ตอนที่ 131-2 รวบอำนาจทางการทหาร

ชายาเคียงหทัย

เมื่อออกจากห้องทรงพระอักษร เยี่ยหลีเดินออกจากวังมาคู่กับฮว่ากั๋วกง ตลอดทางฮว่ากั๋วกงไม่รู้จะพูดอันใดทำได้เพียงทอดถอนใจยาวไม่หยุดเท่านั้น จนเมื่อเดินถึงปากประตูวังถึงได้หยุดยืนหันมองเยี่ยหลีเอ่ยว่า “ช่างบังเอิญที่ติ้งอ๋องไม่อยู่ในเมืองหลวงพอดี ลำบากพระชายาแล้ว”

 

 

เยี่ยหลียกยิ้มบางๆ “ทำให้กั๋วกงผู้เฒ่าเป็นห่วงแล้ว เรื่องเหล่านี้อย่างไรก็เป็นหน้าที่ของเยี่ยหลีเพคะ”

 

 

ฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่าส่ายหน้า “ครานี้ฝ่าบาทเล่นสนุกเกินไปจริงๆ อย่างไรก็เชี่ยวชาญกับการกลั่นแกล้งสตรี หากเทียบกับฮ่องเต้พระองค์ก่อนแล้ว ยังถึอว่าห่างชั้นอยู่อีกมาก”

 

 

เยี่ยหลีเข้าใจสิ่งที่ฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่าเอ่ย ช่วงที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนขึ้นครองราชย์นั้น เป็นช่วงที่ซีหลิงและต้าฉู่ทำศึกกันมาต่อเนื่องหลายปีพอดี ม่อหลิวฟางติ้งอ๋องในสมัยนั้นมิได้เพียงเก่งกาจด้านการบุ๋นเท่านั้น แต่ความสามารถด้านบู๊ของเขาก็แพรวพราวเสียยิ่งกว่า ถือเป็นติ้งอ๋องผู้สำเร็จราชการคนแรกภายหลังม่อหลั่นอวิ๋น ถึงแม้จะชื่อเสียงอันดีเลิศเช่นนี้ แต่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนกลับอดทนปฏิบัติต่อม่อหลิวฟางด้วยความเคารพเป็นอย่างมาก จนเมื่อฮ่องเต้พระองค์ก่อนปีกแข็งแรงพร้อมที่จะออกโบยบินแล้ว ม่อหลิวฟางก็ได้คืนอำนาจการปกครองให้แก่พระองค์ ยามที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนได้อำนาจปกครองอย่างเต็มตัวในช่วงแรก ถึงแม้จะไม่ถือว่าเป็นประมุขที่เก่งกาจนัก แต่ก็ยังเป็นประมุขที่ทำหน้าที่ของตนได้เป็นอย่างดี กับท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการก็เป็นประมุขกับขุนนางที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อ

 

 

แต่ม่อจิ่งฉีในยามนี้ เขาแสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์กับตำหนักติ้งอ๋องออกมาเร็วเกินไป แม้กระทั่งในยามที่ติ้งอ๋องกลายเป็นคนพิการ ก็ไม่ลดละที่จะกดตำหนักติ้งอ๋องให้จมลงดินเลยแม้แต่น้อย และคอยทำทุกวิถีทางที่จะเข้าควบคุมกองทัพตระกูลม่อ หากเขาเป็นคนมีความสามารถและมีกลยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าเทียมดินก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ความสามารถของเขาก็ไม่เพียงพอที่จะควบคุมกองทัพตระกูลม่อได้ ต่อให้ม่อซิวเหยายินดีมอบกองทัพตระกูลม่อให้กับเขา แต่ก็คงต้องเอ่ยถามประโยคเดิมว่า เขาจะสามารถบัญชาการกองทัพตระกูลม่อได้หรือ ด้วยคนจิตใจเช่นเขาจะปฏิบัติต่อกองทัพตระกูลม่อด้วยดีได้หรือ

 

 

“กั๋วกงโปรดระวังคำพูดด้วย” เยี่ยหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงต่ำ

 

 

ฮว่ากั๋วกงโบกมือเป็นสัญญาณว่าเยี่ยหลีไม่ต้องเดินไปส่งเขาแล้ว ก่อนหมุนตัวเดินขึ้นรถม้าไปด้วยตนเอง

 

 

เมื่อมองส่งฮว่ากั๋วกงขึ้นรถม้าไปแล้ว เยี่ยหลีหันกลับมาอีกทีก็เห็นหนานโหวซื่อจื่อกำลังยืนอมยิ้มมองนางอยู่ เยี่ยหลีได้แต่นึกทอดถอนใจ กับพี่เขยของนางคนนี้นางเคยมีโอกาสได้พบหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้ง กับเคยกินข้าวร่วมโต๊ะกันที่จวนเยี่ยเพียงหนึ่งครั้ง เรียกได้ว่าไม่คุ้นเคยกันเสียเลย ยามนี้ตระกูลเยี่ยถดถอยลง แต่เยี่ยเจินก็ยังถือว่าใช้ชีวิตอยู่ในจวนหนานโหวได้อย่างไม่เลวนัก เห็นได้ชัดว่าจวนหนานโหวใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้เก่งกาจไม่น้อย แค่เพียงเรื่องนี้ เยี่ยหลีก็ต้องเกรงใจเขาอยู่ถึงสามส่วนแล้ว

