จากนั้นก็มองไปทางด้านหน้าของบ้านมุงหญ้าคา มีหญิงชราคนหนึ่งที่สวมชุดธรรมดา ที่มีรอยปะไม่น้อย ใบหน้าเหี่ยวย่นยืนอยู่หน้าบ้าน ราวกับกำลังรออะไรบางอย่างอยู่อย่างร้อนใจ

สองตาของนางกลวงโบ๋ ไม่รู้ว่าตาบอดมานานแค่ไหนแล้ว แต่สายตาของนางยังคงจ้องมองตรงไปด้านหน้า

เซียวหยู่เซวียนถามขึ้นว่า “คนแก่คนนั้น เป็นท่านยายของเย่เฟิงหรือ หน้าตาไม่เหมือนกันเลย”

กู้ชูหน่วนไม่ได้ตอบ ได้แต่มองเย่เฟิงที่พยายามอดกลั้นต่อความเจ็บปวด ย่างเท้ากลับบ้านเหมือนปกติ ร้องเรียกขึ้นด้วยเสียงอบอุ่นว่า “ท่านยาย ขาท่านไม่ค่อยดี ทำไมจึงมายืนรอข้าตรงนี้อีกแล้ว ข้าจะประคองท่านเข้าไปพักผ่อน”

หัวใจที่บีบแน่นผ่อนคลายลงไปมาก รีบถามขึ้นว่า “เฟิงเอ๋อหรือ”

“อืม ข้ากลับมาแล้ว ขอโทษ ที่ราชวิทยาลัยมีเรื่องนิดหน่อย จึงเสียเวลาไปบ้าง ทำให้ท่านต้องเป็นห่วงแล้ว”

เย่เฟิงประคองนางให้นั่งลงตรงเก้าอี้หินของลานบ้าน ดวงตาเย็นชามีความรู้สึกสงสารไม่เปลี่ยน

คุณยายเย่คลำไปกำมือเขาเอาไว้ และแตะโดนบาดแผลตรงข้อมือเข้าโดยไม่ทันระวัง เย่เฟิงเจ็บมาก ขมวดคิ้วไว้แน่น

“หิวแล้วกระมัง ข้าต้มข้าวต้มไว้ให้เจ้า อุ่นอยู่ตลอด รอเจ้ากลับมากิน ข้าจะไปตักมาให้เจ้า”

ท่านยายเย่เดินคลำเข้าไปในบ้าน เมื่อพ้นสายตาของเย่เฟิงก็กุมหัวใจที่ขมวดเป็นเกลียวของตัวเองไว้แน่น

กลิ่นคาวเลือดที่แตะจมูก รวมไปถึงอาการอดกลั้นต่อความเจ็บปวดของเย่เฟิง ยังมีเสียงที่แหบแห้ง ทำให้นางทั้งตำหนิตัวเองทั้งรู้สึกสงสาร

“ข้าทำเองดีกว่า”

“เจ้าเรียนหนังสือก็ลำบาก นั่งรอก็พอ ยายจะไปยกมาให้เจ้า”

“อืม “เย่เฟิงตอบรับปนเสียงสะอื้น

เรื่องเช่นนี้แทบจะเกิดขึ้นทุกสองสามวัน

เขาไม่รู้ว่าท่านยายจะสังเกตเห็นหรือไม่ น่าจะรู้อยู่กระมัง

เพียงแต่นางไม่พูดออกมา เขาก็ไม่พูด

ข้าวต้มถูกตักขึ้นมา ไม่เย็นและไม่ร้อนมาก อุ่นพอดีกิน

มือของเย่เฟิงถือถ้วยข้าวต้มรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย หัวใจที่เย็นเยียบก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาบ้างเพราะข้าวต้มถ้วยนี้

หลายคืนหลายวันแล้วที่ไม่ได้กินข้าวเลยแม้แต่น้อย เขาทั้งหิวทั้งคอแห้ง ข้าวต้มเหมาะเจาะพอดี

เย่เฟิงจิบเบาๆหนึ่งคำ แล้วก็ตักกินอย่างตั้งใจทีละช้อน

“ค่อยๆกิน ข้างในยังมีอีก”ท่านยายเย่พูดยิ้มๆ อยากจะยื่นมือไปลูบผมอันดำขลับของเขา ไม่รู้ว่านึกถึงอะไรขึ้นมา นางก็คลายมือลงอย่างกะทันหัน

