บทที่ 211 ก่อนไท่ซานจะทรุดตัว

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

เมื่อกำหนดกลยุทธ์แล้วจากนั้นก็ลงมือ

ท่ามกลางราตรีอันมืดมิด สายลับสี่สิบคนที่มีทักษะและแข็งแกร่งออกจากค่ายทหารฉิน ต่างคนต่างไปสำรวจถนนของตนตามที่กำหนด ในขณะเดียวกัน กองทัพฉินก็ส่งหัวหน้ากองซือหม่าไปยังกองทัพสู่เพื่อถ่ายทอดความตั้งใจในการเจรจาต่อรอง

แม้ว่าถูอู้ลี่จะมีข้อสงสัย ทว่าอย่างไรเสียองค์จวินของตนก็ยังอยู่ในมือของข้าศึก ตราบใดที่สู่อ๋องยังมิได้หวนคืนไปยังรัฐสู่ เขาก็ไม่สามารถเพิกเฉยได้ ดังนั้นจึงมีการกำหนดสถานที่ในการเจรจาต่อรองแล้ว

กฎที่ว่าสองรัฐจะไม่ตัดความสัมพันธ์ทางการทูตเป็นกฎเหล็กในยุคสมัยชุนชิว ผู้คนในเวลานั้นเน้นเรื่องความเมตตากรุณาและความยุติธรรม ไม่มีใครแหกกฎนี้มาเป็นร้อยปี แต่ยุคจั้นกั๋วเป็นยุคแห่งการสนับสนุนการฉ้อโกง แม้ว่ากฎนี้จะยังคงอยู่ ทว่ากุนซือผู้เก่งกาจก็ยังใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ของมัน…ไม่ตัดขาดความสัมพันธ์ มิได้หมายความว่าห้ามยึดดินแดน และมิได้บอกว่าห้ามโจมตี…

นี่เป็นกรณีความสัมพันธ์ทางการทูต นับประสาอะไรกับสองกองทัพเล่า? ดังนั้นสถานที่เจรจาทั่วไปจึงอยู่ในสถานที่ที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้ และฝ่ายที่เสนอการเจรจาจะเป็นฝ่ายกำหนด

ซือหม่าชั่วดูสถานที่ที่ถูอู้ลี่กำหนดการเจรจาบนแผนที่แล้วก็นับว่ามีความจริงใจดี จากนั้นก็ส่งทหารห้าพันนายและทหารม้าสามพันนายเพื่อปกป้องความปลอดภัยของราชทูต

เช้าวันรุ่งขึ้น สองร้อยคนที่นำโดยกองทัพฉินได้เตรียมกระโจมสำหรับการหารือไว้เรียบร้อยแล้ว ท่านแม่ทัพขวานำทหารม้าแปดพันนายร่วมเดินทางเพื่อคุ้มกันซ่งชูอีไปถึงสถานที่เจรจา

กระโจมตั้งอยู่ในบริเวณใกล้ที่นาผืนหนึ่งระหว่างค่ายของทั้งสองกองทัพ ล้อมรอบด้วยพื้นที่เพาะปลูกไกลสุดลูกหูลูกตา ผืนสีเขียวขจีขยายตัวเชื่อมต่อกับท้องฟ้าสีคราม ก้อนเมฆบนท้องฟ้าสูงใหญ่เหมือนดอกฝ้ายสีขาวที่กำลังเบ่งบาน

ซ่งชูอียืนอยู่บนคันนาครู่หนึ่ง ก็มีนายทหารเข้ามารายงาน “ท่านที่ปรึกษา กองทัพสู่มาถึงหนึ่งลี้ข้างหน้าแล้ว มีประมาณสามหมื่นคนขอรับ”

ระหว่างที่นายทหารเอ่ยก็แสดงอาการเป็นกังวล แปดพันกับสามหมื่นนายนั้นแตกต่างกันมาก หากตกลงกันไม่ได้แล้วต่อสู้กันขึ้นมา มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะตายกันหมด

ซ่งชูอีสั่งให้เข้าแถวต้อนรับท่านราชทูตรัฐสู่

ครั้นมองไปยังชุดเกราะสีดำน่าเกรงขามที่ยืนอยู่ทั้งสองข้าง ซ่งชูอีก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “อีกฝ่ายนำทหารมาสามหมื่นนาย”

กองทัพฉินมีวินัยทหารที่เข้มงวด ไม่มีใครแสดงความประหลาดใจใดๆ ทว่าก็สามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าบรรยากาศโดยรวมอ่อนแอกว่าเมื่อครู่เล็กน้อย

“กลัวรึ?” ซ่งชูอีมองไปรอบๆ พูดด้วยเสียงอันดัง “ข้าไม่เชื่อว่าชีวิตของสู่อ๋องจะมีค่าถึงแปดพันคน!”

ได้ยินวาจาของซ่งชูอีเช่นนี้ จิตใจของทุกคนก็ค่อยๆ เงียบสงบลง ในช่วงเวลานี้ ชีวิตมีสูงต่ำ ชีวิตบางคนมีค่าเพียงแป้งทอดชิ้นหนึ่ง ในขณะที่บางคนสามารถแลกเปลี่ยนได้หลายสิบเมือง นอกจากนี้กองกำลังนับแสนของรัฐฉินยังอยู่เบื้องหลังพวกเขา ถ้ากองทัพสู่บังอาจที่จะทำอะไรพวกเขาจริงๆ พวกเขาจะไม่ตายอย่างไร้ประโยชน์

“เหตุผลที่ข้าสวามิภักดิ์ต่อรัฐฉิน เพราะเคารพในจิตใจและพลังอันกว้างขวางของต้าฉิน เพราะเคารพในเลือดนักสู้แห่งบุรุษต้าฉิน!” วาจาปลุกใจของซ่งชูอีค่อยๆ กระตุ้นความกระหายเลือดของบุรุษทุกคนได้สำเร็จ “การเจรจาในวันนี้ ข้ากับนายทหารทุกท่านล้วนแบกรับศักดิ์ศรีของต้าฉินเอาไว้! ลูกผู้ชายมีจิตวิญญาณที่ไม่ย่อท้อ ฆ่าได้แต่หยามไม่ได้! วันนี้หวยจินจะร่วมรุ่งเรืองร่วมอัปยศ ร่วมเป็นร่วมตายกับทุกคนและต้าฉิน!”

กองทัพทั้งหมดกล่าวพร้อมเพรียงกันอย่างเคร่งขรึมและมีพลัง “ร่วมรุ่งเรืองร่วมอัปยศ ร่วมเป็นร่วมตาย! ร่วมรุ่งเรืองร่วมอัปยศ ร่วมเป็นร่วมตาย!”

เสียงพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับสายฟ้าฟาด

ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ มองไปยังธงสีดำขนาดใหญ่ที่กระพืออยู่ในสายลม ยืนเอามือสอดไว้ในแขนเสื้อ รอการมาถึงของกองทัพสู่

“เรียนท่านที่ปรึกษา กองทัพสู่เข้ามาในระยะร้อยจั้งแล้วขอรับ” นายทหารรายงานอีกครั้ง

ซ่งชูอีสามารถมองเห็นขบวนทัพสีเขียวเข้มยาวเฟื้อยบนถนนได้อย่างชัดเจน แม่ทัพที่ขี่ม้านำขบวนลงจากม้าในระยะที่ห่างออกไปร้อยจั้งแล้วเดินเท้าไปยังกระโจมที่ใช้เพื่อเจรจา เป็นการแสดงความเคารพต่อรัฐฉิน

มองดูทหารสู่ที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ซ่งชูอีอดที่จะหรี่ตามิได้ ผู้ที่นำหน้าเข้ามานั้นร่างกายกำยำต่างจากชาวสู่ทั่วไป ชุดเกราะสีน้ำเงินอมม่วงเปล่งประกายหนาวเย็น ผมสีดำถูกมัดไว้อย่างเป็นระเบียบ ดวงตาที่ยาวและแคบคู่หนึ่งดูน่าเกรงขาม ทรงพลังในทุกอิริยาบท ราวกับว่าทุกการเคลื่อนไหวมีสายลมเจือปนมาด้วย ผู้ที่มีลมหายใจพิฆาตเช่นนี้จะต้องเป็นถูอู้ลี่อย่างแน่นอน!

