บทที่ 235 วังมังกรเพลิง[รีไรท์]

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 235 วังมังกรเพลิง[รีไรท์]

ฉู่ชวิ๋นนั่งครุ่นคิด จะลงมือใช้กำลังเลยดีไหมนะ ?

ที่เขาจะไปไล่ถล่มมี ปราสาทเทียนหลง สำนักดาบพิฆาต…กองกำลังพวกนี้ทำให้เขารู้สึกว่าฆ่า ๆ ไปก็ไม่น่าเสียหายอะไร

ทันใดนั้น มือถือก็ดังลั่นออกมารบกวนสมาธิของฉู่ชวิ๋น พอหยิบขึ้นมาดูก็เห็นว่าหลงอ๋าวโทรหา

“ว่าไง!” ฉู่ชวิ๋นรับสาย ก่อนหน้าเขาไม่อยากไปยุ่งกับวังมังกรเพลิง เลยทิ้งหลงอ๋าวให้ไปคนเดียว

“คุณฉู่ครับ ผู้อาวุโสหลงบาดเจ็บหนักครับ” ไม่ใช่เสียงของหลงอ๋าว แต่เป็นเสียงของจงเหรินที่กำลังกังวลอยู่ ฉู่ชวิ๋นที่ปากกำลังยิ้มก็แข็งทื่อไปเลย

ก่อนหน้านี้ที่จงเหรินบอกไปว่ามังกรเขียวบาดเจ็บ เขาคิดว่าเป็นการหลอกให้เขาเข้าไปในเมือง หรือว่าเรื่องจริง ไม่งั้นแล้วลุงหลงอ๋าวที่มีไหวพริบจะหลงกลได้เหรอ ?

“รอฉันก่อนนะ” ฉู่ชวิ๋นพูดเพียงประโยคเดียวแล้วก็วางสายไปทันที หลงอ๋าวคือผู้มีพระคุณของเขา เขาจะต้องเข้าเมือง

วังมังกรเพลิง ตั้งอยู่ในหุบเขาเฟิงหลินแถวเมืองหลวง

ที่นี่ราชาปีศาจโดนฉู่ชวิ๋นปลิดชีพ ฉู่ชวิ๋นและราชาปีศาจหายตัวไปหลังจากการปะทะกันครั้งนั้น ทำให้คนเข้าใจผิดกันว่า ฉู่ชวิ๋นตายไปแล้ว หัวหน้าอันดับหนึ่ง จึงอนุมัติเป็นพิเศษให้ทำโลงจำลอง[17]ให้กับฉู่ชวิ๋น พอฉู่ชวิ๋นกลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง ที่นี่ก็เปลี่ยนไป โดยเปลี่ยนเป็นสถานที่ที่เจ้าหน้าที่กับจอมยุทธ์ร่วมมือกันสร้างวังมังกรเพลิงขึ้นมา เพราะว่าสมาชิกส่วนใหญ่ของวังมังกรเพลิงเป็นคนจากฝ่ายของจอมยุทธ์ สถาปัตยกรรมจึงดูโบราณเหมือนย้อนยุค

ภายในวังมังกรเพลิงจะมีอยู่ สี่กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มจิ้งจอกเพลิง กลุ่มโหราศาสตร์ กลุ่มวายุอัสนี และกลุ่มฟินิกซ์ม่วง

คนที่ขึ้นมาเป็นเจ้านายของวังนี้ในตอนแรกเป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิชื่อ เกาชิงหลิง แต่อำนาจของเขา

ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ภายในวังต่างก็วุ่นวายโกลาหล เพราะเกิดการแย่งชิงอำนาจกัน

การก่อตั้งวังมังกรเพลิง ค่อนข้างจะไม่มีที่มาที่ไปจนมีข้อเสียมากมาย ทั้งฝั่งจอมยุทธ์และฝั่งเจ้าหน้าที่ต่างก็เป็นฝ่ายที่ทรงอิทธิพลมาก จนเมื่อเกาชิงหลิงตายลงทั้งสองฝ่าย ต่างก็อยากจะได้อำนาจมาครอบครอง

