ตอนที่ 246 ห้ามบอกว่าผู้ชายใช้ไม่ได้

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

ชุนหนานคนนี้ตั้งใจมามอบมรดกโดยเฉพาะหรือ อันหลินกับสวีเสี่ยวอดคาดเดาในใจเช่นนี้ไม่ได้

ที่จริงแล้วการคาดเดาของพวกเขาถูกต้องทั้งหมด ชุนหนานพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อผลักไสมรดก เช่นนั้นเขาก็จะเป็นอิสระ! สำหรับเขาแล้ว อันหลินกับสวีเสี่ยวหลานกำลังแผ่รัศมีแห่งความช่วยเหลือ!

ชุนหนานหยิบม้วนกระดาษออกมา ด้านบนมีอักขระสีทองกะพริบแปลบปลาบ ถูกยื่นมาตรงหน้าสวีเสี่ยวหลาน “ผู้มีวาสนา เจ้าแค่หยดเลือดลงบนม้วนกระดาษ ถ่ายพลังปราณของตน ก็จะกระตุ้นมรดกศาสตร์ปรุงยาของเสิ่นอิงได้ แน่นอนว่า หลังข้ายอมรับแล้ว จำต้องให้พลังชีวิตสุดท้ายของมังกรเสิ่นอิงในม้วนกระดาษยอมรับเจ้าด้วย จึงจะรับมรดกสำเร็จ…”

สวีเสี่ยวหลานมองอันหลินด้วยความกังวลใจ ม้วนกระดาษแผ่คลื่นพลัง เกี่ยวข้องกับมรดกจริง แต่ชุนหนานกลับมอบมรดกให้นางต่อหน้าอย่างไม่มีอุปสรรคเช่นนี้ จึงอดทำให้นางหวั่นใจไม่ได้

อันหลินหยิบต๋าอีกับต๋าเอ้อร์ออกจากแหวนมิติ และส่งกระแสจิตบอกให้ต้าไป๋กับเจ้าอัปลักษณ์เวอร์ชันมินิ ให้พวกมันระวังชุนหนานตลอดเวลา จากนั้นก็พยักหน้าให้สวีเสี่ยวหลาน

สวีเสี่ยวหลานหยดเลือด ถ่ายพลังปราณ จู่ๆ ก็มีเสียงคำรามที่ชวนให้พรั่นพรึงดังมาจากม้วนกระดาษ ภาพของมังกรสีทองตัวหนึ่งกระโจนออกจากม้วนกระดาษ จากนั้นก็พุ่งชนร่างของสวีเสี่ยวหลาน

“สวีเสี่ยวหลาน!” อันหลินร้องเสียงหลงเมื่อเห็นภาพนี้

“ไม่เป็นไร อย่าวิตกไป!” ชุนหนานรีบปลอบใจ จากนั้นก็คุกเข่า เนื้อตัวสั่นเทา “สำเร็จแล้ว…นี่เป็นเค้าลางของมรดกสำเร็จ!”

ไม่นานพันธนาการไร้รูปร่างที่ผูกมัดชุนหนานไว้ก็อันตรธานหายไปโดยพลัน

เขาแหงนหน้าระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น น้ำตาไหลออกจากหางตา “ในที่สุดข้าก็เป็นอิสระสักที ฮ่าๆ ๆ ๆ…”

ดวงตาของสวีเสี่ยวหลานสุกใส จ้องอันหลินอย่างตกใจ “นี่เป็นมรดกศาสตร์ปรุงยาจริงๆ มรดกระบุว่าเป็นระดับเทพนิรมิต จึงจะรับมรดกทั้งหมดได้ แต่ระดับสมฤทัยอย่างข้าจู่ๆ ก็มีเค้าลางจะทะลวงสู่ระดับรวมปราณ…”

“ท่านอาจารย์เสิ่นอิง ศิษย์ขอคารวะ” สวีเสี่ยวหลานคำนับป้ายวิญญาณที่อยู่ใจกลางตำหนักชิงจืออย่างนอบน้อม

