ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 26 เก็บรวบรวม

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ถ้าหากค่ำคืนนั้นหลังจากที่จุดแสงสว่างดาวโชคชะตา เฉินฉางเซิงดึงแสงดวงดาวเข้าสู่ร่างกายเพื่อที่จะชำระล้างกระดูก ไม่แน่ว่าหญิงสาวที่อยู่ในสวนร้อยหญ้าซึ่งมีเพียงกำแพงกั้นระหว่างสำนักฝึกหลวงผู้นั้น จะสามารถอาศัยพรสวรรค์ของตนเอง ติดตามจากการรับรู้ที่ยังไม่ได้ตัดขาดและค้นพบที่อยู่ของเขา ถ้าหากเหงื่อที่รินไหลอยู่บนพื้นเหล่านั้นไม่พบกับสายลมประหลาดจนถูกพัดให้เหือดแห้ง ไหลซึมเข้าไปในพื้นจนไม่อาจหาพบอีก นางอาจจะสามารถหาเขาพบ

ปัญหาอยู่ตรงนี้ ลักษณะที่แสดงออกมาของเฉินฉางเซิงตอนนี้ไม่เหมือนกับคนธรรมดา หรือจะพูดได้ว่าเขามีความคิดที่ไม่เหมือนกับคนอื่น เขาไม่ลังเลที่จะต้านทานความยั่วยวนใจในการชำระล้างกระดูก มุ่งกลับไปยังอาคารหลังเล็กๆ ชำระร่างกายแล้วนอนหลับ คราบเหงื่อบนพื้นอันน้อยนิดก็มองไม่เห็นนานแล้ว

วันต่อมา เฉินฉางเซิงตั้งใจอ่านคัมภีร์ชำระล้างกระดูกอีกหนึ่งรอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่ว่าด้วยการดึงแสงดวงดาวเข้าร่างชำระล้างกระดูกส่วนสุดท้าย และยังจดบันทึกไว้มากมาย เพื่อยืนยันว่าตนเองได้เข้าใจเนื้อหาทั้งหมดแล้ว ไปงีบหลับพักผ่อนที่สนามหญ้าข้างทะเลสาบ รอตะวันบ่ายคล้อยร่วงตกไปยังกำแพง ความมืดยามราตรีได้มาถึง เฉินฉางเซิงมั่นใจว่า สภาพร่างกายและจิตใจ อยู่ในสภาวะที่ดี ถึงจะเปิดประตูใหญ่ของหอตำราเข้าไป เริ่มการชำระล้างกระดูกอย่างเป็นทางการ

พลังจิตของเขาแพร่กระจายไปยังท้องฟ้า ไม่ได้ข้ามผ่านหลังคาหอตำรามุ่งไปยังฟากฟ้า แต่กลับรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างตนเองและดาวดวงเล็กสีแดงที่อยู่ไกลโพ้นได้ก่อเกิดเป็นความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ความรู้สึกนี้ไม่ชัดเจน หากจะพูดให้ถูกต้อง ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและดาวดวงนั้นไม่ได้หลงเหลือการรับรู้ใดๆ ไว้บนโลกใบนี้ทั้งร่างกายและจิตใจ แต่เขาเชื่อมั่นอย่างยิ่ง ดาวดวงนั้นอยู่ที่นั่น ผู้ใดก็ไม่สามารถช่วงชิงไปได้

ก็เหมือนกับที่ใต้เท้าสังฆราชเคยกล่าวเมื่อปีนั้น เส้นแสงนั้นมีอยู่จริง

เฉินฉางเซิงหลับตาลง จิตใจสงบนิ่ง เปิดจิตวิญญาณ ทำตามวิธีของคัมภีร์การชำระล้างกระดูก ปล่อยตนเองลงสู่การไม่ใส่ใจกับสรรพสิ่งและตัวตน อยู่ในสภาพที่ผ่อนคลายอย่างสิ้นเชิง เฝ้ารอให้แสงดวงดาวรวบรวมเป็นส่วนที่ยอดเยี่ยมที่สุด ไล่ตามเส้นแสง และมุ่งมายังด้านหน้าของตนเอง

