บทที่ 212 สวี่ชีอัน “ข้าไม่ได้ทำ”
จุดพักเปลี่ยนม้า ภายในห้อง
“หยางชวนหนาน เจ้ากับคนของพรรคฉีที่เป็นอดีตหัวหน้าเจ้ากรมกรมโยธา ได้สมรู้ร่วมคิดกับสำนักพ่อมด แอบสนับสนุนพวกโจรภูเขา ขนย้ายยุทโธปกรณ์ไปให้ และเลี้ยงดูพวกโจรเป็นอย่างดี ตั้งใจจะทำอันใดกันแน่”
ผู้ตรวจการจางเอ่ยเสียงเคร่งขรึม โยนสมุดบัญชี แล้วทุบไปที่ใบหน้าของหยางชวนหนานอย่างโหดเหี้ยม
สมุดบัญชีหล่นลงไปบนพื้นดัง ‘ตุบ’ กระจายไปทั่วพื้น หยางชวนหนานก้มลงมอง สีหน้าพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เจียงลวี่จงก้มลงหยิบสมุดบัญชีขึ้นมา และมองไปที่ผู้ตรวจการจางอย่างไร้อารมณ์ ครุ่นคิดในใจ การกระทำของผู้ตรวจการจางเมื่อครู่ กว่าจะหาหลักฐานเจอนั้นไม่ง่ายเลย กลับมาเสียหายไปเสียแล้ว
โชคดีที่เขาทำร้ายอีกฝ่ายไปก่อนหน้าแล้ว ในช่วงเวลาสั้นๆ หยางชวนหนานที่ถูกทำร้ายจิตใจจนบาดเจ็บก็ไม่ต่างจากคนธรรมดาสามัญ แม้กระทั่งคนธรรมดายังไม่เหมือนด้วยซ้ำ
“ความที่จะใส่ ไฉนกลัวไร้ข้ออ้าง” หยางชวนหนานเอ่ยเสียงเย็นชา เขาถูกสวมเครื่องจองจำและกุญแจมือ นั่งอยู่ขอบเตียง แสดงสีหน้าซึมเซา
“ใต้เท้าหยาง ท่านหยุดเอ่ยคำพูดดูดีเหล่านี้ได้แล้ว” ผู้ที่เอ่ยคือสวี่ชีอัน ในบรรดาผู้ที่ยืนอยู่ภายในห้อง มีแค่เขาเท่านั้นที่มีสถานะเป็นฆ้องทองแดง
ยกเว้นโหรสวมชุดขาวสามคน
“เจ้าเป็นผู้หาสมุดบัญชีพบหรือ” หยางชวนหนานจ้องไปที่เขา
รุ่งเช้าวันหนึ่ง หลังจากหน่วยผู้ตรวจการมาถึงอวิ๋นโจว หลี่เมี่ยวเจินได้บอกเขาแล้ว มีฆ้องทองแดงนามว่าสวี่ชีอัน ซึ่งเป็นหนึ่งในบทบาทสำคัญในหน่วยผู้ตรวจการในครั้งนี้
อาจกล่าวได้ว่า โชคชะตาของหยางชวนหนานต้องมาตกอยู่ในเงื้อมมือของฆ้องทองแดงผู้นี้
หยางชวนหนานฟังคำพูดของหลี่เมี่ยวเจิน และไม่ได้ประเมินค่าฆ้องทองแดงที่มีนามว่าสวี่ชีอันต่ำเกินไป แต่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเขายังไม่ทันตอบกลับแต่อย่างใด เจ้าฆ้องทองแดงตัวจ้อยก็วางจุดจบไว้ก่อนแล้ว
โดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว!
