ตอนที่ 193 เหยาเหยาตาบอด (2) (รีไรท์)

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

คำพูดของตงฟางไป๋ค่อยๆ ดังเข้ามา เล่อเหยาเหยาได้ยินอดกะพริบตาครู่หนึ่งไม่ได้ เห็นเพียงทุกที่ต่างมืดมนทั้งหมด ไม่ว่าจะพยายามเช่นไร ก็มองไม่เห็นแสงสว่าง

ทันใดนั้น ใจของเล่อเหยาเหยากระตุกขึ้น ก่อนจะเข้าใจว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่

จึงยื่นมือนุ่มนิ่มลูบที่ดวงตาของตนอย่างเบามือ ก่อนเอ่ยปาก

“ตาของข้า ตอนนี้บอดแล้วหรือ!”

ดวงตาคู่งามของเล่อเหยาเหยาเบิกกว้าง ภายในน้ำเสียงแฝงไปด้วยความไม่เชื่อและแปลกใจ

หลังได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา ตงฟางไป๋เงียบงันชั่วครู่ ก่อนเอ่ยตอบว่า

“เพียงสูญเสียการมองเห็นชั่วคราวเท่านั้น เจ้าขังตนเองร้องไห้อยู่ในห้องสามวันสามคืนจนไร้น้ำตา ดวงตาจึงมืดบอด ทว่าเจ้าวางใจได้ เพียงทำการรักษาที่ถูกต้อง จะกลับมามองเห็นเช่นเดิม”

เพราะเกรงว่าเล่อเหยาเหยาจะหวาดกลัว ตงฟางไป๋จึงเอ่ยอธิบาย

เมื่อเล่อเหยาเหยาได้ยินคำพูดของตงฟางไป๋ ในใจกลับไร้ความรู้สึกร่างกายด้านชา

ดวงตาว่างเปล่าคู่นั้น สูญเสียแสงสว่างก่อนหน้านี้ไป ไร้ความรู้สึก ว่างเปล่าและเศร้าโศก

ส่วนสีหน้าของเธอซีดขาวดุจกระดาษ ไร้ชีวิตชีวา

ริมฝีปากสีเข้มนั้น ทำให้เธอยิ่งเปราะบางมากขึ้น ตงฟางไป๋ที่มองอยู่ด้านข้างปวดแปลบในใจอย่างรุนแรง เจ็บปวดอย่างยิ่ง

แต่เล่อเหยาเหยามองไม่เห็นสีหน้าเศร้าโศกของตงฟางไป๋นั้น เอาแต่เงียบงัน ชั่วครู่จึงเอ่ยปากขึ้น

“ความจริง ข้าตอนนี้มองเห็นหรือมองไม่เห็น ก็ไม่ได้สำคัญ”

เพราะสูญเสียอวี๋ไป โลกของเธอได้มืดมนไปแล้ว

ดังนั้นเธอจะมองเห็นหรือไม่ ไม่สำคัญอีกต่อไป

เมื่อเล่อเหยาเหยาเอ่ยจบ ตงฟางไป๋ที่กังวลว่าเล่อเหยาเหยาจะเสียใจเพราะมองไม่เห็น พลันขมวดคิ้วมุ่น

“เหยาเหยา ห้ามเจ้าคิดเช่นนี้!”

ครั้งนี้ตงฟางไป๋ไม่อ่อนโยนอีกต่อไป น้ำเสียงกลับดูเคร่งขรึม แฝงด้วยความกังวลและห่วงใยอย่างไม่ปิดบัง

“สิ่งใดเรียก ‘มองเห็นหรือไม่ก็ไม่สำคัญ’ ข้ารู้เพราะการตายของอวี๋ ถือเป็นเรื่องหนักหนาสำหรับเจ้า เจ้าเสียใจ สิ้นหวัง แต่เหยาเหยาเจ้าต้องรู้ว่าการตายของอวี๋ ไม่ได้มีเจ้าเพียงคนเดียวที่เสียใจโศกเศร้า ยังมีครอบครัวของอวี๋ ฮ่องเต้ ฮองเฮาต่างเศร้าโศกเสียใจยิ่ง แม้จะโศกเศร้าเสียใจ ที่ไม่รู้ว่าอวี๋จะกลับมาหรือไม่ เจ้ารู้หรือไม่ ตอนนี้เจ้าเห็นแก่ตัวมากเพียงใด เจ้าตอนนี้ไม่ใช่เหยาเหยาที่มีชีวิตชีวา เห็นใจผู้อื่นอีกแล้ว”

ตงฟางไป๋เอ่ยอย่างเย็นชา เมื่อได้ยินคำพูดของเขา เล่อเหยาเหยาอดมึนงงไม่ได้ ก่อนพึมพำเอ่ยถามขึ้นว่า

“ข้าเห็นแก่ตัวหรือ!”

