ตอนที่ 230 มอบของขวัญ

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ!

นางจะมีไปมีเรื่องอะไรได้

โจวเสาจิ่นคิดแล้วคิดอีก

นางอยากให้ท่านลุงใหญ่จิงหรือไม่ก็ท่านลุงรองเว่ยช่วยชี้แนะการเตรียมตัวสอบให้เลี่ยวเส้าถังผู้เป็นพี่เขย แต่นั่นก็ต้องรอให้พี่เขยลงสนามสอบให้ได้ยศจวี่เหรินในปีหน้าเสียก่อนค่อยว่ากันอีกที ส่วนตอนนี้…นางไม่มีเรื่องอะไรจริงๆ!

โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะพลางกล่าว “ข้าไม่มีเรื่องอะไรนี่เจ้าคะ!”

เฉิงฉือมองนางอย่างอดกลั้นอยู่ครู่หนึ่งอย่างช่วยไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “แล้วเจ้ามาหาข้าทำไม”

โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “วันนั้นมิใช่ว่าท่านจากไปโดยไม่บอกไม่กล่าวหรือเจ้าคะ ข้าคิดว่าอีกสองวันก็คงจะได้พบท่านอีก ปรากฏว่าทั้งที่ในบ้านคึกคักถึงเพียงนี้ แต่ข้ากลับไม่เห็นท่านเลย ก็เลยตั้งใจมาดูท่านสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าท่านจะออกไปร่วมงานวันเกิดของผู้อื่นเสียแล้ว! ไม่ทราบว่าเป็นงานวันเกิดของนายท่านผู้เฒ่าของผู้ใดหรือเจ้าคะ สนุกหรือไม่ คุณชายหกกู้ไม่ได้ไปกับท่านด้วยหรือเจ้าคะ หลายวันก่อนข้าให้คนนำของฝากที่ซื้อมาไปส่งให้คุณหนูกู้ที่สิบเจ็ด คุณหนูกู้ที่สิบเจ็ดได้รับของแล้วดีใจเป็นอย่างมาก ยังมอบผ้าไหมจางกลับมาให้ข้าด้วยสองพับ บอกว่าเป็นผ้าที่คุณชายหกกู้ให้มาเมื่อหลายวันก่อน ช่วงที่ผ่านมานี้คุณชายหกกู้ไปฝูโจวมาหรือเจ้าคะ”

เหตุใดเด็กผู้นี้ถึงพูดมากขนาดนี้

เขาถามหนึ่งประโยค นางกลับมีสิบประโยครอเขาอยู่

นอกจากนี้ยังไม่รู้ว่าเนื้อหาสาระอยู่ตรงไหนด้วย…

เฉิงฉือกล่าว “ใครบอกเจ้าว่าผ้าไหมจางอยู่ฝูโจว? ผ้าไหมจางที่ดีที่สุดมีต้นกำเนิดมาจากตันหยางของพวกเราต่างหาก ห่างจากเมืองจินหลิงไปเพียงหนึ่งร้อยกว่าหลี่เท่านั้น”

โจวเสาจิ่นร้อง “อ้อ” ไปเสียงหนึ่ง

นางไม่ได้ถามเสียหน่อยว่าผ้าไหมจางมีต้นกำเนิดมาจากที่ใด นางแค่อยากมาดูว่าช่วงนี้ท่านน้าฉือเป็นอย่างไรบ้างเท่านั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยุ่งอยู่กับการรับรองฮูหยินซ่ง ย่อมไม่มีคนมาใส่ใจเรื่องของเขาอย่างแน่นอน ตอนอยู่บนเรืออารมณ์เขาดียิ่ง อ่านหนังสือได้ทั้งคืน!