เมื่อรับมรดกแล้ว จึงมีความสัมพันธ์ศิษย์และอาจารย์

ก็เป็นเหมือนที่อันหลินไว้อาลัยให้กับระบบของตนทุกเมื่อเชื่อวัน หลักการเดียวกัน

ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดชุนหนานก็ถือว่าสงบสติอารมณ์ได้แล้ว

เขาเช็ดน้ำตา พูดกับอันหลินและสวีเสี่ยวหลานว่า “ข้าก็จะไปจากที่นี่แล้ว เจ้ากับข้าพบกันที่นี่ก็นับเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง ข้าจะขอพูดอะไรกับพวกเจ้าหน่อย ตำหนักแห่งสวรรค์อันตรายมาก แม้สมบัติข้างในจะล่อตาล่อใจที่สุด แต่ก็อันตรายที่สุดเหมือนกัน”

“นักพรตที่เข้ามาในสุสานมังกรเหมันต์ พวกเจ้าเป็นกลุ่มที่สาม นักพรตสองกลุ่มแรกไม่ได้มาหาข้า แต่ไปที่ตำหนักแห่งสวรรค์ จากนั้นพวกเขาก็อยู่ที่นั่นไปตลอดกาล…”

พอพูดจบ ชุนหนานก็เดินทะลุประตูแสงไป จากสุสานแห่งนี้ไปอย่างสิ้นเชิง

อันหลินกับสวีเสี่ยวหลานสบตากัน พวกเขารู้ว่าตำหนักแห่งสวรรค์ที่ชุนหนานพูดเป็นหลังไหน

เมื่อพวกเขาเข้ามา สิ่งที่เห็นไม่ใช่ตำหนักแห่งวสันต์ที่อยู่ใกล้ที่สุด แต่เป็นตำหนักที่อยู่ไกลที่สุดหลังนั้น

ตำหนักหลังนั้นแผ่รัศมีสีขาว คำว่าสวรรค์ตัวใหญ่แขวนอยู่ด้านบน เป็นสัญลักษณ์แห่งความน่าเกรงขามและเกียรติยศอันสูงส่ง ชวนให้ผู้คนใฝ่ฝันปรารถนา อยากจะวิ่งเข้าไปเยี่ยมชมและกราบไหว้ทันทีให้รู้แล้วรู้รอด

หากอันหลินไม่ยืนยันจะดำเนินการด้วยวิธีค้นหาแบบปูพรม ไม่แน่ทั้งคู่อาจจะตรงดิ่งไปที่ตำหนักแห่งสวรรค์ก็ได้

“เราทำไปตามขั้นตอนดีกว่า” อันหลินมองตำหนักแห่งสวรรค์ที่อยู่ไกลออกไปแล้วพูดอย่างหวั่นวิตก

สวีเสี่ยวหลานพยักหน้า ก้อนหินลอยฟ้ายี่สิบสามก้อนก่อตัวเป็นรูปร่างมังกรเลื้อยคดเคี้ยว ตอนนี้พวกเขาอยู่ตรงหางมังกร วังแห่งสวรรค์เป็นหัวมังกร หากสำรวจไปทีละตำหนัก มันยังอีกยาวไกล

ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงมาถึงตำหนักแห่งคิมหันต์

พวกเขาเจอวิหคไฟสีทองที่นอนแผ่บนพื้นอย่างเกียจคร้านตัวหนึ่ง

“ยินดีต้อนรับผู้มีวาสนา ข้าชื่อเซี่ยเหนียว” วิหคไฟสีทองตัวนี้เอ่ยด้วยเสียงอ่อนหวานอย่างเกียจคร้าน

พูดจบมันก็หาวหวอดๆ อย่างไม่ยี่หระ

มุมปากของอันหลินกระตุก จะว่าไปคนเฝ้าสุสานพวกนี้ ตั้งชื่อลวกๆ แบบนี้กันหมดเลยเหรอ

วิหคเพลงกวาดตามองสองมนุษย์กับสองสัตว์แล้วพูดต่อว่า “พวกเจ้าต้องการมรดกวิถีแห่งอัคคีไหม”

อันหลิน “…”

