บทที่ 80.2 สู้จนตัวตาย! กลุ่มนักรบป่ายต้า! (2)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

โจวเหว่ยชิงถามอย่างสงสัย “นักรบศาสตร์ลับอัคคีคืออะไรหรือ?”

เซียวเอี๋ยนกล่าวอย่างจริงจัง “โดยพื้นฐานแล้ว ผู้ที่จะฝึกศาสตร์ลับของนักรบอัคคีได้ต้องมีมณียุทธ์ประเภทความแข็งแกร่งและมณีธาตุไฟ โดยเน้นความสนใจไปที่ความแข็งแกร่งทางกายภาพที่ทรงพลัง เมื่อเข้าสู่กระบวนการฝึก มณียุทธ์ทั้งหมดของพวกเขาจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นศาสตรามณียุทธ์ณ์ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่ง ในเวลาเดียวกัน มณีธาตุทั้ง หมดของพวกเขาก็จะต้องกักเก็บทักษะเดียวกันไว้ทั้งหมด นั่นก็คือทักษะระเบิดความแข็งแกร่งธาตุไฟ ทักษะระเบิดความแข็งแกร่งธาตุไฟนี้เป็นทักษะที่เรียบง่ายมาก มันเพียงแค่เพิ่มพลังระเบิดทำลายล้างให้กับการโจมตีเท่านั้น”

“แม้ว่าทักษะนี้จะเป็นทักษะระดับ 3 ดาว แต่ก็สามารถเพิ่มความความแข็งแกร่งให้กับผู้ฝึกได้มาก ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยวิธีกักเก็บทักษะของนักรบศาสตร์ลับอัคคี แม้มันไม่อาจเทียบได้กับโล่ประสานของหัวหน้า แต่พลังที่ซ้อนทับกันหลายๆชั้นเช่นนี้ก็ยังสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นได้ในระดับที่น่ากลัว แน่นอนว่าข้อเสียของวิธีการฝึกเช่นนี้คือแทบเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ฝึกจะก้าวผ่านไปสู่ระดับมณี 9 ชุดหรือสูงกว่านั้น กล่าวคือระดับพลังสูงสุดที่เป็นไปได้ในอนาคตของเขาคือระดับเทวะขั้นสูงสุดเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นจึงมักไม่เลือกฝึกวิธีสุดขั้วเช่นนี้หรอก อย่างไรก็ตาม ในตอนที่ยังมีระดับพลังต่ำ พวกเขาก็มีความได้เปรียบเหนือคนอื่นๆ มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสนามรบที่แทบจะไม่มีใครหยุดพวกเขาได้”

“มีข่าวลือว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนมีกองทัพที่ก่อตั้งขึ้นโดยนักรบศาสตร์ลับอัคคี ซึ่งผู้ฝึกทั้งหมดเป็นจ้าวมณีระดับเทวะขั้นสูงสุด แม้ว่าพวกเขาจะมีจำนวนเพียง 100 คน แต่พวกเขาก็แทบจะไร้เทียมทานในสนามรบ แม้แต่ผู้ทรงพลังระดับราชาสวรรค์ก็ยังไม่เต็มใจจะเผชิญหน้ากับพวกเขา สำหรับตอนนี้ เราไม่รู้ว่าสวี่ชวนเชี่ยวชาญรูปแบบการต่อสู้ของนักรบศาสตร์ลับอัคคีมากเพียงใด ทว่าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลมากขนาดนั้น ถึงอย่างไรพลังที่แท้จริงของศาสตร์ลับนักรบอัคคีก็จะเกิดขึ้นต่อเมื่อพวกเขาขึ้นไปถึงระดับเทวะเท่านั้น”

เมื่อได้ยินคำอธิบายของเซียวเอี๋ยน โจวเหว่ยชิงก็เริ่มรู้สึกสนใจในศาสตร์ลับนี้มากยิ่งขึ้น ในความเป็นจริง ศาสตร์ลับเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเน้นการจับคู่ศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บที่ส่งเสริมกัน เมื่อพลังระเบิดทำลายล้างของธาตุไฟหลอมรวมกับคุณสมบัติความแข็งแกร่ง…และเมื่อพวกมันจับคู่กัน…แน่นอนว่าต้องทรงพลังมากแน่

หากจะพูดอีกอย่างก็คือ การมีมณียุทธ์และมณีธาตุที่เน้นเสริมพลังไปในทิศทางเดียวกันย่อมให้ผลที่แน่นอน และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งหลักการพื้นฐานที่อยู่เบื้องหลังพลังของจ้าวมณีสวรรค์ประเภทขั้นสุดยอด ยกตัวอย่างเช่นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความว่องไวขั้นสุดยอดอย่างซ่างกวนปิงเอ๋อร์เป็นต้น

โจวเหว่ยชิงเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ และเมื่อได้ยินเกี่ยวกับนักรบศาสตร์ลับอัคคีเหล่านี้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกราวกับว่ามีประตูบานหนึ่งเปิดต้อนรับเขา ขยายขอบเขตออกไปไกลโพ้นและทำให้เขาต้องกลับไปขบคิดทบทวนอีกมาก แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เพื่อตัวเขาเอง แต่เพื่อเพื่อนร่วมห้องและผู้ติดตามของเขาในอนาคต เหล่าคนที่จะใช้ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ที่เขาสร้างขึ้นมา อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาเหล่านั้นเพิ่งจะเข้าสู่โลกของจ้าวมณี แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่จ้าวมณีสวรรค์และยังมีพลังอยู่ในระดับต่ำ แต่สิ่งนี้ก็ทำให้เขาสามารถขัดเกลาพวกเขาให้แข็งแกร่งขึ้นได้

ในเวลานี้เอง การต่อสู้บนเวทีก็กำลังมาถึงฉากสำคัญ

ในฐานะที่เป็นนักรบศาสตร์ลับอัคคี ความแข็งแกร่งของสวี่ชวนจึงไม่ได้ด้อยไปกว่าอู่หยาเลยสักนิด เมื่อทั้งสองปะทะกันครั้งแล้วครั้งเล่า คลื่นกระแทกจากการต่อสู้ของพวกเขาก็กระจายออกไปทั่วบริเวณจตุรัส ทำให้เวทีที่แข็งแรงถึงกับสั่นสะเทือนเป็นจังหวะน้อยๆ

ใบหน้าของอู่หยาดูเรียบนิ่ง เธอใช้ทักษะการต่อสู้ทั้งหมดหมุนควงขวานในมือไปมา ฟาดลงที่ค้อนของสวี่ชวนอย่างแรงขณะที่เขาใช้แรงต้านจากการปะทะกันของพวกเขาเพื่อลอยตัวอยู่ในอากาศ จากนั้นก็อาศัยแรงโน้มถ่วงเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับการโจมตีกระแทกลงไปหาอู่หยาเบื้องล่าง

การประลองความแข็งแกร่งดังกล่าวทำให้ผู้ชมพึงพอใจมาก ทุกคนส่งเสียงโห่ร้องอย่างล้นหลามไปทั่วทั้งจตุรัสราวกับลูกคลื่น เมื่อเทียบกับการต่อสู้ครั้งแรก การต่อสู้ครั้งนี้ปลุกจิตวิญญาณและทำให้เลือดของพวกเขาเริ่มร้อนระอุขึ้นมา

ในเรือนพักของนักรบเฟยหลี่ โจวเหว่ยชิง หลินเทียนอ้าวและคนอื่นๆ ในกลุ่มกำลังยิ้มน้อยๆ พวกเขารู้ว่าหากไม่มีสิ่งใดเหนือความคาดหมาย การต่อสู้ครั้งนี้ย่อมเป็นไปตามแผนของพวกเขา

แม้ว่าศาสตร์ลับของสวี่ชวนจะทำให้เขาสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นไปจนถึงระดับที่น่ากลัวได้ แต่พลังทั้งหมดนั้นก็มาจากศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บของเขา

ในทางกลับกัน อู่หยากลับใช้พลังปราณสวรรค์เพื่อเพิ่มพลังให้กับตัวเอง โดยใช้ร่างกายที่สืบทอดมาจากการเป็นสมาชิกเผ่าอีกาทองเป็นหลัก แน่นอนว่ายังไม่ได้ใช้ศาสตรามณียุทธ์หรือทักษะกักเก็บเลยด้วยซ้ำ!

ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าสถานการณ์จะดูเหมือนว่าเธอกำลังจนมุม แต่เห็นได้ชัดว่าพลังปราณสวรรค์ของแต่ละคนนั้นกำลังถูกใช้ในจำนวนที่ไม่เท่ากัน ท้ายที่สุดสวี่ชวนก็จะหมดแรงลง และแม้ว่าระดับพลังปราณของอู่หยาจะต่ำกว่าเขา แต่เพราะเธอใช้พลังปราณสวรรค์ในสัดส่วนที่น้อยกว่า อู่หยาจึงสามารถยืนหยัดอยู่ได้นานกว่าเขา…และจากนั้นก็ไม่ต้องเดาเลยว่าใครจะเป็นผู้ชนะในครั้งนี้

สำหรับสวี่ชวนที่ลอยอยู่กลางอากาศตลอดเวลา แม้ดูเหมือนว่าเขาจะคิดทำเช่นนั้นเอง ในความเป็นจริง ผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นย่อมบอกได้ว่าเป็นอู่หยาต่างหากที่ควบคุมทุกอย่างอยู่ในมือและบังคับไม่ให้เขาร่อนลงแตะพื้นได้

ความแข็งแกร่งของมนุษย์ล้วนมาจากร่างกายของพวกเขาและการเชื่อมต่อกับโลก พวกเขาจึงสามารถใช้ประโยชน์จากความแข็งแกร่งของตนเองหักล้างความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ และด้วยทักษะการต่อสู้ของเธอ อู่หยาจึงสามารถบังคับให้สวี่ชวนลอยเคว้งอยู่กลางอากาศได้โดยไม่ให้เวลาเขาได้ทันฟื้นตัว เขาต้องปล่อยการโจมตีอย่างอย่างต่อเนื่องและเข้าปะทะอย่างรุนแรงโดยไม่ได้หยุดพัก

นั่นก็เป็นเพราะว่าเธอต้องการยุติเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด

สวี่ชวนเองก็เข้าใจเรื่องนี้เช่นกัน อนิจจา น่าเสียดายที่ความแข็งแกร่งของอู่หยานั้นน่ากลัวเกินไปเช่นเดียวกับทักษะการใช้ขวานของเธอ เมื่อปล่อยให้เธอเป็นฝ่ายได้เปรียบก่อน เขาจึงไม่สามารถทำสิ่งใดเพื่อแยกตัวเองออกจากสถานการณ์เช่นนี้ได้เลย

แม้ว่าเขาจะเคยเห็นการต่อสู้ของอู่หยามาก่อนและในเวลานั้นเขาก็รู้สึกได้ว่าความแข็งแกร่งของเธอนั้นช่างทรงพลัง แต่เขาก็ยังคิดว่าตนเองไม่ได้ด้อยไปกว่าอีกฝ่ายแน่นอน มีเพียงตอนที่เขาต่อสู้กับเธอด้วยตัวเองเช่นนี้ถึงสำนึกได้ว่าตัวเขานั้นคิดผิดไป เพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆ อู่หยาก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าเธอเป็นขุนเขาที่ไม่อาจก้าวข้ามไปได้ ทุกการปะทะสะเทือนไปทั่วร่างกายของเขา ทำให้เขารู้สึกชาหนึบไปทุกส่วนอย่างรวดเร็ว อีกทั้งแขนก็ยังเริ่มขยับได้ช้าลง

อู่หยาน้ำหนัก 600 จิน ส่วนขวานในตำนานก็หนักถึง 1,300 จิน

เมื่อน้ำหนักที่น่าสะพรึงกลัวมาพร้อมกับพลังเช่นนี้ แน่นอนว่าไม่มีใครสามารถจินตนาการถึงพลังที่แท้จริงของอู่หยาได้หากไม่ประสบกับตัวเอง นี่แทบจะไม่เหมือนมนุษย์ด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งทางกายภาพของเธอเอง พลังเสริมจากพลังปราณสวรรค์และทักษะธาตุไฟของเธอก็ถือว่าด้อยลงไปทันที