หัวหน้าอันดับหนึ่ง ปวดหัวแทบจะเอาเท้ากุมขมับ คิดหาทางออกไม่ได้ ปรมาจารย์ก็มีอยู่น้อย สุดท้ายฉู่ชวิ๋นปรากฏตัวพอดี ทำให้เขาเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแน่นอนว่าจักรพรรดิอ๋าวฮวงเป็นคนบอกเขานั้นเอง

ในสี่กลุ่มนี้มีเพียงกลุ่มฟินิกซ์ม่วงที่มาจากทางรัฐ อยู่ใต้บังคับบัญชาของมังกรเขียว แต่พลังของมังกรเขียวอ่อนแอเกินไป ภายในวังจึงไม่ได้สนใจเขา จนสุดท้ายไร้บทบาทแม้แต่หมายังเมิน แต่โชคดีที่ทางรัฐมีอำนาจมากพอที่จะหนุนหลังเขาเอาไว้ เพราะงั้นกลุ่มอื่น ๆ จึงไม่กล้าลงไม่้ลงมือกับเขามาก แต่ด้วยเรื่องของผลประโยชน์ ก็ทำให้มังกรเขียวไม่ได้ทำงานอะไรเลยโดนจับดองไว้ภายในวัง

เดิมที่ทั้งสี่กลุ่มตกลงกันเพื่อแบ่งหน้าที่ในการไปล่าสัตว์ร้าย เมื่อครึ่งเดือนก่อนหน้าทั้งสี่กลุ่มก็มีคำสั่ง ให้ไปล่าช้างเผือกขนาดเท่าภูเขา พลังของช้างเผือกตัวนี้ใกล้เคียงกับจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิ ซึ่งทั้งสี่กลุ่มทุ่มเทลงเงินมากพอสมควรเพื่อจะล่ามัน

ช้างเผือกร่างกายมันล้ำค่าดุจอัญมณี แม้แต่เลือดเนื้อก็ยังเต็มเปี่ยมด้วยพลังงาน หากจอมยุทธ์คนใดได้ดืมมันเข้าไปจะช่วยเสริมร่างกายให้แข็งแกร่ง งาของมันที่ยาวแปดจ้าง เปร่งแสงสีขาวออกมาดูน่าเกรงขาม แล้วก็ยังดูมีค่ามากในครั้งนี้กลุ่มฟินิกซ์ม่วงลงมือไปมากที่สุด เขาควรจะได้งาช้างสักข้างหนึ่ง แต่ว่ากลุ่มโหรกลับได้มันไป มังกรเขียวเลยออกปาก พูดอ้างทฤษฎีขึ้นมา พูดเพียงสองถึงสามคำ ก็เกิดความขัดแย้งขึ้นมาผลคือมังกรเขียวโดนฝ่ามือซัดใส่ กระดูกแตกหักหลายส่วน หากว่าอีกฝ่ายไม่คิดถึงประเทศชาติ มังกรเขียวก็จะกลายเป็นหมอกเลือดภายในฝ่ามือเดียวไปแล้ว

หัวหน้ากลุ่มโหร ชื่อว่า เหยียนชง เป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับหนึ่ง

หลงอ๋าวมาถึงตัวเมือง มุ่งตรงไปยังประตูเมืองในมือถือกระจกทองแดงแปดเหลี่ยมไว้ เพื่อเปิดศึกกับเหยียนชง สู้กันจนไปหลายร้อยกระบวนท่า หลงอ๋าวก็บาดเจ็บหนัก กระจกทองแดงแปดเหลี่ยมโดนยึดไปทำให้จงเหรินต้องโทรเรียกฉู่ชวิ๋น

กลุ่มโหรอยู่ที่ฝั่งตะวันออกของหุบเขา ในห้องโถงหลัก หลงอ๋าวกำลังหายใจอย่างอ่อนแรง เลือดไหลอาบเต็มตัว

เหยียนชงควักกระจกทองแดงแปดด้านออกมาเล่น สีหน้าดูมีความสุข

“ของดีนะเนี่ย” เขาพูดพึมพำ

หากว่าหลงอ๋าวเป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับหนึ่ง แล้วใช้พลังจากกระจกทองแดง หลงอ๋าวคงฆ่าเขาตายไปแล้ว

ถ้ามีกระจกทองแดงนี้ ใครในสี่กลุ่มนี้จะกล้ามาเป็นศัตรูของเขากัน?

ตำแหน่งเจ้านายของวังมังกรเพลิงเหยียนชง ดูจะมีสิทธิ์ที่สุด

“หัวหน้า จะจัดการไอ้แก่นี่ยังไงดี ?” จอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์ระดับแปด ถามขึ้น

เหยียนชงมองไปที่หลงอ๋าว จากนั้นก็ละสายตาไปและกล่าวว่า “เขาเป็นอาจารย์ของมังกรเขียว เขาก็คงจะเป็นคนจากทางรัฐ ไม่คิดเลยว่าคนจากทางรัฐจะมาท้าสู้กับฉันถึงที่นี่ ฉันคงประมาทไปหน่อย”

เหยียนชงคิดไปคิดมา ก็ส่งเสียงออกมา “ฆ่ามันซะ!”

“ท่านหัวหน้า แต่เขาคือคนจากทางรัฐนะ” จอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์ระดับแปดตกใจ

“จากทางรัฐแล้วทำไม ? วังมังกรเพลิงไม่ได้อยู่ใต้อำนาจรัฐ คนก่อเรื่องคือมังกรเขียว ต่อมาก็ไอ้ตาแก่นี่ ถ้าไม่คิดจะสร้างสีสันให้พวกเขาหน่อย ก็ไม่รู้ว่าจะมีหมาแมวที่ไหนโผล่มาอีกไหม งั้นก็ฆ่ามันไปเลย เชือดไก่ให้ลิงดู ให้พวกมันรู้ไปว่าประตูของกลุ่มโหร เข้าง่ายแต่ออกยาก”

จอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์ระดับแปด คิดว่ามันไม่เหมาะสมเลยท้วงขึ้นมา

“ท่านหัวหน้า พวกเราควรนิ่งไว้ก่อนแล้วดูท่าทีจากฝั่งรัฐบาลนะ”

เหยียนชงขมวดคิ้ว “งั้นก็นิ่งไว้ จบเรื่องค่อยมาจัดการไอ้แก่นี่อีกที”

“ท่านจะเอาตำแหน่งหัวหน้าวังมังกรเพลิงสินะ ?” จอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์ระดับแปดครุ่นคิด เหยียนชงมองเขาด้วยสายตาที่ชื่นชม พร้อมบอกว่า “แกเดาได้ถูกต้องนะ เกาชิงหลิงก็ตายไปได้ครึ่งปีแล้ว เจ้านายวังคนต่อไปก็อยู่ในนี้สักคนแหละ”

“ท่านหัวหน้าได้กระจกทองแดงนี้มาแล้ว คงแข็งแกร่งขึ้นมาตอนนี้ในอีกสามกลุ่มที่เหลือก็คงไม่สามารถเทียบชั้นกับท่านได้แล้ว”

เหยียนชงหัวเราะลั่น “แล้วยังจะเรียกว่าท่านหัวหน้าอีกเหรอ ?

จอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์ระดับแปดมึนงงจากนั้นเขาก็เข้าใจทันที เขาก้มหัวลงแล้วพูดแสดงความยินดี

“ยินดีด้วย ท่านเจ้าวังมังกร”

เหยียนชงขำออกมา โบกมือรับ “ไปบอกสามกลุ่มที่เหลือว่าที่ห้องโถงหลักของวังมังกรเพลิงมีเรื่องจะต้องปรึกษากัน”

ที่วังมังกรเพลิงห้องโถงคือที่สำหรับคนภายในวังมังกรเพลิงจะเข้ามาหารือเรื่องใหญ่กัน

จอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์ระดับแปดทำท่าทางประจบประแจง พยักหน้ารับแล้วก้าวถอยหลังไป ไปบอกกับอีกสามกลุ่มที่เหลือ

เหยียนชงเข้ามาในห้องโถงวังมังกรเพลิงอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นว่าไฟที่หน้าประตูหรี่ลง เหยียนชงก็หันหลังกลับไป เป็นหญิงสาวคนสวยเข้ามา หลิวเยาเฉียวท้าวสะเอว ทุกก้าวทำเอาอกสั่นขวัญแขวน ผู้คนกลืนน้ำลายเฮือกพอฝูงชนทยอยเข้ามา