“เป็นข้าเอง” สวี่ชีอันพยักหน้า
“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม…” หยางชวนหนานส่ายศีรษะอย่างไร้รอยยิ้ม “คาดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นวีรบุรุษเส้าหลิน ตอนเมี่ยวเจินเล่าเรื่องเจ้าให้ข้าฟัง แม้ข้าจะไม่ประเมินเจ้าต่ำไป แต่ท้ายที่สุดข้าก็ยังประมาทอยู่ดี”
‘ไม่ ไม่ใช่แค่เจ้า ข้าเองก็ด้วย…’ ผู้ตรวจการจางนึกเห็นด้วยในใจเงียบๆ
ไม่มีผู้ใดสามารถจินตนาการได้ว่า ความสามารถทางด้านการค้าของสวี่ชีอันจะแข็งแกร่งมากจนถึงระดับนี้ได้
หยางชวนหนานมองไปที่สวี่ชีอัน “จวนจะทะลวงสู่ขั้นหลอมวิญญาณหรอกหรือ”
“อืม”
สวี่ชีอันพยักหน้ารับเบาๆ เอ่ยขึ้นภายในใจ ที่แท้ก็เป็นท่านแม่ทัพนี่เอง หมายเลขสองช่างมีสายตาเฉียบแหลมมากวิสัยทัศน์ ผู้ฝึกตนที่สง่างามและตรงไปตรงมาของเล่าจื๊อ คาดไม่ถึงว่านางจะสงสัยว่าข้าเป็นผู้ไม่เอาไหนเอาแต่มั่วโลกีย์
ดูเหมือนไม่ว่าจะอยู่ในช่วงเวลาใด ข่าวลือที่ไม่มีมูลต่างก็เป็นภัยทั้งนั้น
ผู้ตรวจการจางและเจียงลวี่จงคอยสังเกตการณ์อยู่ สองมือประสานกันไว้ด้านหลังโดยไม่รุกเร้าหรือขัดจังหวะ เป็นการให้ความเคารพต่อสวี่ชีอันอย่างสูงสุด
“ใต้เท้าหยางเป็นคนของพรรคฉี ข้อนี้ถูกต้องใช่หรือไม่”
หลังจากพูดคุยกันเพียงไม่กี่ครั้ง สวี่ชีอันก็เข้าประเด็น และเริ่มการสอบปากคำแทนผู้ตรวจการจาง
หยางชวนหนานพยักหน้า “ท่านพ่อข้าเป็นชาวฉี ปีนั้นได้รับตำแหน่งกรมทหาร ช่วงนั้นได้รับการสนับสนุนจากซือหลาง รองเจ้ากรมกระทรวงให้เข้าร่วมพรรคฉี”
สวี่ชีอันมองไปที่ผู้ตรวจการจางด้วยท่าทีสับสน
ผู้ตรวจการจางเอ่ยอธิบาย “พรรคฉีเป็นพรรคที่ประกอบด้วยชาวฉี ในสมัยพ่อของหยางชวนหนาน พรรคฉีได้ควบคุมกรมทหาร ซึ่งมันก็เป็นเรื่องเมื่อหลายสิบปีก่อนแล้ว”
หยางชวนหนานเอ่ยต่อ “ท่านพ่อข้าเป็นผู้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับพรรคฉีมาโดยตลอด จนมาถึงรุ่นของข้าก็ยังคงเป็นอยู่ จนกระทั่งข้าถูกย้ายมาอวิ๋นโจว พบเจอกับการโจมตีทางทหารหลายครั้งเป็นเวลานานกว่าสิบปี และค่อยๆ ไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งในตอนนี้ ความจริงแล้วภายในนั้นยังมีคุณงามความดีที่พรรคฉีคอยสนับสนุนข้าภายในราชสำนักอยู่ แต่ข้ากับพวกเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน นอกจากช่วงปรึกษาหารือเรื่องเข้าเมือง จึงจะมีการพบปะกันบ้าง อวิ๋นโจวและเมืองหลวงอยู่ห่างกันหลายพันลี้ จึงยังต้องพึ่งพาความสัมพันธ์เหล่านั้นอยู่”
