ภาคที่ 1 บทที่ 200 องค์กรที่อยากอยู่เหนือมวลมนุษยชาติ

เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]

บทที่ 200 องค์กรที่อยากอยู่เหนือมวลมนุษยชาติ

“ที่จริงผมสายตาดีมาตั้งแต่เกิดน่ะครับ…”

ซูเย่ขยับกายลุกขึ้นกล่าว “คุณปู่ท่านหนึ่งสอนมวยให้ผมที่สวนสาธารณะ แล้วยังสอนค่ายกลประสานให้ผมด้วย ในสถานการณ์อันตรายแบบเหมือนครู่ ผมเองก็หมดหนทางถึงได้ใช้มัน”

“เหอะเหอะ…” หวังห่าวแสดงสีหน้าไม่เชื่อออกมา

คิดจะหลอกผีรึไง?!

“ค่ายกลประสาน ?” ชายชราผู้รักษาความปลอดภัยมองซูเย่ด้วยความประหลาดใจแล้วเอ่ยถาม “นายรู้จักมันด้วยงั้นหรือ ช่วยแสดงให้ฉันดูหน่อยได้ไหม?”

ซูเย่ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้า

พูดคำพูดที่ใช้ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ออกมาอีกครั้ง…

ซุนชือและจินฟานไม่ต้องพูดอะไรมากอยู่แล้ว พี่น้องตระกูลไป๋ และเฉินเซียนเยว่ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

เมื่อการสาธิตจบลง สายตาของชายชราผู้รักษาความปลอดภัยมีแววความประหลาดใจปรากฏขึ้น

ตำแหน่งและมุมของการโจมตีนี้เป็นค่ายกลประสานอย่างแน่นอน!

ตอนนี้มีเพียงไม่กี่คนที่รู้จักค่ายกลนี้ เขาไม่คาดหวังว่าจะได้เห็นวันนี้ มันมีคุณค่ามากจริงๆ! ค่ายกลนี้เป็นการผสานและผนึกกำลังช่วยกันโจมตี จะต้องรายงานต่อเบื้องบนทันที!

ชายชราผู้รักษาความปลอดภัยมองที่ซูเย่ด้วยความประหลาดใจในดวงตาของเขา จากนั้นจึงเหลือบมองหวังห่าว

หวังห่าวพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม เขาต้องรายงานแน่นอนอยู่แล้ว

“เอาล่ะ ทุกคนทิ้งหมวก VR ที่คุณเพิ่งได้รับเอาไว้ก่อน เราจะดำเนินการตรวจสอบความปลอดภัยอย่างครอบคลุมและส่งคืนให้ในวันพรุ่งนี้”

หวังห่าวกล่าวต่อ “คืนนี้ทุกคนคงตกใจมาก กลับไปพักผ่อนให้เพียงพอก่อนเถอะ การเข้าสู่ลำดับขั้นจะต้องเผชิญกับความเป็นความตายและภยันตรายต่างๆ วันนี้ผมให้ทางเลือกแก่ทุกคนว่าจะยังอยากทำต่อไปหรือไม่ พรุ่งนี้ค่อยมาตอบผม”

ทุกคนล้วนเงียบงันก่อนจะวางหมวก VR ไว้บนพื้น แล้วเดินออกไปนอกห้องฝึก

พวกเขาในวันนี้รู้สึกตกใจมากจริงๆ พวกเขาจำเป็นต้องคิดให้รอบคอบ

ซูเย่และรูมเมทของเขาเพิ่งเดินไปที่หน้าประตู

“ซูเย่”

เฉินเซียนเยว่ตะโกนหนึ่งคำแล้วเดินไปหาเขา พูดอย่างจริงจัง “ขอบคุณนะ”

พูดเสร็จแล้วก็รีบเดินออกไป

“ขอบคุณนายมากนะ ซูเย่”

ไป่จื่อหรานและไป๋จื่อเหยียนก็เดินยิ้มเข้ามาแล้วขอบคุณซูเย่ คนอื่นๆ ก็ขอบคุณเขาเช่นกัน

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”

ซูเย่โบกมือพลางกล่าว

เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ซุนชือและจินฟาน “…”

“โดนลูกหลงจนหมดสติไป แล้วยังเก๊กอยู่ได้”

เวลาห้าทุ่ม

ซูเย่ออกจากหอพักไปอย่างเงียบเชียบ เรื่องที่ถูกโจมตี แม้ว่าหัวหน้าอีกฝ่ายจะหนีไปแล้ว แต่เรื่องมันไม่จบเพียงเท่านี้หรอก

บริเวณใกล้สถานีตำรวจ

“เปิดนาสาสวรรค์!” ซูเย่สูดหายใจเบาๆ ทันใดนั้นกระแสปราณแห่งห่าวหร่านก็ไหลเข้าจมูกของเขา

ทันทีที่นาสาสวรรค์เปิด เขาก็ได้กลิ่นพลังปราณที่หลงเหลืออยู่ของผู้ที่มาโจมตีในทันที กลิ่นส่วนมากอยู่ในสถานีตำรวจ และมีเพียงกลิ่นเดียวเท่านั้นที่อยู่ห่างออกไป

ซูเย่ยิ้มเย็น…การสะกดรอยตามโดยใช้นาสาสวรรค์ ทำให้ได้กลิ่นไปตลอดทาง วิ่งจากเขตมหาวิทยาลัยไปยังทะเลสาบทางทิศเหนือของเมืองจี้หยาง ในที่สุดก็แน่ใจได้ว่ากระแสพลังหยุดลงในบ้านริมทะเลสาบแห่งหนึ่ง

“ฟึ่บ…!”

ร่างกายราวกับสายลม ซูเย่กระโดดลอยผ่านไป เมื่อมาถึงครึ่งทาง เขาก็โบกมือเบาๆ ทำให้พลังปราณออกมาจากฝ่ามือและหน้าต่างที่ปิดอยู่ก็เปิดออกโดยทันที และในเวลาต่อมา เขาก็ปรากฏตัวขึ้นในห้องแล้ว

ในยามนี้ คนที่นั่งสมาธิอยู่ในห้องก็ยืนขึ้นแล้วจ้องมองซูเย่อย่างดุร้าย อยู่ในสภาพพร้อมคุ้มกันเต็มที่ รวมไปถึงการจู่โจมอีกด้วย เมื่อเห็นว่ามีเพียงคนเดียว มันก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“แกเป็นใคร?”

ซูเย่มองไปที่คนตรงหน้า คนผู้นี้ผอมบาง ใบหน้าเรียวยาว และมีรอยแผลเป็นที่แก้มซ้ายอย่างเด่นชัด มองดูแล้วรู้สึกถึงความเลวร้าย

ชายหน้าแผลเป็นผงะไปครู่หนึ่ง ดวงตาของมันหรี่ลง และถาม “แกไม่ได้มาจากทีมสืบสวน?”

“ไม่ใช่ แค่ผ่านทาง…”

ซูเย่ส่ายหัว

“งั้นแกเป็นผู้ฝึกพเนจรรึ?”

ดวงตาของชายหน้าแผลเป็นวูบวาบ แต่เดิมคิดว่าทีมสืบสวนกำลังไล่ตามมา คิดไม่ถึงว่าจะเป็นผู้ฝึกพเนจรเหมือนกัน…

ชักน่าสนใจซะแล้วสิ…!

ซูเย่พยักหน้า…

“ในเมื่อไม่ใช่ทีมสืบสวน งั้นเราก็คือเพื่อนกัน!”

การแสดงออกของชายหน้าแผลเป็นผ่อนคลายลงเล็กน้อย พลางจ้องไปที่ซูเย่ด้วยรอยยิ้ม “การพบกันคือโชคชะตา ในเมื่อน้องชายพบที่นี่ ดูท่าว่าก็คงจะมีเคล็ดวิชาอยู่กับตัว องค์กรของเราต้องการผู้มีพรสวรรค์อย่างนายมาเข้าร่วม”

“องค์กรของคุณคืออะไร” ซูเย่เอ่ยถาม

“หึหึ…”

ชายหน้าแผลเป็นยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าว “ไม่รู้จักพวกเราเสียด้วย ดูท่าว่าน้องชายคงไม่ได้มาจากทีมสืบสวนจริงๆ!”

“องค์กรของเราเป็นองค์กรที่ประกอบด้วยผู้ฝึกยุทธ์พเนจรและก่อตั้งขึ้นเพื่อต่อสู้กับทีมสืบสวน!”

“น้องชายควรรู้ว่าทีมสืบสวนกำหนดให้ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนต้องลงทะเบียนด้วยชื่อจริง จุดประสงค์เพื่อจับตาดูพวกเรา เพื่อที่พวกเขาจะจัดการกับเราได้ง่ายดายในอนาคต”

“นั่นเป็นเหตุผลที่เราต้องรวมตัวผู้ฝึกยุทธ์พเนจร แด่อิสรภาพ ล้มล้างการปกครองแบบเผด็จการของทีมสืบสวน!”

พูดไปซะสวยหรู…

ซูเย่พยักหน้าพลางเอ่ยถาม “ทำไมไม่ไปลงทะเบียน การลงทะเบียนมีข้อเสียอะไร ผมวางแผนที่จะไปลงทะเบียนในอีกไม่กี่วันข้างหน้า”

ซูเย่ถามอีกครั้ง

“ห้ามลงทะเบียนเด็ดขาด!” ชายหน้าแผลเป็นพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

“เมื่อลงทะเบียนแล้ว ก็ไม่มีอิสระ ทุกอย่างจะถูกควบคุมโดยกฎที่พวกเขาตั้งขึ้น นั่นไม่ใช่ข้อเสียหรอกหรือ สิ่งที่เราต้องการคือเสรีภาพและความเคารพ!”

“เสรีภาพและความเคารพแบบไหน?” ซูเย่ยังคงไล่ถาม

“มันง่ายมาก มีกี่คนที่สามารถเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้ ในเมื่อพวกเราได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ เราก็ควรจะกลายเป็นที่เคารพนับถือของทุกคนในสังคม และเราควรจะเป็นกลุ่มคนที่อยู่เหนือผู้อื่น!”

“คนธรรมดาควรให้เกียรติ ร่ำรวยมีเงินทอง ได้รับการเคารพบูชา เราเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ทำไมเราจะให้พวกมันเคารพบูชาพลังของเราไม่ได้!”

“สิ่งที่เราต้องการคือการปฏิบัติที่ยุติธรรมแบบนี้ เสรีภาพในการทำสิ่งที่เราต้องการ กฎหมายธรรมดาควบคุมพวกคนธรรมดา แต่ไม่ควรควบคุมพวกเรา!”

“ยิ่งไปกว่านั่นแล้วทำไมเราถึงต้องเป็นเหมือนคนทั่วไป ถึงขนาดที่ต้องไปช่วยปกป้องพวกมัน และหากละเมิดกฎเพียงเล็กน้อย ก็มีบทลงโทษถึงตาย!”

“น้องชาย คิดดูสิมันยากแค่ไหนที่จะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ แต่ท้ายที่สุด นายยังต้องใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดา แบบนี้นายเต็มใจงั้นหรือ?!”

ชายหน้าแผลเป็นถามอย่างโกรธจัด