้องพิจารณาคดีนั้นล้วนถูกปล่อยตัวออกมา
ฉู่สวินหยางเหลือบสายตามองไปรอบๆ ยังคงมองไปที่ซูหลินอีกครั้งอย่างไม่ลดละ “ซูซื่อจื่อ เมื่อวานเจ้าเป็นคนสุดท้ายที่เจอชิงหลัว ถ้าหากสะดวกล่ะก็ บอกเบาะแสของนางให้ข้าได้หรือไม่?”
“ข้าไม่รู้!” ความโกรธของซูหลินพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง ตอนที่เปิดปากพูดก็ราวกับจะเก็บอารมณ์ไว้ไม่ได้
ฮ่องเต้ราวกับกวาดสายตามองไปที่สองคนนั้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ ท้ายที่สุดกลับหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูกล่าวกับมือปราบที่เข้ามารายงานก่อนหน้านี้ “องครักษ์สองคนนั้นในคุก ตายได้อย่างไรกัน?”
ใจของซูหลินหดลงทันที
ในที่สุดฉู่สวินหยางก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ…
ฮ่องเต้รอที่จะจับจุดอ่อนของจวนอ๋องฉางซุ่นไม่ใช่เพียงแค่วันสองวัน วันนี้ซูหลินกลับส่งตัวเองมาจนถึงหน้าประตู เขาไม่ฉวยโอกาสตอนที่ศัตรูอ่อนแอนี้โจมตีก็นับว่าแปลกแล้ว
มือปราบคนนั้นอึ้งไปสักพัก หลังจากนั้นจึงค่อยรวบรวมสติได้ คุกเข่าตอบกลับไป “รายงานฝ่าบาท ดื่มพิษฆ่าตัวตายพ่ะย่ะค่ะ!”
“ดื่มพิษ?” ฉู่อี้เจี่ยนที่ได้ยินก็ยิ้มขึ้นมา กล่าวอย่างประชด “ผู้คนในตอนนี้นับว่าแปลกเสียจริง ตอนที่มือสังหารดำเนินภารกิจพกยาพิษติดตัวไว้เผื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินก็ไม่แปลกอะไร แต่นี่องครักษ์ก็เลียนแบบเอากับเขาด้วยหรือ?”
ซูหลินกลับตกตะลึงไปชั่วครู่…
เขาติดสินบนผู้คุมพูดอย่างชัดเจนว่าให้แขวนคอตาย เหตุใดจึงกลายเป็นดื่มพิษได้เล่า?
ให้แขวนคอก็เพียงเพราะจะทำให้เรื่องมันง่ายๆ แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นดื่มพิษ ที่มาของยาพิษนั้นเป็นสิ่งที่ตรวจสอบได้!
“ชันสูตรไปแล้วหรือยัง? ผลเป็นอย่างไร?” ฉู่อี้อันกลับใช้น้ำเสียงที่ราวกับปฏิบัติราชกิจแต่ละวันอย่างปกติถามออกมา
“ตรวจ…ตรวจแล้วขอรับ!” มือปราบคนนั้นกล่าว ชายตาอย่างระมัดระวังกวาดมองไปที่ซูหลินหนึ่งที จากนั้นจึงค่อยกล่าว “เป็นพิษปักเป้าขอรับ!”
ภายในแคว้นซีเยว่ พิษปักเป้านั้นผลิตจากทางใต้เท่านั้น อีกทั้งสกัดออกมาอย่างยากยิ่ง ดังนั้นจึงพบเจอได้น้อย
แท้ที่จริงกลับมีคนอยากจะวางแผนใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้!
ซูหลินแค้นเคืองจนเข็ดฟัน ในตอนที่กำลังจะกล่าว ฉู่อี้อันก็พูดขึ้นมาก่อน “หากคิดอยากจะฆ่าคนปิดปาก ก็ไม่จำเป็นต้องเหลือเครื่องหมายชัดเจนเช่นนี้ให้สืบเสาะออกมา เสด็จพ่อ เรื่องนี้เหมือนว่าจะมีคนตั้งใจสร้างสถานการณ์ขึ้นมา อยากจะดึงสายตาพวกเราไปจับจ้องที่จวนอ๋องฉางซุ่น!”