ช่างมีความกล้าหาญจริงๆ!

ครุ่นคิดแล้ว ซ่งชูอีก็ออกไปต้อนรับ “ไม่พบท่านแม่ทัพถูอู้ลี่เสียนาน สบายดีหรือไม่?”

ถูอู้ลี่ก็มองเห็นซ่งชูอีมาแต่ไกลแล้วเช่นกัน เพียงแต่ผงะเล็กน้อยแล้วทันใดนั้นก็เข้าใจทุกอย่าง การที่รัฐสู่เดินมาถึงขั้นนี้ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะเด็กหนุ่มผอมบางที่แสยะยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้านคนนี้!

“ท่านได้นำฝ่าบาทของข้ามาด้วยหรือไม่?” ถูอู้ลี่ขี้คร้านจะพูดจาเหลวไหลกับนาง

ซ่งชูอีส่ายหน้า เมื่อเห็นถูอู้ลี่ขมวดคิ้วก็เอ่ยเรียบๆ “ท่านแม่ทัพต้องเชื่อในความจริงใจของต้าฉิน วันนี้พวกข้าเพียงมาเจรจาเงื่อนไข หากท่านแม่ทัพเห็นด้วย พวกข้าก็จะนัดวันพาสู่อ๋องมาส่งคืนครบทั้งสามสิบสองประการทันที”

ครั้นถูอู้ลี่รับเงื่อนไขมาจากกองทัพฉิน ก็จะต้องนำเงื่อนไขเหล่านี้กลับไปที่หวังเฉิงเพื่อมอบให้องค์รัชทายาทและมหาเสนาบดีตัดสินใจ ไม่สามารถทำอะไรได้ด้วยตนเอง ดังนั้นจึงสมเหตุสมผลที่ซ่งชูอีจะทำเช่นนี้ ถูอู้ลี่รู้สึกถึงบรรยากาศที่น่ากลัวรอบตัวเขา กวาดตามองทหารฉินที่อยู่โดยรอบ ก็พอเข้าใจแล้วว่าเหตุใดสู่อ๋องจึงล้มเหลวในการต่อสู้ กองทัพที่น่าเกรงขามเช่นนี้ชวนให้น่าตกใจอย่างแท้จริง

“ท่านแม่ทัพเชิญ” ซ่งชูอีผายมือ

เขาละสายตากลับมา ตามซ่งชูอีเข้าไปในกระโจม ต่างฝ่ายต่างมีทหารสี่สิบนายตามเข้าไป

หลังจากทุกคนนั่งลงแล้ว ถูอู้ลี่ก็เอ่ยขึ้น “ว่ามาเถิด ต้องทำอย่างไรจึงจะยอมปล่อยฝ่าบาทของข้า”

ซ่งชูอีเหลือบมองหัวหน้ากองซือหม่าที่อยู่ข้างกาย หัวหน้ากองซือหม่ารับรู้แล้วหยิบสมุดไผ่ม้วนหนึ่งออกจากแขนเสื้อทันที สั่งให้คนนำไปมอบให้ถูอู้ลี่