เวลาค่อยๆ ไหลผ่านประหนึ่งสายน้ำ สายลมยามค่ำคืนอ่อนโยน เวลาการรวบรวมได้มาถึง

ป่าไม้ด้านนอกหอตำราทั้งผืนเงียบเชียบ เมื่อวานป่าไม้ผืนนี้ถูกคนงานของสำนักการศึกษากลางตัดเล็มใหม่ทั้งหมด กิ่งไม้เล็กๆ รกรุงรังจำนวนมากมายถูกฟันขาด กองกิ่งไม้ที่หักขาดเหล่านั้นเปล่าเปลือยอยู่กลางพื้นที่ว่าง แผ่กระจายกลิ่นที่มีเอกลักษณ์พิเศษของต้นไม้ ถูกสายลมยามค่ำคืนพัดส่งไปยังที่ห่างไกล

กลิ่นไม้ที่กองกิ่งไม้หักขาดเหล่านั้นแผ่กระจายออกมาฉุนรุนแรงเช่นนี้ เป็นเพราะของเหลวเหนียวหนึบเกือบโปร่งใสที่กำลังซึมไหลออกมาด้านนอก นั่นก็คือยางไม้ ต้นไม้ในสำนักฝึกหลวงมีมากมายหลายชนิด อย่างน้อยก็จะต้องมีต้นผลไม้ที่มีกลิ่นหอมอย่างยิ่ง

มีต้นไหวที่ลำต้นใหญ่หนา กิ่งที่หนาเมื่อใกล้กับพื้นดินจะถูกฟันขาด หนึ่งในรอยนั้นมองแล้วเหมือนรอยแผลเป็น ยางไม้ที่รวบรวมไว้อยู่ด้านบนมีมากมาย ถูกสายลมยามค่ำคืนพัดผ่านไปตามลำต้น ทำให้ไหลย้อยลงมาบนพื้น ถ้าหากเป็นคนที่หลงใหลในการสังหารมองดูภาพนี้ คงจะคิดว่าแขนของต้นไหวที่ถูกฟันขาดกำลังมีเลือดไหล แต่ความเป็นจริงภายใต้แสงพร่างพราวสีเงินของดวงดาว ยางไม้ที่กำลังรินไหลเหมือนกับน้ำอ้อยที่แสนหวาน

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ราวกับว่ายางไม้เป็นน้ำผึ้งก็มิปาน สุดท้ายจึงไหลหยดลงมายังพื้น ตกลงไปบนหย่อมหญ้า ทำให้แมลงตัวหนึ่งแปรเปลี่ยนเป็นรูปร่างแรกเริ่มของอำพันอย่างโชคดีหรือจะบอกว่าเหี้ยมโหดก็ได้ สุดท้ายแล้วมันจะกลายเป็นอาหารของแมลงเหล่านั้น

คล้ายกับเป็นรูปภาพ ในหอตำราก็เคยปรากฏขึ้นแล้ว

ดวงดาวนับไม่ถ้วนได้เปล่งแสงสว่างไสว ทอดตกลงมายังเส้นที่ไม่มีรูปร่าง หมดหนทางที่จะสังเกตเห็นเส้นนั้น ถูกรวบรวมเป็นส่วนที่ยอดเยี่ยมที่สุดอย่างหนาแน่น หลังจากนั้นจึงไหลรินไปตามเส้นสายนั้นลงสู่ด้านล่างอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ว่าข้ามผ่านระยะทางมาเท่าไหร่ มองข้ามหลังคาของหอตำรา สุดท้ายจึงไหลเข้ามายังร่างกายของเฉินฉางเซิง

แสงพร่างพราวของดวงดาวอ่อนนุ่ม ผิวหนังและกล้ามเนื้อบนใบหน้าของเฉินฉางเซิงแปรเปลี่ยนไปดั่งหินหยก หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ แสงพร่างพราวของดวงดาวเหล่านั้นเหมือนกับเม็ดทรายที่ผ่านทะลุนิ้วมือ ซึมลอดไหลผ่านเข้าไปเหมือนสายลม หมดหนทางที่จะมองเห็นอีก ใบหน้าของเขากลับเป็นเหมือนก่อนหน้านี้ ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ

ยังมีแสงพร่างพราวของดวงดาวอีกมากมายไหลลงสู่ร่างกายของเขา แสงดวงดาวเหล่านั้นราวกับว่าสามารถที่จะมองข้ามสิ่งขีดขวางใดๆ ซึมผ่านเข้าไปยังเสื้อผ้าของเขาอย่างง่ายดายและเงียบกริบ ร่วงหล่นอยู่บนผิวด้านนอกของร่างกายเขา แต่กลับยังคงไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้ง ซึมเข้าไปยังร่างกายด้านใน แต่ไม่รู้ว่าไปที่ไหน

เฉินฉางเซิงหลับตา จึงมองไม่เห็นภาพเหล่านี้ และก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องราวเหล่านี้ขึ้น

จนกระทั่งแสงรุ่งอรุณสาดส่องมาทั่วเมืองจิงตู ไก่ตัวผู้ส่งเสียงร้อง เขาถึงตื่นขึ้น

เขารู้สึกตื่นเต้น สิบสี่ปีมานี้น้อยมากที่จะเคยตื่นเต้นเช่นนี้ เพราะว่าถ้าหากชำระล้างร่างกายสำเร็จ เช่นนั้นเขาก็สามารถเหยียบย่ำบนหนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ไม่ว่าสามารถชิงอันดับแรกของการสอบใหญ่มาได้หรือไม่ สำหรับโชคชะตาของตนเอง เขาก็ได้รับพลังคำพูดบางอย่าง

ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ดีต่อร่างกาย เขากล่าวกับตนเองอย่างเงียบๆ ใช้อานุภาพของจิตที่ไม่สอดคล้องกับอายุอย่างสิ้นเชิง เขาสงบนิ่งลงในเวลาสั้นๆ หลังจากนั้นจ้องมองไปยังมือทั้งสองข้างของตนเอง ลักษณะท่าทางเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในแววตารู้สึกผิดหวังห่อเหี่ยวและไม่สามารถอธิบายได้

มือของเขาไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง สะอาดสะอ้านเหมือนกับเมื่อคืนวาน

เขาล้วงเอากระจกกลมเล็กๆ ออกมาจากหน้าอก จ้องมองใบหน้าตนเองในกระจก หลังจากเงียบนิ่งชั่วครู่ จึงวางกระจกลง ดึงคอเสื้อออกมาก้มมองไปยังร่างกายของตนเอง พบว่าล้วนแต่ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง สะอาดเหมือนกับหลายๆ ปีที่ผ่านมา

ชำระล้างกระดูกสำเร็จ ไม่ควรจะเป็นเช่นนี้

ตามคำกล่าวของคัมภีร์ชำระล้างกระดูก การดำรงชีวิตของมนุษย์บนโลกใบนี้ การบริโภคอาหารและการหายใจ คนเราจะรับเอาสารอาหารเข้าไปด้วย และก็รับเอาความสกปรกของฟ้าดินเข้าไปในร่างกายในเวลาเดียวกัน ดังนั้นถึงต้องดึงแสงดวงดาวเข้าสู่ร่าง หยิบยืมพลังที่อ่อนโยนของดวงดาวซึ่งบริสุทธิ์ที่สุด ขับไล่สรรพสิ่งทั้งหมดทั้งมวลออกภายนอกร่างกาย

ตามคำกล่าวของคนรุ่นก่อน หลังจากชำระล้างกระดูกสำเร็จ ร่างกายของผู้คนจะหลั่งเหงื่อที่มีกลิ่นเหม็นคาวออกมาจำนวนมาก หรือแม้กระทั่งมีอาการท้องเสียอย่างรุนแรง เช่นนี้ถึงจะสามารถยืนยันได้ว่าร่างกายได้ขับของสกปรกออกมา

ทว่าร่างกายของเฉินฉางเซิงไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง

เขาเป็นคนติดสะอาดเล็กน้อย รักความสะอาดอย่างยิ่ง แต่ว่าเวลานี้เขาปรารถนาที่จะพบเห็นโคลนดำอันสกปรกเหม็นคาวอย่างไร้ที่เปรียบจากร่างกายของตนเอง เพราะว่าเรื่องนี้กับความสะอาดไม่ได้เกี่ยวข้องกัน มองอย่างไรก็ไม่ควรที่จะเป็นดังเช่นตอนนี้

เฉินฉางเซิงจ้องมองพระอาทิตย์ที่กำลังลอยขึ้นข้างนอกหน้าต่าง เงียบนิ่งเป็นเวลานาน

ทันใดนั้น เขาเอาหลังมือแนบลงบนพื้น ใช้แรงถูกลงไปสองครั้ง หลังจากรับรู้ถึงความเจ็บปวดจริงๆ เขาจึงยกมือขึ้นมาดู หลังมือมีรอยสีแดงขนาดใหญ่ปรากฏ ยังสามารถมองเห็นเส้นเลือดได้รางๆ ด้วยเหตุนี้เขาจึงรู้ว่าที่จริงแล้วตนเองชำระล้างกระดูกไม่สำเร็จ