“ถูกต้อง เจ้าเห็นแก่ตัวยิ่ง เจ้ารู้หรือไม่ หลายวันนี้เจ้าขังตนเองอยู่ในห้อง สามวันสามคืนไม่ออกไปข้างนอก เสด็จแม่และฮ่องเต้ของเจ้าทรงกังวลใจรู้หรือไม่ หลังข้ารีบร้อนมาถึงเสด็จแม่ของเจ้าร้องไห้จนหมดสติไปมากมายกี่รอบ จนดวงตาแทบจะมืดบอดเช่นเจ้า เจ้าไม่คิดถึงตนเอง ก็ควรคิดถึงฮ่องเต้และเสด็จแม่ของเจ้า บิดามารดาต่างรักห่วงใยบุตรของตน พระองค์ทรงรักเอ็นดูเจ้า เห็นเจ้าไม่อยากมีชีวิตเช่นนี้ จะไม่เจ็บปวดสักนิดเดียวเลยหรือ และเจ้าเองก็กำลังจะเป็นมารดา เจ้ารู้หรือไม่เพราะการทำร้ายตนเองของเจ้า ลูกของเจ้าแทบจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ ถูกต้อง อวี๋ตายไปแล้ว แต่เจ้าไม่ควรทำร้ายตนเองเช่นนี้ แล้วลูกของเจ้าล่ะ เจ้ายอมทิ้งตนเอง หรือคิดจะทิ้งเด็กผู้นี้ไปด้วย หากอวี๋อยู่บนสวรรค์ เขาจะดีใจที่เห็นเจ้าเป็นเช่นตอนนี้หรือ!”

ตงฟางไป๋เอ่ยพูดอยู่นาน พูดราวกับจุดประทัดไม่มีหยุดพัก

หลังเล่อเหยาเหยาได้ยิน เพียงรู้สึกลำคอตีบตัน ตกใจในใจ

ดุจถูกตีแสกหน้า

ถูกต้องอวี๋ตายไปแล้ว แต่เธอยังมีครอบครัว มีลูก ลูกของเธอ…

“พี่ไป๋ เมื่อครู่ท่านบอกว่าลูก ลูกของข้าเป็นเช่นไร เขาเป็นอันใดหรือไม่ ข้าขอร้องท่าน ช่วยรักษาลูกของข้าให้ปลอดภัยด้วยเถิด!”

ไม่มีอวี๋แล้ว เธอไม่อยากเสียลูกไป

เพราะนี่คือเลือดเนื้อเชื้อไขของเธอและอวี๋เพียงหนึ่งเดียว เธอไม่อยากให้เลือดเนื้อเชื้อไขของเธอต้องหายไปในมือตน

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยากังวลใจ สองมือส่ายไปมาอยู่ด้านหน้าไม่หยุด คล้ายกำลังต้องการหาบางอย่าง

ดวงตาที่ว่างเปล่า เวลานี้เต็มไปด้วยความกังวลและวิตก

รู้ว่าคำพูดของตน ถือเป็นการเตือนเล่อเหยาเหยาให้ได้สติ ตงฟางไป๋จึงรู้สึกปลื้มใจ พลันยืดแขนออกไป เพื่อให้เล่อเหยาเหยากอดเอาไว้แน่น

“พี่ไป๋ ข้าขอร้องท่าน ท่านต้องช่วยลูกของข้าและอวี๋ไว้ให้ได้นะ ไม่มีอวี๋แล้ว เด็กคนนี้เป็นเพียงเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวของเขา”

พอเอ่ยถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาขอบตาร้อนผ่าว แววตาปรากฎไอหมอกขึ้นอย่างรวดเร็ว