“หลายวันก่อนข้าว่างไม่มีอะไรทำ จึงทำเสื้อใหม่ขึ้นมาตัวหนึ่ง เจ้าดูสิว่าพอดีตัวหรือไม่”

เย่เฟิงวางถ้วยเปล่าในมือของตนเองลง มองดูเสื้อผ้าที่ถูกพับไว้อย่างเรียบร้อยบนโต๊ะหิน คิ้วดำขมวดขึ้น

“บ้านเราไม่มีผ้าไม่ใช่หรือ ท่านไปทำงานหนักเพื่อหาเงินอีกแล้วหรือ”

“ในเมื่อว่างอยู่ไม่มีอะไรทำ มีงานทำเล็กน้อย ยังสามารถช่วยฆ่าเวลาได้”

ดวงตาของเย่เฟิงแดงขึ้นมาเล็กน้อย เดิมทีเสียงก็แหบแห้งอีกทั้งยังแฝงด้วยเสียงสะอื้นและวิงวอน

“ท่านยาย เสื้อข้าพอใส่แล้ว ท่านสุขภาพไม่ดี วันหลังไม่ต้องไปทำงานสกปรกและเหนื่อยพวกนั้นอีกแล้ว ท่านทำเช่นนี้ ข้ารู้สึกสงสาร”

“เด็กโง่ เสื้อของเจ้าตัวนั้นขาดจนปะไม่ได้แล้ว ตอนนี้เจ้าไปร่ำเรียนที่ราชวิทยาลัย แม้ว่าราชวิทยาลัยจะมีการมอบเสื้อผ้าให้ แต่เจ้าก็ควรจะมีเสื้อผ้าที่ดูดีหน่อยสำหรับเปลี่ยน”

“ข้าขอร้องท่านล่ะ ถ้าต้องการเสื้อผ้าข้าไปซื้อเองก็ได้ ท่านสุขภาพไม่ดี อย่าไปทำงานเช่นนั้นอีกได้หรือไม่”เย่เฟิงแทบจะวิงวอน

ท่านยายเย่ฉีกยิ้มออกมาอย่างฝืนใจ

“ได้ ข้าจะฟังเจ้า วันหลังข้าจะไม่ทำงานอะไรอีกแล้ว พึ่งเจ้าเลี้ยงดูข้าก็พอ”

“เจ้าเหนื่อยแล้วกระมัง ข้าช่วยเจ้าปูเตียงไว้เรียบร้อยแล้ว เจ้าไปนอนก่อน ตื่นแล้วค่อยไปอาบน้ำ”

“ไม่เหนื่อย ข้าจะไปซื้อยาในเมืองให้ท่าน”

เย่เฟิงรู้สึกหวานขึ้นมาในลำคอ อยากจะไอแต่ก็กล้ำกลืนมันลงไป

บาดแผลหลายแห่งบนร่างของเขาเจ็บจนเขาแทบจะนั่งไม่ไหว

ท่านยายเย่ตาบอดแล้ว แต่หูไม่ได้หนวก แต่นางก็จนปัญญา ได้แต่ไล่ให้เย่เฟิงไปพักผ่อน

เย่เฟิงลุกขึ้นมาทันที กุมหน้าท้องเอาไว้แน่น พูดเสียงแหบว่า “ในบ้านเหมือนจะไม่มียาแล้ว ข้าจะไปซื้อยาในเมืองในท่าน”

พูดเสร็จแล้ว ก็ไม่รอให้ท่านยายเย่ตอบ เขาก้าวเท้าด้วยฝีเท้าที่หนักอึ้ง แสร้งจากไปอย่างนิ่งๆ

หลังจากเดินห่างจากบ้านมุงหญ้าคาไปไกลแล้ว เย่เฟิงก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป กระอักเลือดออกมา สองขาของเขาสั่นเทา กลับกัดฟันอดทนพาร่างที่บาดเจ็บจากไป เกรงว่าท่านยายเย่จะระแคะระคายเข้า