สุ่ยเซียนเห็นเสี่ยวเชี่ยนงงก็กลั้นขำไม่อยู่ เธอเดาได้เลยว่า คืนนี้เสี่ยวเชี่ยนจะต้องทำสงครามยืดเยื้อกับพี่หลางคนเหล็กไร้เทียมทานอย่างแน่นอน
พอเห็นสายตาที่มองมาด้วยความสงสัยของเสี่ยวเชี่ยน สุ่ยเซียนจึงพูดอย่างจริงจัง “พี่หลางของเธอโทรมา ฉันเลยรับแทน เขาบอกว่าเดี๋ยวมาหาเธอ”
“อ่อ” เสี่ยวเชี่ยนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแล้วก็ถึงกับสตั๊น
อะไรวะเนี่ย! นี่มันชื่ออะไรกัน?!
ในที่สุดเธอก็รู้แล้วว่าทำไมสุ่ยเซียนขำจนหน้าแดง แถมยังพูดเรื่องสงครามยืดเยื้อ…
ประธานเชี่ยนเริ่มหน้าแดง
ในใจมีสารพัดวิธีที่จะชำระความอวี๋เสี่ยวเฉียงคนหน้าด้านผุดขึ้นมาไม่หยุด ไอ้คนบ้า! เดี๋ยวได้เห็นดีกัน!
ถึงสติสัมปชัญญะจะบอกประธานเชี่ยนว่า เมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้ทางที่ดีให้เปลี่ยนเรื่องคุย ยิ่งอธิบายจะยิ่งแย่
แต่ไม่รู้ทำไม ด้วยความที่อยากปกป้องเกียรติของผู้ชายตัวเอง เสี่ยวเชี่ยนจึงพูดเสริม
“ช่วงนี้เสี่ยวเฉียงของฉันกำลังวิจัยเรื่องทฤษฎีสัมพันธภาพ ชื่อนี้น่ะ อาจเป็นผลที่ได้จากการวิจัย ถ้ามองในด้านคุณภาพเจ็ดครั้งไม่ใช่เขาแน่ มองในด้านปริมาณ เจ็ดครั้งก็ไม่ใช่เขาอีก ดังนั้นเข้าใจหรือยัง?”
คนฉลาดอย่างสุ่ยเซียนเข้าใจทันที!
โวะ…!
สามารถเอาเรื่องนี้มาแถได้อย่างมีหลักการ นอกจากประธานเชี่ยนแล้วจะมีใครทำได้อีก!
หลังจากที่เสี่ยวเชี่ยนพูดแก้ตัวไปแล้วก็สะกดความรู้สึกอยากยกนิ้วกลางให้อวี๋หมิงหลางไว้ในใจ แล้วโทรกลับหาเขา
ขณะโทรเธอก็คิดในใจว่า ไอ้คนfaceด้าน นี่กล้ามาเปลี่ยนชื่อในสมุดบันทึกเบอร์โทรของเธอเลยเหรอ เจอกันได้เห็นดีแน่!
อวี๋หมิงหลางในเวลานี้ก่อนรับสายเขาคิดในใจว่า ผู้หญิงใจกล้าคนนี้กล้าเอาเรื่องสปาต่างเพศไปโม้ให้เพื่อนสนิทตัวเองฟังเลยเหรอ เดี๋ยวได้เห็นดีกันแน่!
ทั้งคู่ต่างมีความคิดที่จะจัดการอีกฝ่าย โทรติดแล้ว
มีสุ่ยเซียนอยู่ คำพูดพวกนี้ย่อมพูดออกมาไม่ได้ อวี๋หมิงหลางจึงได้แต่พูดฝ่ายเดียว
“สนุกอยู่ที่ไหน?”
เสี่ยวเชี่ยนบอกที่อยู่ ในใจคิดว่าใครจะไปสนุกเท่านาย?
“รอผมอยู่ที่นั่น อีกหนึ่งชั่วโมงไปถึง”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” เห็นเขาทำเสียงเข้มจึงอดไม่ได้ที่จะถาม
“เมื่อกี้ต้ากว่างแจ้งข่าวมา บอกว่าช่วงนี้ในเมืองมีคดีลวนลามผู้หญิง ตอนนี้มีมาแจ้งสามรายแล้ว แต่จากการวิเคราะห์ของทางตำรวจ เหยื่อไม่ได้มีแค่สามคน มีอีกเยอะที่ไม่ได้มาแจ้งความ เพื่อความปลอดภัยคุณอย่าออกไปไหนตอนมืดๆ เกินสองทุ่มผมจะไปรับคุณ”
“อ่อ ได้”
เสี่ยวเชี่ยนวางสาย สุ่ยเซียนถามขึ้น
“ไม่ค่อยโอเคเหรอ?”