โจวเสาจิ่นกล่าว “ท่านน้าฉือ ช่วงนี้ท่านทำอะไรบ้างเจ้าคะ ฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีเวลามาดูแลท่าน ยามว่างเว้นจากธุระท่านก็ออกไปเดินเล่นเองบ้างนะเจ้าคะ! หรือไม่อย่างนั้นก็ย้ายไปพักที่เจ่าหยวนช่วงหนึ่งก็ได้! ไม่ใช่ว่าที่นั่นเป็นบ้านพักอีกหลังหนึ่งของท่านหรอกหรือ บรรยากาศน่าจะดียิ่งนัก! จะได้ไม่ต้องอ่านหนังสือหรือเล่นหมากตามตำราอยู่ในห้องอย่างเหงาหงอยเพียงคนเดียวเจ้าค่ะ”

เจ้าเด็กคนนี้ ยุ่งวุ่นวายยิ่งนัก ถึงขั้นมากะเกณฑ์เรื่องของเขาแล้ว!

เฉิงฉือกล่าว “เรื่องของข้าไม่ต้องให้เจ้ามายุ่ง เจ้าสนใจดูแลเรื่องของเจ้าให้ดีก็พอ! ได้ยินว่าคราวก่อนที่เจ้าไปวัดหลิงกู่กับฮูหยินซ่งนั้น ฮูหยินซ่งขึ้นเกี้ยวไปอย่างปลอดภัยแล้ว แต่เจ้ากลับหายตัวไป!”

โจวเสาจิ่นหน้าแดงเรื่อ ถามขึ้นว่า “ท่านน้าฉือทราบได้อย่างไรเจ้าคะ”

เมื่อก่อนนางก็เคยไปวัดหลิงกู่มาก่อน แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ ตอนไปวัดหลิงกู่กับฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับตอนไปวัดหลิงกู่กับฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้นได้รับการรับรองที่ไม่เหมือนกันเลยแม้แต่นิดเดียว กล่าวคือ ตอนไปวัดหลิงกู่กับฮูหยินผู้เฒ่ากวนนั้น เป็นเพียงการไปจุดธูปที่วิหารเทพหลังหลัก ไปฟังพระเทศน์ที่วิหารด้านข้าง แล้วก็ไปกินอาหารเจที่ห้องข้าง แต่คิดไม่ถึงว่าตอนไปกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้น ผู้ต้อนรับของวัดหลิงกู่ถึงกับเปิดเจดีย์อันเป็นสุสานของพระรูปหนึ่งนามว่าเป่าจื้อของยุคสมัยหนึ่ง นางถึงได้รู้ว่าวัดหลิงกู่มีสถานที่เช่นนี้อยู่ด้วย

เรื่องนี้ล้วนไม่เอ่ยถึงแล้ว ภายในวิหารจื้อกงที่อยู่เบื้องหน้าเจดีย์อันเป็นสุสานของพระเป่าจื้อนั้นมีแท่นศิลาสีดำอยู่หนึ่งแผ่น บนแท่นศิลานั้นนอกจากจะมีภาพเหมือนที่นักบุญอู๋เต้าจื่อวาดให้เป่าจื้อ เป็นที่ที่นักกวีและนักปราชญ์หลี่ป๋ายให้คำจาลึกเอาไว้บนภาพแล้ว ยังมีคำอุทิศที่ปรมาจารย์ด้านการเขียนอักษรเหยียนเจินชิงเขียนด้วยตัวเองจารึกเอาไว้อีกด้วย ตอนนั้นนางดูแล้วก็ก้าวขาไม่ออกไปเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าผู้ต้อนรับของวัดหลิงกู่ที่ห้อมล้อมฮูหยินผู้เฒ่ากัวและฮูหยินซ่งอยู่นั้นกำลังจะเลี้ยว นางจึงแอบไปขอกระดาษจากสามเณรของวัดมาทาบเพื่อถูคัดลอกคำจารึกบนแท่นศิลาออกมา…ปรากฏว่าเมื่อนางถูจนคัดลอกคำจารึกเสร็จ ท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว และก็ไม่เห็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวและฮูหยินซ่งแล้ว ทำให้นางตกใจไปเป็นการใหญ่ หากไม่ใช่ว่าซางหมัวมัวตามมาเจอทันเวลาล่ะก็ เกรงว่าวันนั้นนางคงได้ทำเรื่องขายหน้าไปแล้ว

เฉิงฉือหางตากระตุก

เด็กคนนี้ช่างตอบออกมาได้อย่างสบายอกสบายใจยิ่งนัก!

หากไม่ใช่เพราะเห็นว่านางเป็นสตรีของตระกูลเฉิงในซอยจิ่วหรูแล้วก็ติดตามไปกับมารดาล่ะก็ แค่เรื่องที่นางไปถูเพื่อคัดลอกคำจาลึกของวิหารจื้อกง วัดหลิงกู่ก็กักตัวนางเอาไว้ที่วัดหลิงกู่ได้แล้ว!

ไม่อย่างนั้นมารดาคงไม่ให้เขาเร่งไปที่วัดหลิงกู่อย่างรีบร้อนเช่นนั้น

โชคดีที่นอกจากเรื่องนี้แล้วนางไม่ได้ทำผิดอะไรอีก มารดาเองก็คิดเพียงว่าเพราะนางไม่รู้เรื่องรู้ราว จึงไม่ได้ว่ากล่าวอะไร

ไม่รอให้เขาได้กล่าวอะไร โจวเสาจิ่นก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความยินดี ยืนอยู่หน้าโต๊ะหนังสือตัวใหญ่ของเขาพลางเรียก “ท่านน้าฉือ” ออกมาเสียงหนึ่งอย่างยิ้มแย้ม กล่าวต่อว่า “ข้ารู้แล้ว ต้องเป็นซางหมัวมัวเล่าให้ท่านฟังเป็นแน่! ในที่สุดข้าก็ได้เห็นภาพอักษรจริงๆ ของปรมาจารย์เหยียนแล้วเจ้าค่ะ ท่านน้าฉือ นั่นเป็นลายมือของเหยียนเจินชิงจริงๆ หรือเจ้าคะ ไต้ซือผู้ต้อนรับของวัดหลิงกู่บอกว่าเป็นของจริงเจ้าค่ะ อย่างไรก็ตามคนในวัดส่วนใหญ่ชอบกล่าวเกินจริงยามอยู่ต่อหน้าลูกวัด แต่ต่อให้แท่นศิลาในวิหารจื้อกงแผ่นนั้นเป็นของปลอม ทว่าตัวอักษรนั้นตั้งตรงสง่างาม เหนือจินตนาการ เรียบง่ายและทรงพลัง ก็ต้องเป็นลายมือของปรมาจารย์สักท่านเป็นแน่ ได้ถูคัดลอกกลับมาพินิจดูและฝึกเขียนตามทุกวัน ก็ถือว่าไม่เสียเที่ยวแล้วเจ้าค่ะ!”

ใช่สิ!

เฉิงฉือลอบใคร่ครวญอยู่ในใจ

ข้าจ่ายค่าธูปเทียนให้วัดหลิงกู่ไปหนึ่งพันเหลี่ยง เจ้าย่อมไม่เสียเที่ยวอยู่แล้ว

โจวเสาจิ่นกลับเบิกดวงตาโพลง กล่าวอย่างลังเลใจว่า “ท่านน้าฉือ ท่านไม่พอใจหรือเจ้าคะ”

บางทีอาจเป็นเพราะฝึกเก็บสีหน้าและอารมณ์มาตั้งแต่เด็ก เฉิงฉือจึงกล่าวปฏิเสธไปตามสัญชาตญาณว่า “ข้าไม่ได้ไม่พอใจ”

จริงหรือ

โจวเสาจิ่นจ้องเฉิงฉือตาไม่กะพริบ ราวกับต้องการจะจำแนกจริงเท็จออกจากการแสดงออกทางสีหน้าเพียงเล็กน้อยของเขาออกมาให้ได้อย่างไรอย่างนั้น

ตลอดชีวิตของเฉิงฉือนี่นับเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าไม่ค่อยเป็นตัวเองนัก

ดวงตาดำสลับขาวของเด็กผู้นี้ ประหนึ่งน้ำพุใสไหลเย็นสายหนึ่ง เขามองเห็นเงาของตัวเองผ่านนัยน์ตาทั้งคู่ของนางได้อย่างชัดเจน…