ผู้ตรวจการจางพยักหน้าเบาๆ
หยางชวนหนานไต่เต้าทางตำแหน่งขึ้นไปโดยอาศัยประโยชน์จากการใช้กำลังทางทหาร ด้วยเหตุนี้ โทษฐานในการเลี้ยงกองโจรเป็นอย่างดีจึงได้รับการยืนยัน ซึ่งสอดคล้องกับการที่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคาดการณ์ไว้เกี่ยวกับเขา
“หากจะบอกว่าข้าส่งเสบียงทหารให้พรรคฉี และสมรู้ร่วมคิดกับสำนักพ่อมด ความจริงข้าถูกกล่าวหา” หยางชวนหนานส่ายศีรษะ “ข้าเป็นถึงผู้บัญชาการ มีเจ้าหน้าที่ในอวิ๋นโจวที่ใหญ่โตยิ่งกว่าข้าอีกหรือ เลี้ยงดูโจรเพื่อสั่งสมบารมีตนเอง หึ หากข้าไม่ต้องการทำประโยชน์ใดเพื่อชาวอวิ๋นโจว ข้าผู้ขอย้ายออกไปจากสถานที่พิลึกแห่งนี้เสียดีกว่า”
ถ้อยคำเหล่านี้ช่างไพเราะและดูดีเสียจริง เหมือนอยู่ในบทละครโทรทัศน์ที่ข้าเคยดูเมื่อชาติที่แล้ว นั่นคือการล้างบาปให้กับตัวเอง…สวี่ชีอันค่อนแขวะในใจ
เขาก็ไม่หลงเชื่อแม้แต่คำเดียว จะเชื่อก็แต่หลักฐานที่อยู่ในมือเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้สอบปากคำที่ผ่านการรับรอง เขารู้พอกลวิธีการชักจูง จึงเอ่ยขึ้นอย่างผู้ที่ได้เปรียบกว่า “ตามความหมายของใต้เท้าหยาง เรื่องนี้ยังมีเรื่องราวซ่อนอยู่เบื้องหลังอย่างนั้นหรือ”
หยางชวนหนานมองไปที่ผู้ตรวจการจาง “ท่านผู้ตรวจการคิดว่าที่อวิ๋นโจวมีข้าที่เป็นคนของพรรคฉีเพียงผู้เดียวหรือ พรรคฉีร่วมมือกับสำนักพ่อมด แอบขนย้ายยุทโธปกรณ์ ผู้ส่งสารที่อยู่เบื้องหลังจะต้องเป็นข้าเท่านั้นหรือ ในหน่วยผู้บัญชาการ จะมีแค่ข้าที่เป็นคนของพรรคฉีงั้นหรือ”
ผู้ตรวจการจางส่ายศีรษะ “ท่านผู้บัญชาการ กล่าวเช่นนั้นก็ไม่ถูกเสียทีเดียว”
ถ้อยคำทั้งหมดของหยางชวนหนานฟังดูแล้วเหมือนเป็นการทำให้สถานการณ์ยิ่งซับซ้อน แต่แท้จริงแล้วเป็นเพียงการเล่นลิ้น ซึ่งการเล่นลิ้นดังกล่าวไม่มีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันเลย เพียงพยายามที่จะกำจัดความรับผิดชอบเท่านั้น
ในฐานะผู้บัญชาการที่ทำการปกครองเพื่อให้โจรป่าแอบขนย้ายยุทโธปกรณ์ จะมีผู้ใดเป็นคนที่รับผิดชอบสูงสุดกัน ย่อมต้องเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงเช่นเขาอยู่แล้ว
จุดนี้ไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่นิดเดียว