ถามตรงๆ แบบนี้เลย ต้องสู้กันสักตั้งก่อนแล้วค่อยพูดเรื่องมรดกไม่ใช่เหรอ

“ถ้าต้องการก็ได้เลยหรือ” อันหลินสงบสติอารมณ์แล้วเอ่ยถาม

“จะง่ายแบบนี้ได้อย่างไร…” เซี่ยเหนียวกวาดตามองทุกคนแล้วพูดเอื่อยๆ ว่า “เอาอย่างนี้ พวกเจ้าใช้ท่าที่ภูมิใจที่สุดจัดการข้า ใครทำให้ข้าสะใจ ข้าจะยกมรดกให้คนนั้น”

อันหลิน “…”

สวีเสี่ยวหลาน “…”

เงื่อนไขที่ป่าเถื่อนแบบนี้ ใช้ได้จริงๆ เหรอ!

“ต้าไป๋ เจ้าอัปลักษณ์ พวกเจ้าลุยก่อน!” จู่ๆ อันหลินก็โพล่งขึ้นมา

ต้าไป๋เห็นว่าทุบตีได้ไม่มีค่าใช้จ่าย แถมยังจัดการสัตว์ปราณที่มีระดับสูงกว่าตัวเอง อยากรู้อยากลองนานแล้ว เมื่อได้ยินอันหลินพูดเช่นนี้ จึงรีบกระโจนใส่เซี่ยเหนียวแล้วโจมตีอย่างรุนแรงดัง ‘ปึกปัก’

พลังแห่งหมาป่าสวรรค์คืนชีพ อุ้งมือแฝงด้วยพลังที่ยิ่งใหญ่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ปล่อยลำแสงที่คมกริบ

เซี่ยเหนียวถูกต้าไป๋จัดการจนร้องครวญคราง “ออกแรงหน่อยสิ! โอ๊ย ไม่ได้กินข้าวหรือไง เจ้ายังเป็นหมาตัวผู้อยู่หรือไม่ หมาตัวผู้ไร้ประโยชน์ ออกแรงหน่อย…”

ผ่านไปครู่ใหญ่ ต้าไป๋ก็หายใจหอบ

เซียเหนียวยังคงทำท่าไม่พอใจ “จบแล้วหรือ”

หัวใจของต้าไป๋ปวดหนึบขึ้นมาทันที ราวกับถูกโจมตีอย่างแรง

มันเดินไปหาอันหลินอย่างหมดอาลัยตายอยาก ตกอยู่ในภวังค์เคลือบแคลงในตัวเอง “พี่อัน มีเม็ดงูสวรรค์อีกไหม ให้ข้าหน่อย ถึงจะไม่อยากยอมรับว่าข้าไร้ความสามารถ แต่ว่า…”

พูดอยู่ดีๆ ดวงตาต้าไป๋ก็ชุ่มน้ำตา เริ่มสะอึกสะอื้นเงียบๆ

อันหลิน “…”

“ข้าเอง!” เจ้าอัปลักษณ์ระเบิดบาเรียเพลิงสีดำของตัวเอง ย่างสามขุมไปหาเซี่ยเหนียวอย่างน่าเกรงขาม

เซี่ยเหนียวตาลุกวาวอย่างเกียจคร้าน “โอ้ เจ้านี่ดูท่าจะไม่เลว พอใช้…”

เจ้าอัปลักษณ์ไม่พูดพร่ำทำเพลง เงื้อกระบองเงินแล้วฟาดเซี่ยเหนียวอย่างแรง

ตูมๆ ๆ! พลังงานกระเพื่อมรุนแรง เคล้าด้วยเสียงครวญครางของเซี่ยเหนียว

“โอ้โฮ…สะใจจริงๆ ออกแรงหน่อย!”

“ฟาดตรงนี้ แล้วก็ตรงนี้ ขยับไปทางนั้นหน่อย ตรงคอด้วย…”

เซี่ยเหนียวขยับร่างกายของตัวเอง เป็นฝ่ายเข้าหาเจ้าอัปลักษณ์ เปลวไฟสีทองกระเพื่อมซัดสาด ประหนึ่งว่าตื่นเต้นเหมือนกัน ไม่หวาดกลัวแม้แต่นิดเมื่อพบกับเพลิงสีดำของเจ้าอัปลักษณ์

ผ่านไปครู่หนึ่ง เจ้าอัปลักษณ์ก็หายใจหอบนอนแผ่บนพื้น

เซี่ยเหนียวเองก็ขยับร่างกายด้วยอากัปกิริยาที่พออกพอใจ พึมพำว่า “แรงนวดใช้ได้ทีเดียว ดีกว่าหมาตัวผู้อ่อนแรงตัวเมื่อครู่เยอะ เพียงแต่เพลิงสีดำกับมรดกแห่งเพลิงของข้าขัดแย้งกัน น่าเสียดาย…”

ต้าไป๋ถูกโจมตีอีกครั้ง น้ำตาอาบหน้า

ผู้ชายกลัวโดนผู้หญิงว่าใช้ไม่ได้ที่สุด กลัวผู้หญิงจะบอกว่าตนสู้ผู้ชายคนนั้นคนนี้ไม่ได้มากที่สุด

“ข้าเอง!”

อันหลินเองก็พร้อมปล่อยพลังแล้ว

“หมัดสะเทือนขุนเขาอัสนี!”

“อ๊าก…” เซี่ยเหนียวครวญคราง

“กระบี่แห่งสายลม!”

“โอ๊ย กระบี่อะไรของเจ้าเนี่ย ทำคนเขาเจ็บแล้วเนี่ย!” เซี่ยเหนียวครวญครางอีกครั้ง สีหน้าตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม แม้แต่เปลวไฟก็เคลื่อนไหวไปตามๆ กัน

ครู่หนึ่งอันหลินก็หายใจหอบนอนแผ่กับพื้น

เซี่ยเหนียวจ้องอันหลินอย่างออดอ้อน เลียเลือดสีทองบนหัวไหล่แล้วพูดอย่างฉอเลาะว่า “เป็นเซียนกระบี่ดีๆ ไม่ชอบ ต้องการมรดกแห่งเพลิงไปทำไม แต่อดพูดไม่ได้ว่าข้าชอบใจมาก เหนือกว่าหมาตัวผู้ตัวนั้นเยอะเลย”

ต้าไป๋น้ำตาไหลไม่หยุด “โฮ่ง! ขอร้องล่ะ อย่าเอาแต่พูดว่าข้าใช้ไม่ได้ได้ไหม…”

“ข้าขอลองบ้าง”

สวีเสี่ยวหลานปล่อยมังกรไฟหลายตัวออกมา พุ่งใส่เซี่ยเหนียวไปพร้อมกับกระบี่ที่ลอยขึ้นลง

เซี่ยเหนียวมองมังกรไฟที่กระโจนเข้ามา นัยน์ตาลุกวาว “นี่…นี่มันสายเลือดพญาหงส์!”

ตูม!

เปลวไฟระเบิดตูมตาม เซี่ยเหนียวตัวสั่นระริกท่ามกลางเปลวเพลิง ครางกระเส่าด้วยความตื่นเต้น “อา…สบายจังเลย! กลิ่นที่คุ้นเคย ช่างเป็นรสชาติที่หอมหวาน…แรงกว่านี้หน่อย!”

“ตามที่เจ้าต้องการเลย!”

สวีเสี่ยวหลานตะโกนแล้วปล่อยปีกเปลวเพลิง

ร่างของนางกลายเป็นลำแสงเพลิง พุ่งไปฟันเซี่ยเหนียวที่มีไฟสีทองปกคลุมอย่างรวดเร็ว!

“อ๊าก!”

เมื่อถูกลำแสงฟาดฟัน เซี่ยเหนียวก็หวีดร้องดังลั่น ร่างเพลิงนอนแผ่บนพื้นอย่างอ่อนปวกเปียก

มันจ้องสวีเสี่ยวหลานด้วยนัยน์ตาหวานเยิ้ม พูดเสียงหวานว่า “ช่างเป็นเปลวไฟที่สุดยอดยิ่งนัก ข้าตกใจจนฉี่แทบเล็ดแล้ว ข้าชอบรสชาติของมัน…เจ้านี่แหละ แม่นางโฉมงามท่านนี้”

“เจ้านี่แหละมาสืบทอดวิถีแห่งเพลิงของสุสานมังกรเหมันต์ของข้า…”