“อืม ช่วงนี้เกิดเหตุ คนร้ายจงใจพุ่งเป้าไปที่ผู้หญิงที่กลับดึกๆ เดี๋ยวเสี่ยวเฉียงจะมารับพวกเรา แปปนะ ขอฉันโทรศัพท์ก่อน”
เสี่ยวเชี่ยนรู้ว่าหลิวเหมยกับฉิวฉิวไปดูทำเลกัน สองคนนี้หลังจากที่ล้มเหลวในการหางานก็คิดจะออกมาสร้างเนื้อสร้างตัวเอง ไม่รู้ว่าเวลานี้กลับบ้านกันหรือยัง
“เหมยจื่ออยู่ที่ไหน?”
“เพิ่งจะแยกกับฉิวฉิวค่ะ ฉันอยู่ตลาดกลางคืน”
“คนเดียวเหรอ?”
“ค่ะ ฉิวฉิวดื่มไปเยอะเขาเลยกลับไปก่อน ฉันขอเดินอีกแปป”
ตลาดกลางคืนห่างจากตรงนี้ไม่ไกล
“เธอนั่งรถมาหาพี่ คนที่อยากร่วมลงทุนก็อยู่ด้วย พี่จะแนะนำให้รู้จัก”
ถ้าหลิวเหมยนั่งรถมาไม่กี่นาทีก็ถึง เสี่ยวเชี่ยนอยากแนะนำให้สุ่ยเซียนกับหลิวเหมยรู้จักกัน หลิวเหมยกับฉิวฉิวจะเปิดโรงเรียนสอนศิลปะป้องกันตัว สุ่ยเซียนยอมร่วมลงขันด้วย ตอนนี้มีเวลาพอดีเลยอยากแนะนำให้รู้จักกันไว้
เดิมควรจะใช้เวลาไม่นานหลิวเหมยก็น่าจะมาถึง ปรากฏว่าผ่านไปเกินครึ่งชั่วโมงหลิวเหมยถึงมา
“ทำไมเพิ่งมาล่ะ พี่ยังคิดจะให้เธอนวดด้วยเลย มาตอนนี้ไม่ทันแล้ว” เสี่ยวเชี่ยนถามหลิวเหมย สายตาเหลือบไปเห็นเข่าของหลิวเหมยสกปรก
“ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ?”
“อย่าให้พูดเลยค่ะ ฉันคิดว่าทางใกล้ๆแค่นี้ไม่ต้องนั่งรถหรอก เลยเดินทะลุสวนสาธารณะมา ปรากฏว่าตอนที่เดินผ่านภูเขาจำลองฉันได้ยินเสียงคนร้องให้ช่วยเลยไปดู มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังเอามือจับกางเกงคร่อมร่างผู้หญิงที่นอนอยู่กับพื้น กระโปรงถูกเปิดขึ้น ไม่รู้ว่าเสร็จเรื่องแล้วหรือเพิ่งเริ่ม ฉันเลยเข้าไปถีบมัน”
“ไม่บาดเจ็บใช่ไหม?” เสี่ยวเชี่ยนกล้าพนันเลยว่า หลิวเหมยเดินทะลุสวนสาธารณะมาจะต้องไม่ใช่ทางลัดแน่ แต่เธอหลงทาง หลิวเหมยเป็นพวกหลงทิศ แต่การหลงทางของเธอกลับกลายเป็นได้ช่วยจัดการคนร้าย
“ไม่ค่ะ ผู้ชายคนนั้นมันอ่อน ฉันถีบไข่มันทีเดียวก็วิ่งหนีหางจุกตูดกางเกงยังไม่ทันใส่ให้ดีเลย!”
สุ่ยเซียนเห็นหลิวเหมยพูดจาเป็นกันเองก็รู้สึกถูกชะตา เพียงแต่พอได้ยินเธอเล่าเรื่องนี้แล้วก็รู้สึกกลัว
“แจ้งตำรวจหรือยัง?”เสี่ยวเชี่ยนเชื่อมโยงเรื่องนี้กับเรื่องคนร้ายที่ลวนลามผู้หญิงที่เสี่ยวเฉียงบอก หรือหลิวเหมยจะเจอคนร้ายคนนั้น?
“ฉันก็อยากแจ้งตำรวจนะคะ ฉันเห็นของเหลวสีขาวเลอะที่กระโปรงผู้หญิงคนนั้นด้วย ฉันสงสัยว่ามันทำสำเร็จแล้ว แต่พอฉันถีบเสร็จมันก็วิ่งหนีไปเลย ฉันถามผู้หญิงคนนั้นว่าจะให้แจ้งตำรวจไหมเขาก็ด่าฉันบอกว่าฉันชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน เล่นเอาฉันงงว่าเขาถูกลวนลามหรือว่าแอบมาทำกับชู้รักกันแน่…”
“จริงสิ เสียงผู้หญิงคนนั้นฟังดูอายุก็ไม่น้อยแล้ว ส่วนผู้ชายอายุยี่สิบกว่าๆได้ ฉันเก็บแว่นกรอบดำได้บนพื้น อาจเป็นของผู้หญิงคนนั้น”
เสี่ยวเชี่ยนหยิบแว่นขึ้นมาดู ทำไมมันถึงได้คุ้นตานัก…
วันนี้ตอนกินข้าวกลางวัน ผู้อำนวยการที่มีตรรกะเพี้ยนคนนั้นใส่แว่นแบบนี้หรือเปล่า?
“เธอบอกว่าผู้ชายวิ่งหนีไปแล้ว แต่ผู้หญิงไม่ได้วิ่งตาม?” เสี่ยวเชี่ยนขมวดคิ้ว
“ใช่ค่ะ เขาด่าว่าฉันยุ่งเรื่องชาวบ้านแล้วก็เดินไปเลย เสียงของเขาฟังดูสั่นๆด้วยนะคะ เหมือนตกใจมาก ฉันยังถามด้วยว่าให้แจ้งตำรวจไหม แล้วเขาก็ไล่ฉัน”
ยุคสมัยนี้คนดีที่กล้าเข้าไปช่วยกลับเจอแบบนี้
“เธอเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นชัดไหม?”
“ไม่ค่ะ ตอนที่ฉันสู้กับผู้ชายคนนั้นเขาเอากระเป๋ามาบังหน้า เดิมฉันจะเข้าไปดูให้ชัดๆแต่เขาก็ไล่ฉันอยู่นั่นแหละ”
“คนแบบไหนกันช่วยแล้วยังไม่ขอบคุณสักคำ” สุ่ยเซียนยังเซ็งแทนหลิวเหมย
“ฉันก็ไม่ได้อยากจะได้คำขอบคุณอะไรหรอกนะคะ ก็แค่แอบเป็นห่วงว่าเขาจะเป็นอะไรหรือเปล่า”
เสี่ยวเชี่ยนหยิบแว่นขึ้นมาพินิจ แว่นอันนี้ทำจากวัสดุอย่างดี กรอบแว่นนำเข้าจากต่างประเทศ แบบเดียวกับที่ผู้อำนวยการที่เธอเจอเมื่อตอนกลางวันใส่ บวกกับที่หลิวเหมยบอกว่าเหยื่อเอากระเป๋ามาบังหน้าก็เป็นไปได้ว่าจะรู้จักกัน ตอนที่หลิวเหมยไปสัมภาษณ์งานเธอจำผู้อำนวยการคนนั้นได้แม่น ด้วยเหตุนี้จึงต้องเอากระเป๋ามาปิดหน้าไว้
“พี่สะใภ้ พี่ว่าแจ้งตำรวจดีไหม?”
“ไม่มีผู้เคราะห์ร้ายเธอแจ้งความไปก็ไม่มีประโยชน์ ตีให้ตายเหยื่อก็ไม่ไปแจ้งหรอก เอาแบบนี้ เดี๋ยวรอพี่เธอมาเธอก็เล่าให้เขาฟัง ให้เขาหาภาพสเกตของคนร้ายมาให้ดูว่าเหมือนกับคนที่เธอไปเจอมาหรือเปล่า”
ผู้อำนวยการคนนั้นไม่มีทางไปแจ้งความแน่ เสี่ยวเชี่ยนรู้จักคนแบบนี้ดี
“โชคดีที่ฉันมีบอดี้การ์ด…” สุ่ยเซียนฟังเรื่องนี้จบก็ตกใจ ตบหน้าอกเรียกขวัญตัวเองกลับมา
เสี่ยวเชี่ยนหันไปมองอาเหม็ดที่ยืนอยู่ด้านหลังระหว่างเธอกับสุ่ยเซียน พอคิดว่าอีกเดี๋ยวเสี่ยวเฉียงจะมาแล้ว ความคิดชั่วร้ายก็ผุดขึ้นมาในสมองเธอ
เพื่อความปลอดภัยของสุ่ยเซียน แน่นอนว่าเพื่อตอบสนองความอยากเห็นอะไรสนุกๆของตัวเองมากกว่า ประธานเชี่ยนรู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่จะปิดประตูปล่อยเสี่ยวเชี่ยนไปทำให้คนได้เผยธาตุแท้ออกมา