“ใต้เท้าหยาง เช่นนั้นในกลุ่มพวกท่านคงมีใครสักคนคิดทรยศกระมัง” สวี่ชีอันเองก็รู้สึกว่าเขากำลังเล่นลิ้น แต่ยังหาข้อสรุปที่มีมูลเหตุไม่ได้
หยางชวนหนานคล้ายจะมองออกถึงความไม่วางใจของพวกเขา จึงหยุดชะงักไป ก่อนเอ่ยต่อ “พรรคฉีเคยทำสิ่งเหล่านี้จริง จนกระทั่งโจวหมินเสียชีวิต ข้าถึงได้เข้าใจภาพรวมของเรื่องราวทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าข้าถูกพรรคฉีใช้เป็นแพะรับบาป มีคนอื่นที่สมรู้ร่วมคิดกับสำนักพ่อมดและสนับสนุนกองโจร เดิมทีข้าต้องการแอบหาหลักฐานและทำลายมันทิ้งเพื่อเป็นการป้องกันตัวเอง แต่น่าเสียดายที่พวกท่านค้นพบเร็วกว่าข้าไปหนึ่งก้าว”
นี่เรียกว่าเร็วไปก่อนหนึ่งก้าวแล้วหรือ นี่เรียกว่าน้ำบ่อของเจ้ายังไม่ปรากฏ ข้าก็ดันดินให้สูงแล้วต่างหาก…สวี่ชีอันหันหน้าไปมองผู้สวมชุดขาวทั้งสอง
โหรทั้งสามที่ไร้บทบาทมานานกว่าครึ่งเดือน ในที่สุดเวลานี้ก็จะได้แสดงความสามารถของตนเองเสียที พวกเขาใช้วิชามองปราณเฝ้าสังเกตหยางชวนหนานโดยตลอด
“ดูเหมือนเขาจะไม่ได้โกหกนะขอรับ” โหรสวมชุดขาวท่านหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ดูเหมือน?” สวี่ชีอันจ้องเขาอย่างไม่พอใจ
ครั้นถูกคุณชายสวี่ตั้งคำถาม โหรทั้งหลายยังคงวิตกกังวลอยู่บ้าง รีบเอ่ยทันที
“พวกข้าเป็นถึงปรมาจารย์ฮวงจุ้ยระดับสูง ผู้บัญชาการท่านนี้อยู่ระดับห้า ตามหลักแล้ว วิชามองปราณของพวกเราไม่เกิดเรื่องผิดพลาดแน่นอน ทว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่แม่นยำ ก่อนอื่น ถ้าใต้เท้าหยางเคยบำเพ็ญตบะเหวียนเสินและตั้งจิตใจให้แน่วแน่ เราก็จะไม่สามารถมองเห็นคำโกหกของเขาได้ อย่างเช่นคุณชายสวี่ การทะลวงเข้ามายังขั้นหลอมวิญญาณของท่าน เรื่องนั้นโหรระดับแปดทั่วไปก็ไม่สามารถมองทะลุผ่านตัวท่านได้ จะต้องเป็นระดับเดียวกันหรือโหรที่มีระดับสูงกว่าเท่านั้นจึงจะสามารถทำได้ ลำดับต่อมา อาวุธเวทมนตร์ที่ป้องกันกลิ่นอาย แน่นอนว่าเราเคยตรวจร่างกายใต้เท้าหยางแล้ว แต่ไม่พบอาวุธเวทมนตร์ สุดท้าย สำนักพ่อมดและโหรอย่างพวกเราต่างก็มีวิชาแก้ไขความทรงจำ หากใต้เท้าหยางเตรียมการมาก่อนแล้ว…สรุปคือสิ่งที่เขาเอ่ยมาตอนนี้ ล้วนเป็นเรื่องจริงทั้งหมด”
“แก้ไขความทรงจำหรือ” สวี่ชีอันตกตะลึง
เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเกี่ยวกับวิธีการแก้ไขความทรงจำ
“นั่นเป็นวิชาที่ผู้แข็งแกร่งระดับสูงเท่านั้นถึงสามารถทำได้” พวกโหรสวมชุดขาวอธิบาย
ช่องว่างระหว่างผู้แข็งแกร่งระดับสูงและผู้แข็งแกร่งระดับต่ำในโลกนี้ช่างใหญ่ยิ่งนัก สวี่ชีอันเข้าใจแล้ว
ยอดฝีมือระดับต่ำ คือการมีทักษะต่อสู้อยู่ในระดับต่ำ ส่วนระดับสูงเปรียบได้กับเทพเจ้าและปีศาจ ความแตกต่างระหว่างเทพและโพธิสัตว์ที่อยู่ในร่างเขาเป็นตัวอย่างหนึ่ง ถูกผนึกในซังผอนานเป็นเวลาห้าร้อยปี พิการแขนขาขาด แต่ยังคงเป็นอมตะ
จริงสิ ข้ายังมีไต้ซือเสินซูอยู่ภายในตัว…ข้าเองเกือบหลงลืมไปแล้วเชียว…สวี่ชีอันถือโอกาสสบถในใจ
พระท่านนี้ถูกผนึกมาห้าร้อยปี พลังชีวิตเสียหายอย่างหนัก นับตั้งแต่ยืมร่างกายเขาไปเพื่อเป็นที่ประทับก็หลับใหลมาจนถึงตอนนี้
หากเป็นการแก้ไขความทรงจำละก็ เช่นนั้นคดีนี้ก็ยากจะจัดการเสียแล้ว…วิธีการสอบสวนแบบธรรมดาใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป…มีเพียงเทพเซียนเท่านั้นที่สามารถเอาชนะเทพเซียนด้วยกันได้ หากรู้แต่แรกข้าคงเชื้อเชิญไม่ก็บังคับซ่งชิงมาด้วย แทนที่จะเป็นปรมาจารย์ฮวงจุ้ยเพียงสามท่านนี้…สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
หยางชวนหนานจ้องสวี่ชีอัน “ใต้เท้าสวี่…ด้วยความสามารถของท่าน เกินพอแล้วที่ข้าจะเรียกใต้เท้าสวี่ ข้าจะเอ่ยเรื่องจริงหรือเท็จ ท่านสามารถตรวจสอบได้เช่นกัน”
“อ้อ นี่เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ข้าจัดเตรียมไว้สำหรับเหตุการณ์สุดวิสัย”
ใช้ศัตรูเพื่อเอาชนะศัตรูอย่างนั้นรึ…สวี่ชีอันคิดอย่างโกรธเคือง
“เหตุใดข้าต้องช่วยท่าน แค่จับมัดท่านกลับเมืองหลวง เท่านี้เรื่องก็จบแล้ว” สวี่ชีอันหัวเราะเสียงเย็นออกมา
“ย่อมได้!” หยางชวนหนานหลับตาลง
…
นับตั้งแต่วันนี้ จุดพักเปลี่ยนม้าจะเริ่มสับเปลี่ยนหมุนเวียนเวรตรวจเฝ้ายามจำนวนสามกะ ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน จะไม่มีผู้ใครได้รับอนุญาตให้เข้าหรือออกจากจุดพักเปลี่ยนม้าหากไม่ได้รับอนุญาตจากท่านผู้ตรวจการ
กองทหารพยัคฆ์ทะยานรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก เนื่องจากคนร้ายถูกจับกุม จึงคาดการณ์ได้ว่าช่วงเวลาที่พวกเขาจะได้กลับเมืองหลวงอยู่ไม่ไกลแล้ว
ทางตอนใต้ช่างเป็นสถานที่พิลึกเสียจริง อากาศหนาวชื้น เวลาปฏิบัติหน้าที่ตอนกลางคืน กระแสลมแทบจะพัดเข้าคอ ทำให้ผู้คนตัวสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้