“หัวหน้าเหมย” เหยียนชงกำหมัดคารวะ เธอคือหัวหน้าของกลุ่มจิ้งจอกเพลิง ชื่อว่าเหมยจือถง เป็นหญิงหม้ายหน้าตาสละสลวย สามีของเธอจากไปก่อนวัยอันควร ทำให้เหยียนชงหลงเสน่ห์หญิงหม้ายคนนี้เข้าให้แล้ว

หญิงหม้ายดูอ้อนแอ้นอ่อนแอก็จริง แต่ก็ไม่มีใครกล้าประมาทในตัวของเธอเลย ฝีมือการต่อสู้ของเธอถือว่าไม่ธรรมดาเธอเป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิ ทักษะการต่อสู้ของเธอดุดันและร้อนแรง

หากว่าเหยียนชงไม่มีกระจกทองแดงนั่น เขาก็คงไม่กล้าจะพูดอะไรข่มเธอ

“ท่านหัวหน้าเหยียน นี่มันเรื่องอะไรกัน มีอะไรก็รีบแจ้งซะ อย่ามารบกวนเวลาในการนอนของฉัน เห็นไหมว่าใบหน้าฉันเริ่มมีรอยตีนกาแล้ว” หญิงหม้ายคนสวยนั่งลงแล้วทำท่าทางเหวี่ยง ๆ พูดตำหนิออกไป

เหยียนชงยิ้มออกมาแล้วบอกว่า “ท่านหัวหน้าเหมยอย่าเพิ่งรีบสิ รอทุกคนมาก่อนค่อยบอกนะ” หญิงหม้ายคนสวยก็พลิกริมฝีปากแล้วไม่พูดอะไร

ผ่านไปสักพัก ชายร่างกำยำแข็งแรงไว้หนวดเครา ท่าทางการเดินเหมือนกับเนินที่เคลื่อนตัวเข้ามา ตะโกนออกมาตั้งแต่หน้าประตู เสียงดังเหมือนกับฟ้าผ่า “หัวหน้าเหยียน มีเรื่องอะไรสำคัญถึงเรียกฉันมา!”

ชายท่านนี้คือหัวหน้าของกลุ่มวายุอัสนี เหลยเป้า

ก่อนที่เหยียนชงจะเอ่ยปากพูด เหลยเป้ามองไปเห็นหญิงหม้ายคนงาม ทันใดนั้นก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมา “แม่สาวสวยมาถึงก่อนใครเลยแหะ ๆ”

พลางพูดไป เขาก็เดินเข้าไปนั่งใกล้ ๆ กับหญิงหม้าย มีเสียงดังแกร่ก ๆ ดังมาจากเก้าอี้ไม้มะฮอกกานีที่เขานั่งลง

เหยียนชงมองออกไปแบบเหยียด ๆ หมูยักษ์นี้โดนเสน่ห์หญิงสาวดึงดูดเข้าแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมคนแบบนี้ถึงฝึกฝนวิชาได้ด้วย

สาวหม้ายผู้มีรูปร่างงดงามมาก ๆ ดูแล้วเหมือนสาวใหญ่ผิวขาวดั่งหิมะ ถ้าโดนลมพัดคงตัวปลิว แต่อายุของเธอจริง ๆ ปาไปร้อยกว่าปีแล้ว

แต่ทว่าพลังที่ฝึกฝนมานี้ก็ทำให้เธอเปรียบดั่งวัยรุ่น เป็นสาวเต่งตึงเหมือนคนทั่วไปที่อายุสิบกว่า ๆ เท่านั้น

หากฝึกฝนมายาวนานก็จะยิ่งอายุยืนขึ้น หากไม่เกิดอุบัติเหตุอะไรคนเป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิจะมีอายุยืนได้ถึงสามร้อยถึงห้าร้อยปี

“หัวหน้าเหลย ฉันแซ่เหมย อย่าเรียกว่าคนสวยเลย” สาวหม้ายพูดเตือนความจำ เหลยเป้าหัวเราะหึหึ ส่งยิ้มให้ แลดูเป็นคนกะโหลกหนาที่เกาหัวแบบโง่ ๆ