เฉิงฉือลอบต่อว่าอยู่ในใจประโยคหนึ่งอย่างอดไม่ได้

ทั้งๆ ที่รู้ว่าเด็กคนนี้เป็นคนที่ไม่อาจจับประเด็นได้ เขาก็ยังจะไม่กล่าวให้ตรงประเด็น นี่ไม่ใช่ว่าเป็นการหาเรื่องให้ตัวเองหรอกหรือ

เขารีบตัดจบปัญหา กล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อเจ้าไม่มีเรื่องอะไร เช่นนั้นก็กลับไปได้แล้วกระมัง! ไม่ใช่ว่าท่านแม่ของข้าให้เจ้าช่วยพี่สาวของเจ้าจัดงานเลี้ยงหรอกหรือ เจ้าออกมาเช่นนี้เกรงว่าคงไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยกระมัง”

ท่านน้าฉือต้องไม่ค่อยพอใจเป็นแน่

ไม่อย่างนั้นเขาจะต้อง ‘ไล่’ ตนออกไป ไม่ใช่ ‘เกลี้ยกล่อม’ ให้ตนออกไปเช่นนี้

ท่านน้าฉือเวลากระทำอะไรจะมีข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่ง

นั่นก็คือเวลาที่เขายิ่งไม่พอใจเขาจะยิ่งปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความสุภาพ เวลาที่อารมณ์ดีก็จะยิ่งปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างสบายๆ

โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม ถามเฉิงฉือว่า “พรุ่งนี้ท่านยังต้องไปร่วมงานวันเกิดอีกหรือไม่เจ้าคะ”

บางครั้งงานเลี้ยงวันเกิดจะจัดขึ้นสองถึงสามวัน มีเพียงหนึ่งวันในจำนวนวันเหล่านั้นเป็นงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการ

เฉิงฉือกล่าว “ไม่ไป!”

“เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้ามาเล่นหมากกับท่านได้หรือไม่เจ้าคะ”

หากไม่ต้องหลอกล่อให้มารดาสบายใจ เฉิงฉือไม่มีความอดทนพอจะงัดข้อกับเด็กผู้นี้จริงๆ

“พรุ่งนี้ข้าไม่อยากเล่นหมาก”

“เช่นนั้นท่านสอนข้าเล่นหมากก็แล้วกัน”

“ข้าไม่อยากสอนเจ้า”

“เช่นนั้นท่านดูข้าเล่นหมากตามตำราก็แล้วกัน!”

“เจ้าเล่นหมากตามตำราเป็นหรือ”

“ไม่เป็นเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างหน้าไม่อาย “เพราะฉะนั้นข้าถึงได้อยากเรียนกับท่าน!”

“เฉินต้าเหนียงของเจ้าไปไหนแล้ว”

“นางสอนได้ไม่ดีเท่าท่าน” โจวเสาจิ่นกล่าว “นางสอนข้ากว่าครึ่งค่อนวันข้ายังดูหมากไม่เป็นเลย แต่ท่านสอนข้าเพียงไม่กี่วัน ข้าก็ดูวิธีการเริ่มเล่นที่มุมเป็นแล้ว”

“พรุ่งนี้ข้าไม่ว่าง!”

“ข้าไม่ได้จะให้ท่านเฝ้าอยู่ข้างกายข้าตลอด” โจวเสาจิ่นกล่าว “ข้าเพียงนั่งเล่นตามตำราอยู่ในห้องหนังสือของท่าน เวลาไม่เข้าใจก็ถามท่าน ท่านเพียงตอบข้าคำหนึ่งก็พอแล้วเจ้าค่ะ…”

เขาไม่รู้ว่านางยังเป็นตัววุ่นวายผู้หนึ่งอีกด้วย!