แม้ความหนาวเย็นทางเหนือจะมากกว่าทางตอนใต้หลายเท่า แต่พวกเขาที่คุ้นเคยกับการอยู่ทางเหนือมากกว่า จึงไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับความชื้นและความหนาวเย็นทางตอนใต้ได้
“ใต้เท้าสวี่ช่างเก่งกาจประหนึ่งเทพ เพิ่งมาถึงอวิ๋นโจวไม่กี่วันนี้เอง? ประมาณสิบวันครึ่งเท่านั้น ก็สามารถจัดการคดีใหญ่เช่นนี้ได้”
“ไม่น่าแปลกใจเลยสักนิด เราได้ยินเกี่ยวกับชื่อเสียงของเขาเมื่อครั้งอยู่ในเมืองหลวง คดีซังผอนั้นปั่นป่วนมาก ยังถูกเขาแก้ไขคดีจนได้”
“ใช่ กลับเมืองหลวงครานี้ เกรงว่าจะกลับไปเป็นผู้โด่งดังอีกครั้ง ระหว่างการเดินทางพวกเราควรตีสนิทกับเขาหน่อย ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ถือเสียว่าในอนาคตจะได้มีที่พึ่งพา”
กองทหารพยัคฆ์ทะยานรู้สึกถึงการมีเกียรติ ในช่วงปฏิบัติงานก็รวมกลุ่มกันวิพากษ์วิจารณ์ และชื่นชมการตัดสินคดีที่เฉียบขาดและแม่นยำของใต้เท้าสวี่
ต่างคนต่างคิดด้วยจิตใจที่กระฉับกระเฉง ว่าจะเกาะเกี่ยวใต้เท้าสวี่อย่างไรดี หากสามารถถือโอกาสผูกมิตรในขณะที่เขายังเป็นฆ้องทองแดงอยู่ ในอนาคตยิ่งสถานะของใต้เท้าสวี่สูงเท่าใด สายสัมพันธ์นี้ก็ยิ่งมีค่ามากขึ้นเท่านั้น
ไม่ต้องการมิตรภาพมากมาย แค่ต้องการให้อีกฝ่ายจำชื่อตนได้ก็เกินพอแล้ว
“พอเลย ผู้ที่ชอบละโมบเงินอันน้อยนิดเช่นเจ้า ใต้เท้าสวี่ไม่มีทางชอบหรอก จะบอกให้นะ ใต้เท้าสวี่เป็นผู้ที่เกลียดชังความชั่วร้าย ช่วงที่อยู่ในเมืองหลวง เพราะไม่พอใจที่หัวหน้ารังแกหญิงสาว เขาเกือบฆ่าคนผู้นั้นด้วยมีดทีเดียวเชียว”
“ถุย หรือว่าผู้ที่ชอบไปหอคณิกาเช่นเจ้า ใต้เท้าสวี่จะชื่นชอบกัน”
ขณะที่พูดคุยกันอยู่ ทันใดนั้นร่างหนึ่งปรากฏขึ้นที่ประตูจุดพักเปลี่ยนม้า
“นั่นใคร”
กองทหารพยัคฆ์ทะยานที่ปฏิบัติติหน้าที่อยู่ กระชับด้ามมีดและตะโกนถามเสียงเข้ม
ตรงปากประตู หลี่เมี่ยวเจินที่มัดผมหางม้าสวมชุดเกราะอ่อน ยืนอยู่พร้อมกับหอกสีเงิน ใบหน้าเรียวราวเมล็ดแตงงดงามน่าเกรงขาม ผมหางม้าที่ถูกลมหนาวพัดจนสบายออก แท้จริงแล้วแฝงไปด้วยความดุดันราวเป็นศัตรูกับคนทั้งโลก
“พลทหารม้าหลี่เมี่ยวเจิน ขอเข้าพบผู้ตรวจการ” หลี่เมี่ยวเจินเอ่ยเสียงดัง
“ให้นางเข้ามา” เสียงทุ้มต่ำของเจียงลวี่จงดังลอดออกมา