ตงฟางไป๋เห็นเช่นนั้น พลันหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาที่ไหลรินให้แก่เล่อเหยาเหยา ก่อนถอนหายใจออกมา เอ่ยเสียงเบาว่า

“เหยาเหยา เจ้าไม่ต้องกังวล เพียงเจ้าไม่ทำร้ายตนเอง ไม่ทำร้ายลูก ไม่ว่าเช่นไร ข้าจะดูแลพวกเจ้าสองคน เด็กดี อย่าร้องไห้อีกเลย เจ้าร้องจนดวงตาบาดเจ็บ ไม่อาจน้ำตาไหลได้อีกแล้ว มิฉะนั้นดวงตาของเจ้าจะมืดบอดจริงๆ หากมืดบอดแล้ว ต่อไปกระทั่งหน้าตาของลูกเป็นเช่นไร เจ้าจะไม่มีวันรู้ได้”

ตงฟางไป๋เหมือนกำลังปลอบโยนเด็กน้อย ใช้มือตบที่ไหล่ของเล่อเหยาเหยาเบาๆ พร้อมเอ่ยปลอบโยน

น้ำเสียงอ่อนโยนเช่นนี้ของเขา ดุจน้ำกระจ่างใส สายลมในฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่น ทำให้หัวใจที่สิ้นหวังของเล่อเหยาเหยา พลันมีแสงสว่างเกิดขึ้น ทำให้หัวใจที่มืดมนของเธอไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป

“อืม พี่ไป๋ข้าจะเชื่อฟังท่าน ข้าต้องมีชีวิตต่อไป เพื่อเลี้ยงดูลูกของข้าและอวี๋ให้เติบใหญ่ เช่นนี้เมื่ออวี๋มองลงมาจากสวรรค์ จะได้หมดห่วง!”

อวี๋ เมื่อไม่มีท่านแล้ว ข้าคนเดียวจะใช้ชีวิตให้มีความสุข

จะดูและตนเองและลูกให้เป็นอย่างดี

แต่สัญญาที่ท่านให้ไว้กับข้า ท่านเองก็ต้องทำให้ได้

ท่านพูดว่าจะมารับข้า

ชาตินี้พวกเราไม่ได้เป็นสามีภรรยากัน เช่นนั้นท่านต้องรอข้าที่สะพานไน่เหอ[1] เพื่อทำให้งานอภิเษกสมรสของพวกเราเสร็จสมบูรณ์

ข้ารักท่าน ชั่วชีวิตไม่เปลี่ยนแปลง

จากคำพูดนั้นของตงฟางไป๋ เล่อเหยาเหยาจึงไม่ทำร้ายตนเองอีก กลับมามีชีวิตอีกครั้ง

เพราะเธอต้องมีชีวิตต่อไป เพื่อคนที่รักและห่วงใยเธอ และเพื่อลูก

เลือดเนื้อเชื้อไขของเธอและอวี๋!

สำหรับการเปลี่ยนแปลงของเล่อเหยาเหยา ทุกคนต่างโล่งอกเป็นที่สุด

โดยเฉพาะฮองเฮา ที่ไม่มีน้ำตาอาบแก้มทุกวันอีก

เพราะเรื่องของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ หนานกงจวิ้นซีจึงกลับมาที่ต้าเซี่ย แน่นอนว่าข้างกายเขาย่อมมีถงหย่าเอ๋อร์

เดิมทีพวกเขาสองคนวางแผนไปท่องเที่ยวที่ต้าหลี่ รอให้ถึงวันอภิเษกของเล่อเหยาเหยาค่อยกลับมา คิดไม่ถึง ในเวลานี้กลับเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น

ขณะทุกคนยังเศร้าโศกเสียใจ ก็โน้มน้าวปลอบใจเล่อเหยาเหยาไม่หยุด

ถงหย่าเอ๋อร์ คอยอยู่ข้างกายดูแลเล่อเหยาเหยาทุกวัน

เวลานี้ถงหย่าเอ๋อร์ ก็กำลังตั้งครรภ์ ดังนั้นเวลาที่อยู่ร่วมกับเล่อเหยาเหยา ย่อมสนทนาเรื่องความดีใจของการได้เป็นมารดา และแบ่งบันความสุขระหว่างตั้งครรภ์