เฉิงฉือยิ้มอย่างโมโห กำลังจะกล่าวอบรมนางสักสองประโยค ไหวซานก็ยื่นหน้าเดินเข้ามาเสียก่อน กล่าวเสียงเบาว่า “นายท่านสี่ ทางร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่สาขาหังโจวส่งดอกไม้มาให้ บอกว่าให้คุณหนูรองขอรับ…”

โจวเสาจิ่นตะลึงงัน ถามขึ้นว่า “ให้ข้าหรือ”

ไหวซานไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองหน้าเฉิงฉือ กล่าวเสียงนอบน้อมว่า “ขอรับ! บอกว่าครั้งก่อนคุณหนูรองกล่าวชมว่าสาขาของพวกเขาปลูกดอกไม้ได้งดงาม ตอนนั้นพวกเขาเลือกดอกไม้ดีๆ ให้คุณหนูรองได้แล้วหลายกระถาง เพียงแต่ว่าเวลาที่คุณหนูรองพักอยู่ที่นั่นสั้นไปสักหน่อย อีกทั้งไม่ใช่เวลาที่จะย้ายมาปลูกในกระถางของดอกไม้เหล่านั้น เกรงว่าหากมอบให้คุณหนูรองเลยจะเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรขึ้นได้ จึงฝากดอกไม้ไว้กับอาจารย์เหมียวห้าชั่วคราวก่อน และเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้อาจารย์เหมียวห้าบอกว่าดอกไม้พวกนี้เคลื่อนย้ายได้แล้ว ทางสาขาหังโจวจึงให้คนนำมาส่งให้เป็นการเฉพาะขอรับ”

“อา!” ตอนที่โจวเสาจิ่นจากมายังไม่ได้รับดอกไม้ จึงลืมเรื่องนี้ไปตั้งนานแล้ว คิดไม่ถึงว่าสาขาหังโจวที่อยู่ห่างออกไปไกลถึงพันหลี่จะส่งดอกไม้มาให้

นางหันไปมองเฉิงฉือ

นัยน์ตาของเฉิงฉือมีความกรุ่นโกรธสายหนึ่งวาบผ่าน

พวกนี้ช่างไร้ความสามารถจริงๆ

ถึงกับคิดวิธีเช่นนี้มาประจบประแจงเขา

จะให้ดอกไม้ก็ให้ไปก็ได้แล้ว แต่เพื่อประจบประแจงเขาแล้ว ตอนนั้นจึงไม่ส่งดอกไม้มาที่เรือ พอเรื่องซาไปช่วงหนึ่งค่อยให้คนนำมาส่งให้…อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเขาตั้งใจว่าจะขายร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ทิ้งไปในเวลาที่ร้านดำเนินการได้ดีที่สุดเพื่อให้ได้ราคาดีที่สุด ฉะนั้นร้านอวี้ไท่จะดีหรือร้ายก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาแล้ว

เขาถอนหายใจลึกๆ ครั้งหนึ่งอย่างเงียบๆ

โจวเสาจิ่นตัวสั่น

ท่านน้าฉือต้องโกรธมากแล้วเป็นแน่!

นางหันไปโบกมือให้ไหวซาน “ข้าไม่เอา เจ้าไปบอกพวกเขาว่าข้าไม่อาจรับไว้ได้”

แน่นอนว่าไหวซานไม่ฟังคำของนาง หันสายตาชำเลืองมองไปที่เฉิงฉืออย่างรวดเร็ว

ใครจะรู้ว่าเฉิงฉือกลับมีสีหน้าปกติ เหมือนจะดูอบอุ่นเล็กน้อยด้วยซ้ำ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ไหนๆ ก็ส่งมาแล้ว ก็รับเอาไว้เถิด!”

ไหวซานรู้สึกปลายนิ้วเย็นยะเยือก

ยิ่งนายท่านสี่โกรธมากเท่าไหร่สีหน้าก็จะยิ่งดูใจดีมากเท่านั้น

เขาขานรับว่า “ขอรับ” อย่างระมัดระวังด้วยความเกรงกลัว กล่าวเสียงเบาว่า “คนที่มาส่งดอกไม้คือฮูหยินหวัง นางกล่าวว่า อยากจะเข้ามาคารวะคุณหนูรองสักครั้งขอรับ…”

“ได้!” เฉิงฉือกล่าวเรียบๆ “เจ้าไปบอกสื่อมามา ให้นางช่วยเตรียมการให้ก็แล้วกัน”

ไหวซานวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วปานควันที่สลายไปในอากาศ