หลักฐานความผิดที่ชัดเจนเกินไปก็ไม่สามารถเรียกว่าหลักฐานได้ เว้นเสียแต่นับว่าเป็นการใส่ร้ายป้ายสี
ฮ่องเต้ประกายสีหน้าเย็นเยียบ ไม่ปริปากพูดคำใดออกมา จู่ๆ ด้านนอกก็ปรากฏเสียงคนเดินขวักไขว่ดังเข้ามา ทุกคนรีบรวบรวมสติหันไปตามทิศทางของเสียง กลับพบกับฉู่ฉีเฟิงที่เผยใบหน้าขึงขังนำกำลังองครักษ์กลุ่มหนึ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ กองทหารนั้นคุ้มกันชายวัยกลางคนผู้หนึ่งอย่างแน่นหนา คนผู้นั้นถูกมัดไว้แต่ก็ยังมีท่าทีไม่ยินยอม พยายามกระเสือกกระสน ดิ้นรน ใบหน้ายังเห็นถึงความดุร้ายอยู่รางๆ
พอคนผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น องค์ชายที่อยู่ที่นี่ต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย โดยเฉพาะฉู่อี้หมิน ยิ่งไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป ยืนขึ้นมาทันที
พี่น้องของเขาทั้งหมดล้วนแต่จำได้ชัดเจน คนผู้นั้นเป็นผู้ติดตามคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายเขามานานหลายปี
“ฉีเฟิง เจ้าหมายความว่าอะไร?” ฉู่อี้หมินกดเสียงต่ำด้วยความโมโห
ฉู่ฉีเฟิงมองเขาอย่างเยือกเย็น กลับไม่ได้อธิบายอะไร ก้าวเท้าไปด้านหน้ายกชุดคลุมขึ้นก่อนจะคุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้ กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฝ่าบาท เมื่อคืนร้านช่างตีเหล็กแซ่อู่ทางตะวันออกของเมืองเกิดการนองเลือดขึ้น กองพลทหารราบจับตัวผู้นี้ไว้ได้โดยอาศัยพยานละแวกใกล้เคียงยืนยันว่าเขาเป็นผู้ลงมือ แต่เพราะว่าคนผู้นี้มีความเป็นมาที่ไม่ธรรมดา ฉีเฟิงไม่กล้าบุ่มบ่ามจัดการ จึงนำเขามาให้เสด็จปู่ตัดสินโทษแทนพ่ะย่ะค่ะ!”
ก่อนหน้านี้ในตอนที่ฉู่อี้อันส่งคนไปถามยืนยันอาวุธของมือสังหารจากร้านช่างตีเหล็กทีละคน ฉู่อี้หมินก็ไม่ได้แสดงพิรุธอะไรให้เห็นแม้แต่น้อย เพราะเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีวันพลาด ตอนที่เขาส่งคนไปทำอาวุธก็ได้ฆ่าปิดปากช่างตีเหล็กเรียบร้อยแล้ว รอจนฉู่อี้อันไปตรวจสอบน่ะหรือ? คนตายไม่สามารถให้การได้แล้วจะตรวจสอบออกมาได้อย่างไร?
แต่ว่าเป็นไปได้อย่างไร? เหตุใดคนผู้นี้จึงตกไปอยู่ในมือของฉู่ฉีเฟิงได้?
ฉู่อี้หมินเห็นได้ชัดว่ามีความลุกลี้ลุกลนอย่างยากที่จะเชื่ออยู่บ้าง
ในขณะที่ฉู่ฉีเฟิงกล่าว ก็ดึงขวดกระเบื้องลายครามออกมาจากเสื้อยื่นไปด้านหน้าพลางกล่าว “ยาพิษขวดนี้ก็ค้นหาได้จากตัวของเขา ตอนที่มือปราบจับตัวเขาได้ กล่าวว่าคนผู้นี้กำลังเดินป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ กับศาลาว่าการพระนคร เดิมทีกองพลทหารราบคิดเพียงว่าเขาเป็นหัวขโมยธรรมดาจึงจับตัวไว้ พอได้ยินว่าคุกของศาลาว่าการเกิดคดีฆาตกรรมขึ้น เมื่อลองเชื่อมโยงดูกลับพบว่าคนผู้นี้น่าสงสัย ดังนั้นจึงจับมัดไว้จนถึงตอนนี้พ่ะย่ะค่ะ!”
ในขวดใบนั้นแทบไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่าคืออะไร เวลานั้นซูหลินกลับไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือควรจะกังวลต่อไปดี…
เป้าหมายท้ายที่สุดของฉู่สวินหยางครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าพุ่งไปที่จวนอ๋องหนานเหอ ทว่าเขาก็กลับไม่แน่ใจว่าตนเองจะถูกหมายหัวอย่างไรเช่นกัน
————————————-