กองทหารพยัคฆ์ทะยานหลีกทางให้ หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้าเล็กน้อย “มัวโอ้เอ้อยู่ทำไม รีบตามข้ามา”
ไม่กี่วินาทีต่อมา หญิงงามล่มเมืองนางหนึ่ง ก้าวเดินด้วยท่าทางกระมิดกระเมี้ยนเข้ามาอย่างไม่เต็มใจ “นายหญิงก็ ที่นี่ล้วนเป็นทหารที่น่ารังเกียจ เลือดลมรุ่มร้อนเกินไป ร้อนจนคนเขาเจ็บปวดไปทั้งตัวแล้วนะเจ้าคะ”
เมื่อซูซูอยู่ในค่ายทหาร นางมักจะซุกตัวอยู่ในกระโจมทหารของหลี่เมี่ยวเจินไม่ค่อยออกไปไหน ค่ายทหารนั้นยังดี แต่สำหรับนางแล้ว จุดพักเปลี่ยนม้าเปรียบเสมือนภูเขาไฟก็มิปาน
เลือดลมของทหารระดับสี่นั้นแข็งแกร่งเกินไป ทำให้ภูตผีแทบทนไม่ไหว
หลี่เมี่ยวเจินหยิบเครื่องรางออกมา สะบัดครั้งหนึ่ง แล้วติดมันไว้บนหน้าอกของซูซู
ทันใดนั้นนางก็กระโดดโลดเต้นเข้าไปในลานอย่างเบิกบานใจ ไม่เกรงกลัวเลือดลมลวกวิญญาณอีก
“นายหญิง ข้ามีอะไรจะบอกเจ้าค่ะ ในนี้มีหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่ชอบข้าอยู่สองคน” นางเอ่ยเสียงเจี๊ยวจ๊าว
เดินทะลุผ่านลานกว้างไม่นานก็มาถึงห้องโถง หลี่เมี่ยวเจินได้พบกับผู้ตรวจการจาง เจียงลวี่จง และสวี่ชีอัน ทว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไม่ได้อยู่ภายในห้อง
หลี่เมี่ยวเจินยืนหลังตรงอยู่ในห้องโถง กำหมัดแน่นพร้อมเอ่ย “ท่านผู้ตรวจการจาง พวกท่านจับผู้บัญชาการหยางชวนหนานมา มีหลักฐานหรือไม่”
“เจ้าหมายถึงสิ่งนี้ใช่หรือไม่” เจียงลวี่จงยกสมุดบัญชีที่อยู่ในมือขึ้นมา
“ย่อมต้องมีอย่างแน่นอน” ผู้ตรวจการจางมีท่าทีใจดี เอ่ยพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน
หลี่เมี่ยวเจินหันขวับมองไปทางสวี่ชีอันด้วยสายตาซับซ้อน พลางเอ่ยถามเพื่อยืนยัน “เจ้าเป็นคนทำหรือ”
ไม่นับเจียงลวี่จงซึ่งอยู่ที่นี่ คนที่เหลือก็ออกไปตรวจสอบความเป็นอยู่ของประชาชนจนไม่มีเวลาสอบสวนคดี นอกจากสวี่ชีอันแล้ว นางคิดไม่ออกว่าเป็นผู้ใด
นี่ไม่เหมือนกับสิ่งที่หลี่เมี่ยวเจินคาดคิดไว้ นางตั้งใจมาเพื่อสอดส่องสถานการณ์ หากผู้ตรวจการจางใช้กำลังในการจับกุมโดยไม่มีหลักฐานใด ๆ นางคิดไว้แล้วว่าจะรวมกองกำลังทหารเพื่อกดดันให้ผู้ตรวจการปล่อยตัวหยางชวนหนาน
หากอีกฝ่ายมีหลักฐานจริง นั่นก็ยากที่จะช่วยหยางชวนหนานออกมา
“ข้าไม่ได้ทำ” สวี่ชีอันส่ายหน้าปฏิเสธ พลางเอ่ยเสริม “แต่ข้าหามันเจอต่างหากเล่า”
………………………………………………….