สาวหม้ายรูปงามยิ้มเบา ๆ แต่ในใจรู้สึกอี๋ เธอรู้ดีว่าจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิทุกคนเก่งกาจมากความสามารถ และยังต้องเป็นคนมีความรู้รอบด้านอีกด้วย ชายคนนี้กำลังแกล้งโง่

ใช่แล้ว เหลยเป้าแสดงท่าทางคึกคะนอง แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา นี่คือการเสแสร้งล้วน ๆ เพื่อทำให้คนไม่เคลื่อนไหว หรือประมาณในตัวเขา

เหมยจือถงที่อายุยืนยาวมากว่าร้อยปี รู้ดีเล่ห์เหลี่ยมนี้ของเหลยเป้าไม่สามารถหลอกเธอได้

“ตาเหยียน คนก็มากันครบหมดแล้ว มีอะไรก็รีบว่ามา” เหลยเป้าพูดออกมาด้วยความรีบร้อน

เหยียนชงและหญิงหม้ายตัวแข็งทื่อในเวลาเดียวกัน

“ท่านหัวหน้าเหลย ดูแล้วสายตาท่านไม่สู้ดีนักนะ หัวหน้าของกลุ่มฟินิกซ์ม่วงยังมาไม่ถึงเลย ทำไมถึงบอกว่าคนมากันครบหมดแล้วล่ะ” หญิงหม้ายรูปงามกล่าว

“กลุ่มฟินิกซ์ม่วง ?” เหลยเป้าทำสีหน้าเหยียดหยาม กล่าวว่า “มันก็เหมือนกับกุ้งแชบ๊วย แค่พวกกาก ๆ จะให้ฉันใช้มือข้างเดียวปัดมันทิ้งยังได้เลย”

เหลยเป้าพูดเย้ยหยันสำหรับเขาจอมยุทธ์ที่แกร่งจะต้องสู้ด้วยกำลังตัวเอง พวกที่ใช้อาวุธช่วยนั่น ไม่นับว่าเป็นจอมยุทธ์

“ท่านหัวหน้าเหลย มีอะไรจะแนะนำกับฉันหัวหน้ากลุ่มฟินิกซ์ม่วงไหม ?” เสียงดูโมโหร้ายโผล่ออกมา เงาขนาดใหญ่เดินเข้ามา นี่คือนักรบเสือ นอกจากมังกรเขียวแล้ว ในตอนนี้คนที่วิชาการฝึกฝนอยู่ในระดับสูงสุดสูงที่สุดก็คือนักรบเสือผู้เป็นขั้นปรมาจารย์ระดับสี่ เทียบกันกับคนอื่น ๆ แล้วกลุ่มฟินิกซ์ม่วงคือกลุ่มที่อ่อนแอดูน่าสงสารที่สุด

เหลยเป้ามองนักรบเสือ แล้วตะโกนออกมาว่า “พวกเราคุยกัน มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับขยะอย่างแกด้วยรึ ? ไสหัวออกไปซะ ไว้ค่อยมาที่นี่วันอื่นก็แล้วกัน ฮ่าฮ่าฮ่า”

ระหว่างที่คุยกัน เหลยเป้าปล่อยหมัดสายฟ้าออกมา ระเบิดรอบข้างเพื่อขู่ขวัญนักรบเสือ

“ท่านหัวหน้าเหลย มังกรเขียวบาดเจ็บ ฉันเลยมารับหน้าที่เป็นผู้รักษาการณ์แทน มันผิดตรงไหน?” นักรบเสือกำหมัดแน่นสองข้าง เขาหวงแหนในศักดิ์ศรี ความดันเลือดพุ่งสูบฉีด

เหลยเป้าทำเสียงแค่ก ๆ พูดออกมาว่า “แก ไอ้สวะปรมาจารย์อ่อนหัด กล้าที่จะต่อล้อต่อเถียงฉันเชียวเหรอ ? ไม่อยากจะสอนเลย ขยะจริง ๆ ไป ๆ ไปดูแลเหล่าประชาชนของพวกแกนู่น ?” นักรบเสือพูดออกไปด้วยความโมโห