เพราะถงหย่าเอ๋อร์ นิสัยร่าเริงสดใส จึงสนทนาถูกคอกับเล่อเหยาเหยา ดังนั้นเมื่ออยู่กับถงหย่าเอ๋อร์ ส่วนใหญ่เล่อเหยาเหยาจะลืมเลือนความเศร้าเสียใจ

ทว่าช่วงกลางคืนอันเงียบงัน กลับคิดถึงชายหนุ่มที่สลักอยู่ในใจตลอดเวลาผู้นั้น

วันนี้แสงอาทิตย์สดใส หมื่นลี้ไร้เมฆ ความตั้งใจทุกวันของถงหย่าเอ๋อร์ คือปรากฎตัวขึ้นที่ตำหนักของเล่อเหยาเหยาเพื่อสนทนากับเธอ

เมื่อเห็นอากาศด้านนอกไม่เลว ถงหย่าเอ๋อร์จึงเสนอให้ออกไปเดินเล่นด้านนอก

หลายวันนี้ ภายใต้การรักษาที่ทุ่มเทของตงฟางไป๋ ดวงตาของเล่อเหยาเหยาได้กลับมาเป็นปกติแล้ว ดังนั้นเมื่อเห็นถงหย่าเอ๋อร์ เสนอความเห็นอย่างกระตือรือร้น จึงย่อมตอบตกลง

ดังนั้นทั้งสองคนจึงสั่งให้เหล่านางกำนัลอยู่ที่นี่ ให้เพียงเซี่ยผิงและเซี่ยลี่ติดตามไป ก่อนค่อยๆ มุ่งหน้าสู่อุทยานหลวง

แม้เวลานี้จะเป็นฤดูร้อน แต่ภายในอุทยานหลวง ยังคงมีดอกไม้นานาพันธุ์บานสะพรั่ง

ช่อดอกไม้บานสะพรั่งสวยสดนั้น กำลังชูช่อสวยงาม แข่งขันกันเบ่งบาน งามสง่ายิ่งนัก

สุดท้ายพวกเล่อเหยาเหยา หลังสนทนาพลางชื่นชมบรรยากาศอยู่ครู่หนึ่ง ต่างรู้สึกว่าเหนื่อยล้า

เพราะพวกเธอสองคนกำลังตั้งครรภ์ จึงรู้สึกง่วงง่ายเป็นพิเศษ

ประจวบเหมาะกับที่ไม่ไกลจากอุทยานหลวงมีเกาะกลางทะเลสาบ

รอบทิศของศาลาพักร้อนบนเกาะที่ตั้งอยู่บนผิวน้ำกลางทะเลสาบนั้น เต็มไปด้วยดอกบัวเชียวชอุ่ม

เวลานี้เป็นฤดูร้อน เป็นฤดูที่ดอกบัวกำลังชูช่อเบ่งบาน ดังนั้นพวกเล่อเหยาเหยาที่เดินทางมายังไม่ถึงศาลาพักร้อนนั้น กลับได้กลิ่นหอมของดอกบัวลอยมาเตะจมูกแล้ว

เมื่อได้กลิ่นหอมของดอกบัวนั้น ทำให้เล่อเหยาเหยาเบิกบานใจ อดเร่งฝีเท้าขึ้นไม่ได้

แต่ทันใดนั้น บนทางเล็กที่พวกเธอกำลังเดินเข้ามา กลับพลันปรากฎงูน้ำตัวหนึ่งขึ้นมา!

เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทุกคนจึงต่างตกใจ

และเล่อเหยาเหยาที่หวาดกลัวพวกงูที่สุดมาตั้งแต่เด็ก เห็นเข้าจึงตกใจกรีดร้องออกมา ร่างกายพุ่งตรงไปที่ด้านข้าง และด้านข้างของเธอ กลับเป็นบันไดที่ลาดเอียง

…………………………………………………………………………………..

[1] สะพานไน่เหอ ความเชื่อของประเทศจีน หลังจากเสียชีวิตเข้าสู่โลกแห่งความตาย ต้องข้ามสะพานไน่เหอ มีแม่เฒ่าเมิ่งคอยตักน้ำแกงเพื่อจะลบความทรงจำในอดีต ก่อนวิญญาณจะกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง