ฟางเจิ้งยิ้มเอ่ย “โยมพร้อมช่วยเหลือคน คงได้ประกาศยกย่องแน่”
หวังโอ้วกุ้ยหัวเราะเหอะๆ เห็นได้ว่าเขาก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ตอนช่วยคนไม่ได้คิดอะไรมาก แต่พอช่วยคนแล้วใครจะไม่ดีใจกับผลประโยชน์ที่ได้?
หวังโอ้วกุ้ยเหยียบคันเร่งพาฟางเจิ้งกับลิงไป
ชาวบ้านบนสะพานเห็นว่าช่วยคนได้แล้ว ถึงค่อยถอนหายใจโล่งอก แยกย้ายกันไปทำนู่นทำนี่ ในนั้นมีหลายคนเข็นรถจักรยานของหงเชียนเจี๋ยกับหงเชียนสี่มาไว้ข้างๆ แล้วนั่งยองลงคุยกัน เห็นได้ชัดว่ากำลังเฝ้ารถให้พี่น้องหงเชียนเจี๋ยกับหงเชียนสี่
แต่ว่าบนรถกู้ชีพ
“คุณพยาบาล ที่ผมพูดคือ…ฮัดเช้ย…จริงๆ นะ! ผีพรายช่วยส่งพวกเราขึ้นฝั่งจริงๆ” หงเชียนเจี๋ยพูดเสียงดัง พยาบาลหัวเราะ คงมีแต่ผีที่จะเชื่อเขา
หงเชียนสี่กล่าว “น้องผมไม่ได้โกหก ผมเห็นเขาใต้น้ำจริงๆ เป็นหลวงจีนจีวรขาว น่าเสียดายที่เห็นหน้าตาไม่ชัด”
พยาบาลแสยะปากยิ้ม “วีรบุรุษที่ช่วยชีวิตคนทั้งสองท่านคะ เราไม่คุยเรื่องผีกันได้ไหม? ไม่ตลกเลยสักนิด”
หงเชียนสี่กับหงเชียนเจี๋ยพูดไม่ออก พูดความจริงแต่กลับไม่มีใครเชื่อ
ผู้หญิงคนนั้นนอนอยู่บนเตียง ได้รับการตรวจมากกว่า ตอนนี้เธอตื่นขึ้นมาและพูดต่อว่า “มีผีจริงๆ เขาคลำขาฉันด้วย น่ากลัวมาก”
หงเชียนเจี๋ยมองบน “คุณผู้หญิง อากาศเดือนสามเดือนสี่หนาวจะตาย จะโดดลงน้ำไปทำไม…ฮะ…ฮัดเช้ย! หา?”
ผู้หญิงว่า “รอดตายแล้วใครจะอยากตายกันล่ะ…” พูดจบเธอก็พลิกตัว ไม่เอ่ยอะไรอีก
หงเชียนเจี๋ยเบะปาก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงไม่กลับไปกระโดดแม่น้ำอีกใช่ไหม?”
“ไม่โดดแล้ว” ผู้หญิงตอบ
“คิดได้แล้วก็ดี” หงเชียนเจี๋ยกล่าว
ผู้หญิงเอ่ยต่อ “ในแม่น้ำมีผี ตกใจแทบตาย…ถ้าจะกระโดดคงไม่โดดแม่น้ำสายนี้แล้ว…”
หงเชียนเจี๋ย “@¥@…”
เมื่อถึงโรงพยาบาล เรื่องราวกระจายออกไป ครอบครัวของผู้หญิงคนนั้นมาหา แต่สิ่งที่หงเชียนเจี๋ยกับหงเชียนสี่กลัดกลุ้มอย่างยิ่งคือเหตุที่เธอกระโดดน้ำฆ่าตัวตายก็เพียงเพราะเลิกกับแฟนหนุ่ม! ภายใต้การโน้มน้าวของครอบครัว ในที่สุดเธอก็คิดได้ โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าหงเชียนเจี๋ยกับหงเชียนสี่เกือบตายเพราะช่วยตัวเองก็ยิ่งตกใจ เหงื่อเย็นๆ ซึมไปทั้งตัว รอจนเธออยากจะหาตัวสองคนนั้นเพื่อตอบแทนบุญคุณ พวกเขาก็ออกจากโรงพยาบาลไปนานแล้ว
และตอนนี้เอง ฟางเจิ้งก็กำลังขบคิดถึงปัญหาข้อหนึ่ง
ฟางเจิ้งถาม “ระบบ อาตมาช่วยคนไว้สามคน จะได้จับรางวัลใหญ่หนึ่งครั้งรึเปล่า?”
“ได้ แต่นายมั่นใจนะว่าจะจับตอนนี้?” ระบบถาม
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “เอาไว้ก่อน รอกลับไปอาบน้ำถ่ายหนักเบาให้เรียบร้อย ไหว้พระเสริมดวงชะตาให้สูงสุดก่อนค่อยว่ากัน อ้อ ขอถามคำถามจริงๆ สักหน่อยสิ ฉันช่วยคนทำความดีมีบุญกุศล แถมได้จับรางวัลด้วย มีประโยชน์เยอะแยะ แต่ฮีโร่สองคนเมื่อกี้ก็ทำความดีเหมือนกัน จะได้ผลประโยชน์อะไรไหม? ครั้งนี้ถ้าฉันไม่ช่วยพวกเขาก็แย่แน่ ช่วยคนไม่ได้แถมยังเอาชีวิตพ่วงไปด้วยอีก”
“ทุกคนมีความทุกข์ยากกันทั้งนั้น ไม่ว่าใครช่วยคนก็ล้วนได้บุญกุศล คนที่บุญกุศลมากจะขจัดความทุกข์ยากไปได้เองบางส่วน ปกติจะมองสิ่งนี้ไม่ออกกันหรอก…แต่ถ้ามีคนยอมจ่ายชีวิตเพื่อทำความดี บุญกุศลของเขาจะส่งผลถึงครอบครัวกับลูกหลานชนรุ่นหลังด้วย ขณะเดียวกันตอนที่กลับชาติมาเกิดใหม่ก็จะได้อภิสิทธิ์ไปเกิดในครอบครัวที่ดี ใช้ชีวิตในชาติต่อไปอย่างสุขสบายยิ่งกว่า” ระบบตอบ
ฟางเจิ้งเกาหัว “พวกนี้โกหกพกลมหรือเปล่า? ใครจะพูดถึงความทุกข์ยากในอนาคตได้ชัดเจนกัน? เอื้อผลต่อครอบครัวยิ่งจับต้องไม่ได้เข้าไปใหญ่ อีกอย่างดูจากในข่าวสิ คนรุ่นหลังของผู้เสียสละเยอะแยะไม่เห็นจะมีชีวิตดีกว่าเดิมเลย แถมยังมีความทุกข์กว่าเดิมอีก”
ระบบเอ่ยว่า “ที่ฉันพูดถึงคือประโยชน์ของบุญกุศล แต่ว่าที่นายพูดมันเกี่ยวโยงถึงสิ่งต่างๆ มากมายทุกด้าน บุญกุศลจะลดลงจากแรงกรรม บางครั้งเรื่องที่นายคิดว่าถูกก็ไม่แน่ว่าจะถูกเสมอไป กลับเป็นการสร้างแรงกรรมแทน นี่คือเรื่องที่คนธรรมดายากจะหลีกพ้นไปได้ แต่ในมุมมองค่านิยมของคนธรรมดา เรื่องนี้ไม่มีผิด ดังนั้นพุทธศาสนาจึงเรียกโลกโลกีย์ว่านรกหรืออ่างย้อมผ้า ถ้าไม่ระวังจะถูกย้อมด้วยแรงกรรมโดยไม่รู้ตัว”
ฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นก็ตกใจสะดุ้ง “นาย…บรรทัดฐานนี้ขัดแย้งกับแนวคิดค่านิยมของทุกคน เหมือนจะไม่ถูกต้องไหม? พุทธศาสนาฝึกจิตใจและก็ฝึกคน นายมองคนเป็นพระพุทธไปเลย…เท่ากับว่าโลกนี้มีแต่คนชั่วไม่ใช่เหรอ?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่ คนดีมักจะทำเรื่องดีมากกว่าเรื่องไม่ดี บุญกุศลย่อมมากกว่าแรงกรรมเป็นธรรมดา ต่อให้เป็นคนที่เดินสายกลาง ความผิดชอบก็ยังหักล้างกันได้ มีเพียงคนชั่วที่จะมีแรงกรรมทั้งตัว ไม่กลับชาติไปเกิด แต่ลงนรกอย่างเดียว” ระบบกล่าว
ฟางเจิ้งพูดเหมือนเข้าใจบางอย่าง “เข้าใจนิดๆ แล้ว แต่ว่าไม่มีประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมหน่อยเหรอ? ไม่อย่างนั้นเป็นคนดีทำความดีก็จะเสียเปรียบมากไปนะ?”
“บุญกุศลเยอะจะหมุนโคจรได้ อย่างเช่นสองคนเมื่อกี้นี้ มีโอกาสก็สังเกตพวกเขาดีๆ นายจะเข้าใจเอง” ระบบพูดถึงตรงนี้ก็ชะงักไปเล็กน้อย “แน่นอน นายก็ช่วยพวกเขาได้เหมือนกัน”
“เอ่อ ช่วยยังไง?” ฟางเจิ้งอึ้ง เขารู้แค่ว่าเขาหลอกคนอื่นได้ แต่ไม่นึกว่าจะช่วยคนได้?
“นายทำความเข้าใจเองสิ” ระบบพูดจบก็หายไป
ฟางเจิ้งพูดไม่ออก เจ้านี่พึ่งพาไม่ได้จริงๆ ระหว่างคุยกันอยู่นี้ก็มาถึงหน้าประตูวัดผาแดงแล้ว ฟางเจิ้งพาเจ้าลิงลงรถจักรยานยนต์ ส่วนหวังโอ้วกุ้ยปรี่ไปยังคณะกรรมการหมู่บ้าน
ฟางเจิ้งไม่ได้มาวัดผาแดงเป็นครั้งแรก แต่เขาพบว่าทุกครั้งที่มาวัดผาแดง ที่นี่จะมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ยิ่งโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ
“หลวงพี่ฟางเจิ้ง!” ตอนนี้เอง เสียงคุ้นเคยดังแว่วมา ฟางเจิ้งมองไป เป็นเณรหงเสียงที่กลับตัวกลับใจนี่เอง หงเสียงในตอนนี้ขาดไหวพริบเมื่อก่อนไปหลายส่วน แต่นัยน์ตากลับมีประกายสติปัญญาจากการรู้แจ้งครั้งใหญ่เพิ่มมาแทน เห็นได้ว่าหลังจากคิดได้ในครั้งก่อน เขายิ่งเหมือนนักบวชเข้าไปทุกที
หงเสียงตระหนักรู้หลังผ่านเรื่องต้นกกข้ามฟากครั้งก่อนมาแล้ว จึงเคารพฟางเจิ้งอย่างยิ่ง พอได้ยินว่าฟางเจิ้งจะมาร่วมงานด้วย เขาแทบจะมารอที่หน้าประตูทุกวัน ถ้าไม่ใช่เพราะตัวเขามีธุระคงวิ่งไปรับที่วัดเอกดรรชนีนานแล้ว
ฟางเจิ้งเป็นดั่งพระพุทธองค์ที่มีชีวิตในใจเขา ตอนนี้พบฟางเจิ้งย่อมดีใจมาก รีบเข้ามาแสดงความเคารพ
“อมิตาพุทธ หลวงพี่หงเสียง ไม่ได้เจอกันนานเลย” ฟางเจิ้งไม่ได้วางมาดอะไร ถึงเขาจะเป็นเจ้าอาวาส ฐานะสูงกว่าสามเณรหงเสียง แต่ในมุมมองเขา สองคนเพียงแค่อยู่ต่างวัดกันเท่านั้น ไม่มีอะไรให้น่าหยิ่งยโส
“หลวงพี่ฟางเจิ้ง เหอะๆ ไม่ได้เจอกันนานจริงๆ เอ่อ…เจ้าอาวาสกำลังรอท่านอยู่ อาตมาจะนำทางไปเอง” หงเสียงพูดจาสะเปะสะปะเล็กน้อย
ฟางเจิ้งก็ไม่ได้ใส่ใจ เดินตามหงเสียงเข้าไปในวัดผาแดง
ผ่านประตูใหญ่เข้าไปจะเป็นพระอุโบสถ กลางพระอุโบสถบูชาพระสังกัจจายน์ทองคำ[1] ในความสูงใหญ่ขาดความน่าเกรงขามไปหลายส่วน แต่ให้ความรู้สึกยิ้มแย้มสบายๆ เพิ่มมาแทน เมื่อมองไปทางซ้ายขวา สองด้านเป็นเทวรูปสูงใหญ่ยืนอยู่สี่องค์ เทวรูปสวมหมวกเหล็กเสื้อเกราะ ใบหน้ามีแต่ความน่าเกรงขาม ใต้ฝ่าเท้าเหยียบภูตผีไว้ ในมือถืออาวุธสี่ชนิดต่างกัน แต่ละองค์น่าเกรงขาม ฟางเจิ้งรู้ว่านี่ก็คือสี่ท้าวจตุมหาราชา
………………………………………………….
[1]พระสังกัจจายน์ เป็นพระอรหันต์ 1 ใน 80 พระอสีติมหาสาวกของพระโคตมพุทธเจ้า ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ยอดเยี่ยมในด้านการอธิบายความย่อให้พิสดาร มีพุทธลักษณะหน้ายิ้ม สองหูยาวจรดบ่า อ้วนพุงพลุ้ย สื่อถึงโชคลาภและความอุดมสมบูรณ์ บางครั้งจะเห็นว่ามีเด็กชาย 5 คนรายล้อมอยู่รอบตัว ความหมายแฝงหมายถึง ‘อู่ฝู’ (五福)หรือความสุข 5 ประการ