“แกกับฉันก็ทำงานเพื่อรับใช้แผ่นดินผืนเดียวกัน ทำไมแกต้องดูถูกพวกเราถึงขนาดนี้ด้วย ?” เหลยเป้านิ่งไปสักพักก็ปล่อยหัวเราะฮ่าออกมายกใหญ่ “แกเหมาะสมแล้วเหรอที่ฉันจะไปดูถูกแก ? อย่าเอาเรื่องประเทศมาพูดให้กลัวไปหน่อยเลย พ่อคนนี้ใช้หัวนิ้วมือนิ้วเดียวก็ขยี้แกเหมือนกับแมลงได้แล้ว”

“จะลองดูไหมล่ะ ?” นักรบเสือเกรี้ยวกราดตะโกนออกมา เหลยเป้าขำแห้ง ๆ ใช้ฝ่ามือตบ ๆ รวบรวมเสียงหัวเราะจนกลายเป็นลูกบอลฟ้าผ่า พลังที่ดุร้ายนี้แผ่ซ่านออกมา

“เตรียมพร้อม” นักรบเสือตะโกนลั่น

เสียงฝีเท้าที่อยู่ข้านอกดังขึ้น ทหารนับร้อยถืออาวุธปืนรุ่นล่าสุด เล็งไปที่ห้องโถงวังมังกรเพลิง

“ก็แค่เศษเหล็กเศษทองแดงพวกนี้จะเอามาสู้กับฉันได้เรอะ?” เหลยเป้าพูดเหยียดหยาม

“เศษเหล็กเศษทองแดง?” นักรบเสือพูดเชิงเยาะเย้ยเสียดสี “ในมือของพวกเขาคือปืนสายฟ้าฟาดรุ่นปรับปรุงล่าสุด มันฆ่าจอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์ระดับเก้าได้ ถึงจะจอมยุทธ์ฆ่าขั้นจักรพรรดิไม่ได้ แต่มันก็ไม่ใช่เบา ๆ แน่ ๆ!”

ตามที่นักรบเสือพูดมา ทหารนับร้อยกระจายตัวแล้วยกปืนตั้งท่ารอ “เอาให้ท่านหัวหน้าเหลยดูหน่อย ปืนกระบอกนี้ถือเป็นผลงานวิจัยล่าสุด ว่ากันว่าจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิก็ยังฆ่าได้ ท่านอยากจะลองไหมล่ะ?” เหลยเป้าไม่เกรงกลัว เขาลุกขึ้นมองไปยังนักรบเสือพลางพูดว่า

“ปืนอะไรกัน ? มันจะน่ากลัวขนาดไหนกันวะ มาลองกับพ่อคนนี้ดูไหม”

“น่ากลัวหรือไม่ ตัวท่านจงมาพิสูจน์เอาเองเถอะ” นักรบเสือกล่าว

พลังประจุรอบตัวเหลยเป้าแผ่ซ่าน ร่างของเขาราวกับสายฟ้าคำรามดูแล้วน่าเกรงกลัว

“ท่านหัวหน้าเหลย ท่านผู้รักษาการณ์เสือทุก ๆ ท่านโปรดหยุดก่อน พวกเราในที่นี้ต่างก็เป็นคนของวังมังกรเพลิงทะเลาะกันดูถูกกันไปก็ไม่มีประโยชน์ เหตุใดจึงต้องมาเจ็บตัวกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้?” หญิงหม้ายยืนขึ้นหยุดมวยเอาไว้

“ถูกต้อง ทั้งสองท่านหยุดก่อน” เหยียนชงกล่าว เขาอยากรวบรวมวังมังกรเพลิงเข้าด้วยกันไม่อยากให้มันพัง

“ถือว่าเห็นแก่หน้าของหน้าหัวหน้าทั้งสองท่าน ฉันจะไม่ฆ่าพวกมดปลวกนี่ก็แล้วกัน” เหลยเป้าทำเสียงเย็นชา เก็บพลังลมปราณกลับเข้าร่างกาย

นักรบเสือเบะปาก เดินไปนั่งที่ของเขาแล้วก็ไม่ได้แยแสอะไรกับเหลยเป้า ปืนนี้คือผลงานวิจัยตัวใหม่ล่าสุด สามารถฆ่าจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิได้ แต่มันยังไม่เคยได้ใช้งานจริง ตัวเสือเองก็ไม่รู้ว่ามันจะจริงแค่ไหน