 

 

“คารวะพระชายา”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้าพร้อมยิ้มน้อยๆ “ซื่อจื่อเกรงใจแล้ว ซื่อจื่อมีธุระอันใดหรือ”

 

 

หนานโหวซื่อจื่อเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “มิได้มีธุระอันใดหรอกพ่ะย่ะค่ะ เจินเอ๋อร์คิดถึงพระชายาอย่างมาก หากพระชายาพอมีเวลาว่าง ก็ขอเชิญไปนั่งสนทนาที่จวนสักครู่”

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เยี่ยหลีเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ท่าทีที่ฮ่องเต้มีต่อตำหนักติ้งอ๋องนั้น ขอเพียงเป็นคนที่มีหูตาสว่าง ก็ย่อมมองออกว่าเป็นเช่นไร ในยามนี้เขาที่มีตำแหน่งเป็นซื่อจื่อยังกล้าเอ่ยปากเชื้อเชิญนางไปเป็นแขกที่ตำหนัก…

 

 

แววตาเยี่ยหลีเป็นประกายเล็กน้อย เอ่ยยิ้มๆ ว่า “พี่ใหญ่มีโอกาสได้พบซื่อจื่อ ถือเป็นวาสนาของนาง หวังว่าซื่อจื่อจะช่วยดูแลนางด้วย”

 

 

หนานโหวซื่อจื่อหัวเราะพร้อมเอ่ยอย่างใจกว้างว่า “ในเมื่อเจินเอ๋อร์แต่งเข้าจวนหนานโหวมาแล้ว ข้าย่อมเห็นนางเป็นคนในครอบครัว พระชายาโปรดวางใจเถิด”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า “วันพรุ่ง ซื่อจื่อก็ต้องออกเดินทางไปยังชายแดนแล้ว ขอให้ซื่อจื่อเดินทางปลอดภัย”

 

 

“ขอบพระคุณพระชายา” หนานโหวซื่อจื่อเอ่ยว่า “ข้าน้อยขอตัวก่อน”

 

 

“ไม่ส่ง” เยี่ยหลีเอ่ย

 

 

เมื่อเห็นเขาเดินจากไปไกลแล้ว เยี่ยหลีถึงได้หันกลับไปมองประตูวังที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหลังตน ก่อนขมวดคิ้วหมุนตัวเดินจากไป

 

 

วันรุ่งขึ้น เหลิ่งฉิงอวี่และหนานโหวซื่อจื่อก็รีบนำทัพเคลื่อนพลออกจากเมืองหลวง เยี่ยหลียืนอยู่อยู่บนประตูเมือง เมื่อเห็นทัพใหญ่เคลื่อนพลออกไปไกลแล้ว คิ้วเรียวที่ขมวดมุ่นอยู่กลับมิได้คลายออกจากกัน เจิ้นหนานอ๋องแห่งแคว้นซีหลิง ได้ชื่อว่าเป็นเทพแห่งสงครามของซีหลิง มีอำนาจยิ่งใหญ่อยู่ในแคว้นซีหลิงมาหลายสิบปี ต่อให้เป็นม่อซิวเหยาก็ยังมิอาจกล่าวว่าจะสามารถชนะเขาได้อย่างเต็มปาก เหลิ่งฉิงอวี่กับหนานโหวซื่อจื่อนำทหารไปเพียงหนึ่งแสนนาย จะต้านไหวจริงหรือ

 

 

“พระชายาเป็นอันใดไปหรือพ่ะย่ะค่ะ” จั๋วจิ้งที่ยืนอยู่ข้างเยี่ยหลีเหลือบมองสีหน้านางพร้อมเอ่ยถามขึ้น

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้า ต้าฉู่มิได้มีม่อซิวเหยาเป็นแม่ทัพใหญ่อยู่เพียงผู้เดียว หากหวังให้ม่อซิวเหยาจัดการทุกอย่าง เช่นนั้นก็คงไม่ต้องทำอันใดกันแล้ว

 

 

“น้องสาม…พระชายา…” เสียงของเยี่ยเจินดังลอยมาจากทางด้านหลัง เยี่ยหลีหันกลับไปมองก็เห็นเยี่ยเจินยืนอยู่ข้างกายชายาซื่อจื่อ กำลังมองมาที่นางด้วยสีหน้ายินดี ไม่ได้พบหน้ากันเสียนาน เมื่อเทียบกับคราที่แล้วที่เยี่ยเจินใบหน้าดูมีประกายงดงาม มายามนี้กลับดูซีดขาวและอ่อนเพลียลงไปไม่น้อย แม้แต่ขอบตาก็ยังมีรอยแดงปรากฏให้เห็น เชื่อว่าคงด้วยเพราะนึกเป็นห่วงที่สามีต้องออกไปทำศึก

 

 

ชายาหนานโหวซื่อจื่อเองก็เป็นสตรีที่เกิดในตระกูลบัณฑิต ดูแล้วเป็นคนจิตใจดีและมีศีลธรรม เมื่อเห็นเยี่ยหลีก็ก้าวขึ้นหน้ามาทำความเคารพ อีกทั้งยังหลบให้เยี่ยหลีได้สนทนากับเยี่ยเจินเป็นการส่วนตัวอย่างมีมารยาท

 

 

พี่น้องทั้งสองเดิมทีก็มิได้สนิทสนมกันสักเท่าใด ปีๆ หนึ่งได้พบหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้ง เมื่อได้เจอหน้ากันเช่นนี้จึงไม่มีอันใดจะเอ่ยต่อกัน

 

 

ทั้งสองนิ่งเงียบไปพักใหญ่ เยี่ยเจินถึงได้เอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า “พระชายาได้กลับไปเยี่ยมที่จวนบ้างหรือไม่”

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้า ยามนี้ตระกูลเยี่ยอยู่ในช่วงขาลง เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าก็คงถือเอาเรื่องนี้ว่าเป็นความผิดของเยี่ยหลี ทุกครั้งที่พบหน้านางก็มักพูดจาประชดประชันออกมาอย่างเปิดเผย หลายปีนี้เยี่ยหลีถึงได้รับรู้เป็นครั้งแรกว่า ที่แท้เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าไม่เกรงกลัวต่ออำนาจได้ถึงเพียงนี้ ส่วนเจ้ากรมเยี่ย ถึงแม้จะมิได้เอ่ยอันใดออกมา แต่สีหน้าของเขามักแสดงความไม่พอใจต่อบุตรสาวผู้เป็นชายาติ้งอ๋องคนนี้อยู่เสมอ เยี่ยหลีมิได้ชื่นชอบจะไปเยี่ยมคนที่ทำให้ตนเองรู้สึกอึดอัด หากมิได้จำเป็นจริงๆ ก็มิได้คิดอยากจะกลับไป

 

 

เยี่ยเจินเอ่ยเสียงต่ำว่า “ท่านพ่อวางแผนที่จะเดินทางกลับบ้านเดิมในอีกสองสามวันนี้”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า “กลับไปก็ดี จะได้อบรมหรงเอ๋อร์ให้ดีด้วย ที่บ้านก็ยังพอมีสมบัติอยู่บ้าง ต่อไปท่านพ่อกับท่านย่าจะได้ใช้ชีวิตในวัยชราได้อย่างสบาย”

 

 

สถานการณ์ในยามนี้ ตระกูลเยี่ยได้ลาออกจากราชการแล้ว การไปจากเมืองหลวงถือเป็นทางเลือกที่ถูกต้องที่สุด เพราะหากกลับเข้าไปอยู่ในวังวนของการแก่งแย่งชิงอำนาจอีกครั้ง เกรงว่าคงจะจัดการไม่ได้ง่ายๆ ด้วยการลาออกจากราชการเท่านั้นอีกแล้ว

 

 

คิ้วโก่งที่ได้รับการตกแต่งมาอย่างดีของเยี่ยเจินเลิกขึ้นเล็กน้อย หันมองเยี่ยหลีเอ่ยว่า “น้องสาม เจ้าแค้นใจท่านพ่อถึงเพียงนี้จริงหรือ ช่วยอันใดท่านพ่อไม่ได้เลยหรือ”

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้า เอ่ยเบาๆ ว่า “พี่ใหญ่ ด้วยเพราะข้าไม่นึกแค้นท่านพ่อ ข้าถึงได้บอกว่ายามนี้ท่านกลับไปนั้นถูกต้องแล้ว ไม่มีอันใดสำคัญไปกว่าชีวิตหรอก”

 

 

แววตาเยี่ยเจินมีประกายงุนงงและไม่เข้าใจ ดูท่าว่าไม่เชื่อ นางมองเยี่ยหลีพร้อมทอดถอนใจด้วยความตัดพ้อ “น้องสองเสียชีวิตแล้ว ยามนี้น้องสี่เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ยังไม่รู้ น้องห้าน้องหก…ไม่เอ่ยถึงก็ไม่เป็นไรหรอก พวกเราพี่น้องเหตุใดถึงได้…”

 

 

“พี่ใหญ่ จวนหนานโหวถือได้ว่าเป็นตระกูลที่มีศีลธรรม ชายาซื่อจื่อเองก็เป็นคนฉลาด คงมิทำความลำบากอันใดให้พี่มากนัก พี่ใหญ่ใช้ชีวิตของตนให้ดีเถิด” เยี่ยหลีเอ่ยเสียงขรึม

 

 

เยี่ยเจินอึ้งไป เมื่อตั้งสติกลับมาได้อีกที ก็เห็นว่าเยี่ยหลีออกเดินไปไกลแล้ว แววตามีประกายเศร้าโศกและไม่ยินดี เอ่ยเบาๆ ว่า “ไม่มีบุตร ซ้ำยังไม่มีตระกูลคอยเกื้อหนุน ข้าจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร น้องสาม มิใช่ทุกคนจะมีชีวิตที่ดีเช่นเจ้านะ”