เฉิงฉือเคาะโต๊ะหนังสือตัวใหญ่เบาๆ

บางทีเขาอาจไม่เหมาะจะเป็นคนดูแลเรื่องพวกนี้จริงๆ

ผู้อื่นต่างคิดว่าการก่อตั้งร้านตั๋วแลกเงิน การช่วงชิงอาหารจากปากของพวกเซ่อเซี่ยนกลุ่มนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขาใช้อุบายเพียงเล็กน้อยก็ก่อตั้งร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ขึ้นมาได้ แต่เมื่อสร้างร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ขึ้นมาได้แล้ว เขากลับไม่มีความสนใจอะไรอีก ตอนนี้ยังเกิดข้อผิดพลาดใหญ่ขนาดนี้ขึ้นมาอีก มารดาชมว่าต้นกุ้ยฮวาที่สาขาหนิงโปว่าปลูกได้ดี วันรุ่งขึ้นสาขาหังโจวก็ทราบเรื่องแล้ว ยังกล้าให้คนเอาดอกไม้มาส่งให้คนข้างกายของเขาอีก เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นในวันสองวันเป็นแน่…

บางทีอาจถึงเวลาที่ต้องขายร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ทิ้งแล้วจริงๆ

ก่อนหน้านี้เขายังลังเลเล็กน้อย อยากจะเหลืออะไรเอาไว้ให้ซอยจิ่วหรูบ้าง แต่ตอนนี้ดูทีแล้วคงเก็บเอาไว้ไม่ได้แล้ว

แต่เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เมื่อไม่มีเงินแล้ว ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะทำตัวดีขึ้นก็เป็นได้

เมื่อเฉิงฉือตัดสินใจได้แล้ว พอเงยหน้าขึ้นกลับเห็นโจวเสาจิ่นก้มหน้าก้มตา ใจจดใจจ่อไม่กล้าหายใจ ยืนไม่ขยับเขยื้อนอยู่ตรงนั้น ดูเสมือนกับภรรยาสาวที่ถูกทำให้ตกใจกลัวจนเสียสติไปแล้วก็ไม่ปาน

เขากล่าวขึ้นอย่างแปลกใจว่า “เหตุใดเจ้ายังไม่ไปอีก”

โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งราวกับได้ปลดภาระอันหนักอึ้งทิ้งไปเสียที กล่าวอย่างยินดีว่า “ข้าไปได้แล้วหรือเจ้าคะ”

เจ้าเด็กคนนี้คิดไปถึงไหนต่อไหนอีกแล้ว

เฉิงฉือพยักหน้า

โจวเสาจิ่นเผยรอยยิ้มสดใสออกมา รีบกล่าวว่า “ท่านน้าฉือ ข้าไม่ได้อยากให้พวกเขาส่งดอกไม้มาให้จริงๆ นะเจ้าคะ ประเดี๋ยวพวกเขามอบดอกไม้ให้แล้วข้าจะรับเอาไว้ก่อน จากนั้นค่อยส่งมาให้ท่าน” นางกล่าวจบ ก็ยกเท้าวิ่งออกไปด้านนอก

เฉิงฉือตะโกนเรียก “กลับมาก่อน”

โจวเสาจิ่นหมุนกายกลับมา แต่ไม่รอให้เฉิงฉือได้เอ่ยปากก็กล่าวออกมาก่อนว่า “ท่านน้าฉือ ฮูหยินหวังผู้นั้นจะมาคารวะข้า ข้าต้องตกเงินรางวัลให้เท่าไรถึงจะเรียกว่าไม่เสียมารยาทหรือเจ้าคะ! นางเป็นฮูหยินของหลงจู๊ไม่ใช่หมัวมัวข้างกายของตระกูลใดด้วย!”

เฉิงฉือถูกนางทำให้ไขว้เขว ยิ้มเย็นพลางกล่าวว่า “ในเมื่อนางทำตัวเป็นบ่าว เช่นนั้นเจ้าก็ปฏิบัติกับนางเสมือนเป็นบ่าวผู้หนึ่งก็แล้วกัน!”

โจวเสาจิ่นเข้าใจแล้ว ยิ้มตาหยีพลางพยักหน้า แล้ววิ่งออกไป

…………………………………