การปะทะกันของความแข็งแกร่งที่บริสุทธิ์ดังกล่าวเป็นเรื่องธรรมดาที่จะทำให้นักรบศาสตร์ลับอัคคีอย่างสวี่ชวนต้องสูญเสียพลังปราณสวรรค์ไปจำนวนมหาศาล ถึงอย่างไรเขาก็ยังคงเป็นจ้าวมณีระดับ 4 ชุดจึงยังไม่สามารถใช้ประโยชน์จากศาสตร์ลับทั้งหมดได้อย่างเต็มความสามารถ เมื่อรู้สึกได้ว่าพลังปรานของเขากำลังหมดลงอย่างรวดเร็ว เขาก็เริ่มรู้สึกกังวลใจขึ้นมา

ในการปะทะครั้งต่อมา เมื่อร่างของสวี่ชวนเด้งกลับขึ้นไปกลางอากาศอีกครั้ง เขาก็ส่งเสียงร้องขึ้นมาอย่างกะทันหัน เปลวไฟที่แผ่วลงรอบๆ ตัวของเขาพลันลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง และมันก็สว่างไสวราวกับได้ชีวิตใหม่เมื่อเปลวไฟสีแดงแปรเปลี่ยนเป็นสีส้ม กลิ่นอายของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเช่นกัน

น่าแปลกที่เขาหยุดอยู่กลางอากาศเป็นเวลา 1 วินาทีก่อนที่เขาจะพุ่งลงไปหาอู่หยาอีกครั้ง

ครั้งนี้เขาช้าลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ทว่าค้อนในมือของเขากลับลุกโชนไปด้วยเปลวไฟสีแดงส้ม ก่อให้เกิดความรู้สึกอันน่าสะพรึงกลัวที่บาดลึกลงไปถึงจิตวิญญาณ

เช่นเดียวกับสมาชิกทุกคนในกลุ่มนักรบเฟยหลี่ที่ยืนกรานจะนำชัยชนะกลับมา กลุ่มนักรบป่ายต้าเองก็หมายมาดเช่นนั้นเหมือนกัน เพื่อให้บรรลุชัยชนะ สวี่ชวนจึงไม่หวาดหวั่นกับการเสียสละตัวเอง

ในเรือนพักของกลุ่มนักรบเฟยหลี่ ทุกคนลุกขึ้นยืนทันทีเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่สวี่ชวนกำลังใช้นั้นคุ้นเคยเกินไป…นั่นเป็นเพราะเซียวเอี๋ยนเคยใช้มันก่อนหน้านี้กับแม่มดน้อย การเผาผลาญเปลวไฟแห่งชีวิตของเขา!

เพื่อให้ได้รับชัยชนะในครั้งนี้ สวี่ชวนได้ตัดสินใจเผาผลาญเปลวไฟแห่งชีวิตของตัวเองก่อนที่พลังปราณสวรรค์ของเขาจะหมดลง

สมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่ที่กำลังเฝ้าดูการรต่อสู้กำหมัดแน่น ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล แม้ว่าความแข็งแกร่งและพลังป้องกันของอู่หยาจะน่าเกรงขามมาก แต่เธอจะเผชิญหน้ากับสวี่ชวนที่กำลังเผาผลาญชีวิตของตัวเองเพื่อใช้เปลวไฟแห่งชีวิตได้หรือไม่?

อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาทุกคนต่างก็ตกตะลึงเมื่อเห็นฉากน่าเหลือเชื่อเกิดขึ้นต่อหน้าพวกเขา

*วูบ* จู่ๆ อู่หยาก็พุ่งถอยหลังกลับไปหลายสิบหลา ขวานของเธอยื่นไปด้านหน้าในท่าเตรียมป้องกัน ไม่มีใครรู้ว่าเธอลงมือตอนไหน มีเพียงสมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่เท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้จากมุมของพวกเขาว่าอู่หยาได้คล้องโซ่ศาสตรามณียุทธ์ของเธอไว้ที่ขอบเวที อันที่จริงเธอใช้โซ่ดึงตัวเองไปข้างหลังทันทีโดยไม่ได้อาศัยพลังอื่นๆ เลย

*ตูม*!

อนิจจา…โชคร้ายสำหรับสวี่ชวน การโจมตีที่เขาเสี่ยงชีวิตปลุกมันขึ้นมาได้พุ่งเข้าปะทะลงบนพื้นเวทีอย่างโหดเหี้ยมแทน ราวกับว่ามีลูกอุกกาบาตพุ่งเข้าใส่เวทีที่สร้างจากหินเพชร เศษหินและเศษฝุ่นปลิวฟุ้งกระจายไปในอากาศพร้อมกับการระเบิดครั้งใหญ่คล้ายภูเขาไฟกำลังปะทุ เมื่ออากาศกลับมาปลอดโปร่งอีกครั้ง บริเวณกลางเวทีก็เผยให้เห็นหลุมขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางกว่า 20 หลา รอบๆ เวทีดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นสีส้มแดงพร้อมกับคลื่นความร้อนทำให้บรรยากาศร้อนระอุขึ้น

แรงระเบิดนั้นรุนแรงเกินไป คลื่นกระแทกที่เกิดขึ้นยังคงไหวสะเทือนไปทั่วบริเวณจตุรัส เกือบจะทำลายเรือนพักทั้งหลายเมื่อคลื่นเหล่านั้นพัดผ่านพวกมันไป

แม้ว่าระดับพลังปราณของสวี่ชวนจะเป็นเพียงมณี 4 ชุด แต่การโจมตีด้วยเปลวไฟแห่งชีวิตนั้น แม้แต่จ้าวมณีสวรรค์ระดับ 6 ชุดก็ไม่อาจรับมือได้ง่ายๆ

ต้องใช้เวลาหลายอึดใจกว่าความร้อนที่ปะทุขึ้นอย่างรุนแรงในอากาศจะสลายหายไป แม้ว่าในอากาศจะยังคงเต็มไปด้วยฝุ่นควันสกปรกก็ตาม ณ เวลานั้น จู่ๆ แสงสีแดงเข้มอีกดวงหนึ่งก็สว่างวาบขึ้น มันบินไปข้างหน้าพร้อมกับเสียง *วืดด* “พวกเราขอยอมแพ้!!” หลางเซี่ยตะโกนบอกทันที น่าเสียดายที่มันสายเกินไปแล้ว

หนึ่งในขวานในตำนานของอู่หยาซึ่งมีน้ำหนักมากกว่า 600 จินหมุนคว้างไปในอากาศอย่างน่าสะพรึงกลัวและปักลึกลงไปในหน้าอกของสวี่ชวน สวี่ชวนที่อ่อนกำลังจากการเผาผลาญเปลวไฟแห่งชีวิตก็ถูกมันฟาดลงไปนอนกับพื้นทันที

ด้วยน้ำหนักและความแข็งแกร่งของอู่หยา การโจมตีดังกล่าวต้องมีน้ำหนักอย่างน้อย 3,000 จินหรือมากกว่านั้น นับประสาอะไรกับความจริงที่ว่ามันคือคมขวานที่เฉือนเข้าไปในร่างกายของเขา

นี่ยังไม่ได้นับความจริงที่ว่าสวี่ชวนเป็นเพียงจ้าวมณีสวรรค์ธรรมดา ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นสมาชิกเผ่าอีกาทองเหมือนกับอู่หยา ผิวหนังและกระดูกที่ได้รับการเสริมความแข็งแรงของเขาก็ยังไม่อาจรองรับแรงกระแทกเช่นนี้ได้อยู่ดี หน้าอกทั้งหมดของเขายุบลงและแยกออกจากกัน ซี่โครงและปอดแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนที่เขาจะทันได้ร้องออกมา ชีวิตของสวี่ชวนก็ถูกขวานเล่มนั้นพรากไปอย่างรวดเร็ว