ถูอู้ลี่ชำเลืองมองซ่งชูอีแวบหนึ่ง คลี่สมุดไผ่ออก พบว่าด้านบนถูกเขียนด้วยภาษาสู่ ครั้นกวาดสายตาอ่านเนื้อหาข้างในแล้ว สีหน้าก็เปลียนเป็นมืดมนฉับพลัน ภายในกระโจมเต็มไปด้วยแรงอาฆาตน่ากลัว แม้แต่ซ่งชูอีที่ไม่ใคร่หวั่นไหวกับอะไรง่ายๆ ต่างรู้สึกหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ ความหวาดกลัวก่อตัวขึ้นช้าๆ

“เพี๊ยะ!” ถูอู้ลี่โยนสมุดไผ่ลงบนโต๊ะอย่างแรง บรรยากาศภายในกระโจมก็เย็นลงทันที

ซ่งชูอีมิได้กล่าวอะไร เพียงแต่มองถูอู้ลี่อย่างเฉยเมย รอความคิดเห็นจากเขา

ความเงียบงันชวนให้หายใจไม่ออก ถูอู้ลี่ลุกพรวดขึ้นยืน ดึงดาบทองสัมฤทธิ์ของทหารอารักขาที่อยู่ข้างหลังออกมาเสียงดัง “ชิ้ง” โดยไม่หันศีรษะไปมอง ทุกคนเห็นเพียงเงาสีเขียวเข้มตรงหน้าแสงส่องประกาบวูบ สายลมแรงพัดเข้ามา

ขณะที่ทหารอารักขามีปฏิกิริยาตอบสนองก็กลับเห็นดาบนั้นเหวี่ยงเข้าที่หว่างคิ้วของซ่งชูอีแล้ว

ทหารอารักขาฉินดึงดาบออกจากฝักหมายจะฆ่าถูอู้ลี่ทันที ทว่ากลับถูกซ่งชูอียกมือขึ้นห้ามปราม

การเคลื่อนไหวที่ไม่เร่งรีบของนางดึงดูดทุกสายตา ทุกคนมองไปที่ใบหน้าของนางตามมือนั้น เลือดสดๆ ค่อยๆ ไหลลงมาที่คิ้วและผ่านใบหน้าอย่างน่าสยดสยอง แต่การแสดงออกบนใบหน้านั้นกลับเรียบเฉยเช่นเดิมราวกับว่าผู้ที่กำลังเข้าใกล้ความตายนั้นไม่ใช่นาง

ถูอู้ลี่ก็ตกตะลึงเล็กน้อยเช่นกัน การที่เขาเหวี่ยงดาบใส่นางเพียงเพราะต้องการเห็นท่าทางของ “คนต่ำช้า” ผู้นี้ที่ตกใจกลัวจนปัสสาวะเรี่ยราดและเพื่อระบายความโกรธแค้นภายในใจ ทว่าเจ้าเด็กหนุ่มหน้าตาน่าเกลียดผู้นี้กลับทำให้เขาประหลาดใจจริงๆ

เขาค่อยๆ ดึงดาบกลับ เผชิญหน้ากับซ่งชูอีด้วยสมาธิที่ดีกว่าเดิม

ซ่งชูอีหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับคราบเลือดบนหน้าผากเบาๆ แต่ดูเหมือนว่าบาดแผลนั้นค่อนข้างลึก ไม่ว่าเช็ดเท่าไรก็ยังมีเลือดไหลออกมา ทหารอารักขาฉินจึงดึงสติออกมาจากความตื่นตระหนก หัวหน้ากองซือหม่ารีบสั่งให้คนนำน้ำเข้ามาช่วยซ่งชูอีทำความสะอาดใบหน้า ทายาและพันบาดแผลบนศีรษะ

ระหว่างการเจรจา ถูอู้ลี่เข้าใจความผิดของตนที่ลงมือทำร้ายผู้อื่น เพียงแค่กลับไปนั่งลงหน้าโต๊ะรอจนนางทำความสะอาดแผลเสร็จ

ซ่งชูอีไม่มีความหวาดกลัวในการเผชิญหน้ากับดาบคราวนี้เลย ทว่าก็ยังคงมีความตื่นตระหนกอยู่บ้าง สถานการณ์นี้คล้ายกับชาติที่แล้ว ท่านแม่ทัพนายหนึ่งเหวี่ยงดาบไปที่หว่างคิ้วของนางเช่นกัน…

ทั้งๆ ที่มิได้อยู่ในโลกนั้นแล้ว เหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันได้? เป็นไปได้ไหมที่แม้โลกใบนี้ไม่ใช่โลกใบเดิมและร่างกายของนางนี้ก็ไม่ใช่ร่างเดิมของนาง แต่โชคชะตาของนางจะยังคงดำเนินต่อไป? แม้ประสบการณ์จะแตกต่างกัน ท้ายที่สุดแล้วจะยังคงพบจุดจบเดียวกัน?

เช่นนั้นชาตินี้ นาง…ยังจะโดนยาพิษตายที่กำแพงเมืองหรือไม่?

ในขณะที่กำลังจัดการบาดแผลอยู่นั้น ความคิดเช่นนี้ก็แวบผ่านสมองของนางอย่างรวดเร็ว เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็ได้สลัดความคิดที่วุ่นวายทั้งหมดออกไปแล้ว มองไปยังถูอู้ลี่ มุมริมฝีปากยกยิ้มอย่างไร้ความอบอุ่น “ท่านแม่ทัพสงบสติอารมณ์ได้แล้วหรือ?”

“เงื่อนไขดังกล่าวรุนแรงเกินไปจริงๆ มันแตกต่างอะไรกับโค่นรัฐสู่ของข้าเล่า!” ถูอู้ลี่ข่มเพลิงโทสะเอาไว้

ให้รัฐสู่ถอนกองทัพ ให้กองทัพฉินเข้าไปตั้งค่าย จะปล่อยประมุขหรือราชสำนักแห่งรัฐสู่ไปหรือไม่นั้น บัดนี้มิได้มีความหมายใดๆ ในทางปฏิบัติแล้ว รัฐใดก็ตามที่ไร้ซึ่งกองทัพก็ไม่สามารถนับว่าเป็นรัฐเอกราช! หากเขาสามารถตัดสินใจได้ก็คงโยนสมุดไผ่ใส่หน้าของซ่งชูอีและสาบานว่าจะสู้จนถึงที่สุด!

“ท่านแม่ทัพเป็นขุนนาง ข้าน้อยก็เป็นขุนนาง ย่อมรู้ดีว่ามีบางสิ่งที่ท่านและข้าไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายได้” ซ่งชูอีราวกับเสียเลือดตรงหว่างคิ้วไปมาก ใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย

ถูอู้ลี่พ่นลมหายใจเย็นชา โยนสมุดไผ่ไปให้หัวหน้ากองซือหม่าที่อยู่ข้างๆ “ส่งม้าเร็วกลับหวังเฉิง ขอคำแนะนำจากองค์รัชทายาท”

“ท่านแม่ทัพต้องการจะอยู่ที่นี่เพื่อรอข่าวส่งกลับมาหรือ?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม

ถูอู้ลี่เป็นแม่ทัพของรัฐสู่ สองกองทัพหยุดชะงักเพื่อการเจรจา เขาจะต้องมีอำนาจตัดสินใจแน่นอน เขาเข้ามาด้วยตนเองเนื่องจากตราบใดที่เนื้อหาการเจรจาไม่มีความขัดแย้งมากนัก เขาก็จะสามารถตัดสินใจด้วยตนเองได้ ในความเป็นจริงแม้แต่ตอนนี้เขาก็ยังสามารถต่อรองได้ ทว่าทันทีที่ได้เห็นเงื่อนไขเหล่านี้แล้ว จู่ๆ เขาก็ตระหนักได้ว่าที่จริงรัฐฉินพยายามที่จะผนวกดินแดนสู่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็มีเพียงถนนสองสายตรงหน้า คือให้โค่นหรือไม่ก็ต่อสู้ บัดนี้เขาไม่มีความจำเป็นที่จะเจรจาอีกแล้ว