เมื่อแสงดวงดาวย่างกรายมาถึง สิ่งที่ถูกสัมผัสก่อนก็คือผิวหนัง ดังนั้นเมื่อเริ่มการชำระล้างกระดูก จะต้องเสริมความแข็งแรงให้กับผิวหนัง

ผิวหนังของเขาเมื่อเทียบกับเมื่อคืนวานไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น

เฉินฉางเซิงเงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด เดิมทีเขาคิดว่าปัญหาก็คือพลังลมปราณที่ไม่หมุนเวียนของตนเองทำให้จิตวิญญาณง่ายต่อการสูญหาย ภายภาคหน้าหากนำแสงของดวงดาวมาเปลี่ยนแปลงเป็นพลังที่แท้จริงในร่างกายคงทำได้ยาก แต่คิดว่าอย่างน้อยก็สามารถชำระล้างกระดูกในขั้นตอนนี้สำเร็จ คิดไม่ถึงว่าจะยังคงไม่สำเร็จ

แสงอรุณค่อยๆ เปลี่ยนเป็นรุนแรงขึ้น เขายืดตัวลุกขึ้น มุ่งออกไปยังด้านนอกของหอตำรา สาเหตุคงเป็นเพราะว่าเขานั่งขัดสมาธิมาทั้งคืน ร่างกายรู้สึกปวดเมื่อย ก้าวเดินเชื่องช้าลง เมื่อมองจากทางด้านหลัง กลับดูเหมือนเด็กที่เพิ่งหายจากโรคร้าย

เดินกลับไปยังอาคารหลังเล็กๆ จ้องมองไปยังเตาไฟ ไอน้ำที่ร้อนพุ่งออกมาจากกาน้ำ เขารู้สึกเศร้าเสียใจ ตามบันทึกของคัมภีร์ชำระล้างกระดูก เขาคิดว่าเมื่อตนเองกลับมาถึง ทั่วทั้งตัวคงจะสกปรก ดังนั้นเขาจึงเตรียมน้ำร้อนไว้ก่อน ใครจะไปคิดว่าแม้แต่เหงื่อสักหยดก็ไม่ไหลออกมา

เขาคิดไตร่ตรอง ในที่สุดจึงตัดสินใจอาบน้ำชำระร่างกาย

ไม่ใช่เพราะว่านั่งอยู่บนพื้นมาทั้งคืน และก็ไม่ใช่เพราะว่าฝุ่นละอองในสำนักฝึกหลวง

ร่างกายของเขามีปัญหา เช่นนี้จึงทำให้เขาไม่ชอบร่างกายตนเองอย่างยิ่ง เขาคิดว่าร่างกายตนเองสกปรกมาตลอด

เขาขยันหมั่นเพียรในการล้างหน้าบ้วนปาก รักความสะอาดอย่างยิ่ง ติดสะอาดเล็กน้อย ที่จริงแล้วคงจะเป็นเพราะจุดนี้

เขาเอาน้ำร้อนเทลงในถังใหญ่ที่มุมกำแพง เดินเข้าไปข้างใน ใช้ผ้าเช็ดหน้าเปียกประกบลงบนใบหน้า พิงอยู่ที่ขอบถังกางแขนทั้งสองข้างออกไปด้านหลังเพื่อค้ำกาย รู้สึกเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง

ข้างใต้ผ้าเช็ดหน้าที่เปียกมีเสียงทอดถอนลมหายใจที่เบาบางไม่สามารถได้ยินออกมา

เวลานี้

กำแพงของสวนทางด้านนั้น ก็มีเสียงทอดถอนลมหายใจสะท้อนออกมาไม่ชัดเจน

เฉินฉางเซิงคิดในใจ ที่จริงแล้วทุกที่ล้วนแต่มีผู้คนที่เศร้าเสียใจ

ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเฉินฉางเซิงทดลองชำระล้างกระดูก แม้จะเป็นผู้คนที่มองเห็นเขาจุดแสงสว่างดาวโชคชะตาไม่กี่คนเหล่านั้นก็ไม่รู้ เพราะว่าการชำระล้างกระดูกเป็นเรื่องสามารถพบเห็นได้บ่อยกว่า อีกทั้งแม้จะเป็นคนที่สามารถมองเห็นว่าดาวโชคชะตาถูกจุดสว่าง ก็ไม่มีทางมองเห็นเส้นแสงนั้น เป็นธรรมดาที่จะไม่รู้ว่าปลายอีกด้านของเส้นแสงเป็นมือของผู้ใดกุมอยู่

การเสริมสร้างความแข็งแรงให้ตนเองของมนุษย์ไม่มีขีดจำกัด

แต่ไหนแต่ไรมาการชำระล้างกระดูกไม่ใช่เป็นเรื่องเพียงแค่วันเดียว

ในค่ำคืนนี้ เฉินฉางเซิงได้เดินเข้าไปในหอตำราอีกครั้ง นั่งลงบนพื้นลองทำต่อไป

ในตอนนี้เด็กหนุ่มอายุสิบสี่แปรเปลี่ยนความรู้สึกพ่ายแพ้เป็นความฮึกเหิมอีกครั้ง เวลาที่ใช้อาจจะน้อยเกินไป สิ่งเหล่านี้ล้วนจะต้องขอบคุณชีวิตที่ผ่านมารวมทั้งเรื่องราวและประสบการณ์เหล่านั้น แน่นอนว่าเขาควรจะเคียดแค้นเรื่องราวเหล่านั้นยิ่งกว่า

เฉินฉางเซิงไม่มีเวลาเศร้าซึม เพียงแค่ไม่หยุดที่จะลอง ต้องพยายาม

ไม่สำเร็จก็จักพลีชีพ ประโยคนี้เหมาะสมกับเขาที่สุด

จิตใจสงบครุ่นคิดอย่างหนัก แสงดวงดาวหนาแน่นนับไม่ถ้วนแต่กลับมองไม่เห็นส่วนสำคัญที่สุด ตามเส้นแห่งโชคชะตาที่ไร้รูปร่าง จากท้องฟ้ายามค่ำคืนที่สูงห่างไกลออกไป หลั่งไหลเข้ามายังร่างกายของเขาอีกครา ราวกับลมฤดูใบไม้ผลิที่วนเวียนไม่ไปไหน

แสงดวงดาวเหล่านั้นเหมือนกับคืนเมื่อวาน ซึมเข้าไปในร่างกายอย่างเงียบๆ ไม่มีเสียงใด หลังจากนั้นก็หมดหนทางได้เห็นอีก

ขั้นตอนนี้ต่อเนื่องยาวนาน จนกระทั่งท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีขาว เขาถึงตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

เขาเพ่งมองมือทั้งสองข้างของตนเองอย่างละเอียด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เขาใช้มือถูไปยังหน้าผากของตนเอง หาหยดเหงื่อสักหยดก็ไม่พบ เสื้อผ้าเก่าบนร่างกายของเขายังคงแห้ง สายลมยามรุ่งอรุณพัดมาจากนอกหน้าต่าง ปะทะกับแขนเสื้อทั้งสองข้างอย่างสบาย

เขาไม่เข้าใจ ถึงแม้พลังลมปราณจะตัดขาด แม้เส้นขนและเส้นผมต่างต้องแบกรับแสงดวงดาว ควรที่จะมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงถึงจะถูก

แสงดวงดาวเหล่านั้นไปที่ไหนแล้ว

เขาคิดว่าแสงดวงดาวเหล่านั้นล้วนแต่กระจายไปยังฟากฟ้า กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง

เขาไม่รู้ เมื่อตอนตนเองหลับตาคิดใคร่ครวญอย่างหนักกับการฝึกฝนอย่างเงียบๆ แสงดวงดาวเหล่านั้นผ่านทะลุเส้นผมสีดำและมือของเขา ผ่านทะลุเสื้อผ้าเก่าๆ และกระบี่สั้นระหว่างเอว เข้าไปยังร่างกายเขาอย่างเงียบเชียบไม่มีเสียง ไม่สูญหายไปแม้แต่น้อย

ราวกับปุยหิมะทะลุผ่านสายลมผ่านต้นไม้ และร่วงหล่นลงบนพื้น

ไม่มีใบไม้สักใบที่รองรับหิมะนั่น นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่ง

แต่ก็ได้เกิดขึ้นจริงแล้ว

ตอนนี้มองดูแล้วป่าไม้ผืนนั้นยังคงเขียวชอุ่มเจริญงอกงาม ไม่มีสีขาวสักนิด

ทว่าในความเป็นจริง

บนพื้นด้านล่างของป่าไม้ หิมะสะสมกลายเป็นหนาขึ้นเล็กน้อย

นี่คือการเก็บสะสม

คงจะมีสักวันหนึ่ง ที่จะปะทุออกมา

หรือ ระเบิดออกมา