อู่หยายืนขึ้นจากอีกด้านหนึ่งของเวที มองไปที่ผู้ตัดสินอย่างไร้เดียงสา “อ๊าาา ก็เขาดูดุร้ายมากเลยนี่นา ข้าก็เลยคิดว่าเขายังมีใจอยากจะต่อสู้อยู่น่ะสิ หัวหน้าหลางเซี่ย เพื่อเขาแล้วท่านควรจะรีบยอมแพ้ก่อนหน้านี้นะ ดูสิ นี่ทำให้ข้ารู้สึกแย่มาก…เฮ้อ…ชีวิตที่ต้องปลิดปลิวไปเช่นนี้ นี่ข้าไม่ได้ตั้งใจทำแบบนี้นะ แต่เจ้าบอกยอมแพ้ช้าเกินไปเอง”

“เจ้า…!” หลางเซี่ยแทบจะกระอักเลือดออกมาด้วยความโกรธขณะที่จ้องไปยังอู่หยาด้วยเปลวไฟลุกโชนในดวงตา สมาชิกในกลุ่มนักรบป่ายต้าคนอื่นๆ ก็กำลังโมโหเช่นกัน พวกเขาเกือบจะพุ่งเข้าหาอู่หยาด้วยความคลุ้มคลั่ง

ในขณะนั้น เจ้าหน้าที่จากวังกักเก็บทักษะของอาณาจักรจ้งเทียนหลายคนพลันปรากฏตัวขึ้นขวางเส้นทางของพวกเขาเอาไว้

เมื่อพวกเขาปลดปล่อยมณีสวรรค์ 6 ชุดออกมา ไม่ว่าสมาชิกกลุ่มนักรบป่ายต้าจะโกรธแค้นแค่ไหน พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรั้งตัวเองไว้

แม้แต่ผู้ตัดสินบนเวทีก็ยังทนมองสภาพศพที่แหลกเหลวของสวี่ชวนไม่ได้ อู่หยาเดินเข้ามาดึงขวานออกจากร่างของเขา สีหน้าของเธอดูเศร้าโศกขณะที่คร่ำครวญออกมาว่า “ข้าไม่ได้ต้องการจะฆ่าเจ้า…แต่ใครใช้ให้เจ้าเกิดในอาณาจักรป่ายต้าล่ะ? น่าเสียดาย เจ้าไม่ควรเรียกตัวเองว่านักรบศาสตร์ลับอัคคีเลย เจ้ายังไม่ได้เรียนรู้ความลับของพวกเขาอย่างถูกต้องด้วยซ้ำ…แต่กลับกล้าขึ้นมาบนเวทีเพื่อล้อเล่นกับข้า…เฮ้อ…ตายด้วยน้ำมือของข้านั้นไม่ได้อยุติธรรมต่อเจ้าเลยแม้แต่น้อย”

หลังจากที่ผู้ตัดสินประกาศชัยชนะของกลุ่มนักรบเฟยหลี่แล้ว อู่หยาก็เดินลงจากเวทีทันที

ฉากนองเลือดดังกล่าวทำให้ผู้ชมทั้งหมดตกอยู่ในความเงียบ เดิมทีพวกเขาตั้งหน้าตั้งตารอการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นเร้าใจ แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าความเกลียดชังระหว่างทั้งสองอาณาจักรนั้นอยู่ในขั้นล้ำลึกขนาดนี้ นี่เป็นการต่อสู้จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะตายอย่างแท้จริง

ในขณะที่เจ้าหน้าที่เข้าซ่อมแซมพื้นเวทีอีกครั้ง สมาชิกของกลุ่มนักรบป่ายต้าทุกคนก็มีดวงตาแดงก่ำ ภายใต้สถานการณ์ที่อีกฝ่ายจะต้องได้รับชัยชนะอยู่แล้วเช่นนี้ อู่หยากลับยังคงลงมือฆ่าสวี่ชวน สิ่งนี้ทำให้พวกเขาทั้งหมดรู้สึกโกรธแค้นมาก