“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่จำเป็น” ถูอู้ลี่ลุกขึ้นยืน

“ท่านแม่ทัพถูอู้ลี่” ซ่งชูอีตะโกนเรียกเขา ลุกขึ้นมาช้าๆ มองเขาพร้อมเอ่ย “ฝ่าบาทข้าเคยกล่าวว่าท่านแม่ทัพมีพรสวรรค์ด้านการทหาร หากท่านตั้งใจจะยอมจำนน รัฐฉินจะปฏิบัติต่อท่านแม่ทัพเป็นอย่างดี”

คิ้วทรงดาบของถูอู้ลี่ขมวดกัน เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาสวมเสื้อคลุมแขนกว้างสีน้ำเงินตัวใหญ่ ดูเหมือนจะมีรอยยิ้มจางๆ ในแววตาและดูเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมาเหลือเกิน บวกกับพลังแห่งความมั่นคงไม่สะทกสะท้านเมื่อครู่ทำให้น่าชื่นชมจากใจอย่างแท้จริง! อย่างไรก็ดีเขาก็เป็นคนที่ผลักรัฐสู่ลงสู่เหวเบื้องลึกตลอดกาลเงียบๆ! เขาทำได้อย่างไร?

ก่อนหน้านี้ ถูอู้ลี่มิได้สนใจซ่งชูอีเป็นพิเศษ หากนางมิได้บอกว่าออกจากรัฐฉินเพื่อเข้ารัฐสู่แต่บัดนี้กลับนำกองทัพฉินบุกรัฐสู่อย่างโจ่งแจ้ง จนป่านนี้เขาก็ยังคงไม่รู้ว่ามีแผนการแอบแฝงอยู่ในนั้น

ถูอู้ลี่รู้สึกประทับใจองค์จวินหนุ่มแห่งรัฐฉินผู้นั้นมาก ตอนนั้นเขาอยู่ไม่ไกลจากฉินกง เขาไม่เคยเห็นคนที่ปล่อยตัวตามสบายท่ามกลางภยันตรายเช่นนี้มาก่อน บวกกับความเฉลียวฉลาดที่ซ่อนอยู่ในบทสนทนานั้นน่าเลื่อมใสเป็นอย่างมาก

“บุคคลเยี่ยงฉินกง ถูอู้ลี่เลื่อมใสนัก อย่างไรก็ดีความเป็นความตาย ความรุ่งเรืองความเสื่อมโทรมของเผ่าถูอู้ขึ้นอยู่กับรัฐสู่เท่านั้น” ถูอู้ลี่พูดจบก็ก้าวเท้ายาวๆ ออกไปจากกระโจม

ซ่งชูอีประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง นางมองเห็นความภักดีที่ถูอู้ลี่มีต่อรัฐสู่ กอปรกับอารมณ์ไม่ใคร่ดี ดังนั้นจึงจงใจกล่าววาจากระตุ้นเขา แต่ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะแสดงความชื่นชมฉินกงอย่างใจเย็นเช่นนี้

ส่วนตัวแล้ว ถูอู้ลี่โหยหาพลังของรัฐฉินและความกล้าหาญสามัคคีของชาวฉินมาก อีกทั้งยังรู้สึกว่าหากสามารถติดตามองค์จวินเยี่ยงฉินกงได้ก็คงจะเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต ทว่าสำหรับส่วนรวม เขาเป็นผู้เชื่อมโยงระหว่างเผ่าถูอู้และรัฐสู่ ทุกอย่างเกี่ยวกับเผ่าถูอู้ล้วนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชวงศ์สู่ เขาไม่เพียงแต่ต่อสู้เพื่อรัฐสู่เท่านั้นแต่ยังต่อสู้เพื่อเผ่าถูอู้ด้วย

ต่อหน้าครอบครัวและบ้านเมือง ความคิดส่วนตัวใดๆ ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป