ตอนที่ 59 ครึ่งราคา

ปีนี้ลูกสาวคนที่สองอายุสิบเจ็ด และลูกชายคนสุดท้องอายุสิบหก

กล่าวคือ หลังจากที่ชายวัยกลางคนที่ซื่อๆ คนนั้นส่งลูกสาวคนที่สองไปแล้ว อารมณ์เศร้าโศกด้วยความรู้สึกผิด และความรู้สึกคิดถึงโหยหาเหลือคณานับ จึงมีลูกกับภรรยาอีกคน

ดังนั้น การละเมิดกฎมีลูกเกินกำหนดตามนโยบายคุมกำเนิด ค่าปรับอะไรพวกนั้นที่พูดมาทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น

เขาแค่อยากได้ลูกชาย ลูกคนแรกเป็นลูกสาว ลูกคนที่สองก็เป็นลูกสาวด้วย ดังนั้นเลยยอมมอบให้คนอื่นไปง่ายๆ จากนั้นก็ให้กำเนิดชีวิตใหม่อย่างไม่หยุดหย่อน

แม้ว่าจะมอบให้คนอื่นไปแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าแม้แต่ที่อยู่ของเธอก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ และก็ไม่มีช่องทางติดต่อสักทาง เห็นได้ชัดว่ากลัวว่าในอนาคตจะไม่สนใจใยดีอีกต่อไป

โชคดีที่ครรภ์ถัดมาเป็นลูกชาย ไม่อย่างนั้นลูกสาวคนที่สาม ลูกสาวคนที่สี่จะต้องถูกส่งออกไป…

เพราะตอนนี้ลูกชายเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว เลยต้องหาคนมาจับคู่ เพราะลูกสาวคนโตจับคู่ได้ไม่สำเร็จ พวกเขาถึงได้นึกถึงขึ้นมา

‘อ้อ ดูเหมือนว่าเรายังมีลูกสาวที่มอบให้คนอื่นไปอีกหนึ่งคน’

จากนั้นเพื่อช่วยชีวิตลูกชาย พวกเขาจึงออกตามหา

ระดมสื่อแล้วติดป้ายประกาศตามหาคนหาย

อยากสร้างความประทับใจให้ผู้อื่น ก็ต้องสร้างความประทับใจให้ตัวเองก่อน มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอารมณ์และซับซ้อน

กว่าสิบปีที่ลูกสาวถูกส่งตัวไป บางทีพวกเขาอาจจะรู้สึกทุกข์ใจอยู่บ้าง แต่พวกเขากลับก็ไม่เสียใจเลย หากพวกเขาเสียใจละก็ คงเริ่มตามหามาตั้งนานแล้ว อีกทั้งในปีนั้นที่เพิ่งส่งตัวไป แน่นอนว่าหาได้ง่ายกว่าตอนนี้ที่ผ่านมาแล้วสิบกว่าปีเสียอีก

หากคุณทำอะไรผิดและทำให้คุณทุกข์ใจ อย่างนั้นในวันต่อๆ มาคุณก็จะยังปฏิบัติตามคำแนะนำทางจิตวิทยาให้รู้เป็นนัยๆ เพื่อบรรเทาหรือลบความเจ็บปวดไป

แล้วชายวัยกลางคนคนนั้นก็ทำสำเร็จ เขาถักทอมาหลายเหตุผล โกหกเป็นร้อยๆ ครั้ง และจนตัวเขาเองก็เชื่อแบบนั้น

เขารู้สึกว่าตัวเองยังคงรักและห่วงใยลูกสาวคนที่สองอยู่ เขารู้สึกว่าที่ตัวเองมอบเธอให้คนอื่นไปในตอนแรก เป็นเพราะหมดหนทาง เป็นเพราะไม่มีทางเลือก สะเทือนฟ้าดิน และถูกบังคับให้ทำเช่นนั้น เช่นเดียวกับ ‘เด็กกำพร้าแห่งตระกูลเจ้า’ อะไรเทือกนั้น

พวกเขาไม่คิดหรอกว่าลูกสาวที่พวกเขาส่งไปคนนั้นตอนนี้อายุสิบเจ็ดปีแล้ว

เธอน่าจะอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายแล้ว มีกลุ่มความสัมพันธ์ของตัวเอง มีชีวิตไม่ต่างจากคนวัยเดียวกันทั่วๆ ไป

หรือแม้แต่พ่อแม่บุญธรรมของเธอ อาจไม่เคยบอกเธอว่าตัวเองเป็นลูกบุญธรรมเลยด้วยซ้ำ และเธอก็รู้สึกว่าพ่อแม่บุญธรรมเป็นพ่อแม่ที่ให้กำเนิดตัวเอง

วันเวลาของเธอน่าจะจะสงบสุขมาก

แต่อีกไม่ช้า เธอก็จะเจอกับฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ!

ลูกจ๋า บอกเรื่องน่าดีใจให้ลูกอย่างหนึ่ง พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดลูกหาลูกเจอแล้วนะ!

ลูกจ๋า บอกเรื่องที่น่าตื่นเต้นกับลูกอย่างหนึ่ง พ่อแม่ก่อนหน้านี้ของลูกไม่ใช่พ่อแม่แท้ๆ ของลูกนะ!

ลูกจ๋า บอกเรื่องที่น่ายินดีให้กับลูกอย่างหนึ่ง ลูกมีพี่สาวหนึ่งคนและมีน้องชายอีกหนึ่งคนด้วยนะ!

ลูกจ๋า บอกเรื่องที่ยิ่งใหญ่ให้กับลูกอย่างหนึ่ง ลูกสามารถช่วยชีวิตน้องชายของลูกได้นะ!

แปลกใจหรือเปล่า

ตกใจหรือไม่

น่าประทับใจใช่ไหม

“เถ้าแก่ ท่านเป็นอะไรไปหรือ” ไป๋อิงอิงมองโจวเจ๋อที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตู จึงถามขึ้น

“มีอยู่เรื่องหนึ่ง ทุกครั้งที่นึกถึงมัน ผมก็รู้สึกว่ามันน่าขนลุก” โจวเจ๋อพูด

“ต้องทำเกินจริงขนาดนี้เลยหรือ เถ้าแก่ แม้แต่นรกท่านยังเคยลงไปเลย ยังมีเรื่องอะไรที่สามารถทำให้ท่านกลัวจนเป็นแบบนี้ได้ล่ะเจ้าคะ” ไป๋อิงอิงมองโจวเจ๋อด้วยความสงสัย

“นั่นก็คือทำงานเยอะ ประกอบอาชีพในอุตสาหกรรมต่างๆ สมัครงานหลายตำแหน่ง ล้วนแล้วแต่ต้องมีใบรับรอง ต้องให้ผ่านเกณฑ์ ก็เหมือนกับการสอบใบขับขี่นั่นแหละ คุณต้องได้รับการยืนยันว่าผ่านระดับเทคนิคมาแล้ว คุ้นเคยกับกฎจราจร และต้องปล่อยให้คุณไปขับบนท้องถนนและดูว่าคุณจะผ่านการทดสอบไปได้ไหม ไม่เช่นนั้น การอนุญาตให้ผู้มีทักษะและสภาพจิตใจที่ไม่ผ่านได้รับใบขับขี่นั้น อันที่จริงเป็นการไม่รับผิดชอบต่อคนเดินถนนและเจ้าของรถคนอื่นๆ บนท้องถนน”

“แล้วอย่างไรต่อ” ไป๋อิงอิงเร่งถาม

“แต่ว่าเป็นพ่อแม่คนไม่จำเป็นต้องสอบเอาใบรับรองน่ะสิ”

ค่ำคืนแห่งความเงียบงัน หลังจากโจวเจ๋อตื่นขึ้นในเช้าวันรุ่งขึ้น ก็ไปกินข้าวที่ร้านข้างๆ ตามเดิม แต่ประตูร้านข้างๆ กลับปิดอยู่

นี่ทำให้โจวเจ๋อกังวลเล็กน้อยว่าเมื่อคืนนี้สวี่ชิงหล่างโดนโจมตีหนักไปหรือเปล่า ท้อแท้จนเกียจคร้านไปเลยหรือไม่

โจวเจ๋อไม่สนใจว่าเขาจะหมดกำลังใจไปแล้วหรือเปล่า แต่เขาไม่อาจอยู่ได้โดยปราศจากน้ำผลไม้พวกนั้นของเขา

หลังจากโทรไปหา สวี่ชิงหล่างก็รับสายอย่างรวดเร็ว ปรากฏว่าถ่อไปรับรางวัลลอตเตอรี่ แถมยังบอกว่าอีกสักครู่เขาจะไปซื้อของขวัญให้ทุกคนพอเป็นพิธี

ไม่มีทางอื่น โจวเจ๋อทำได้เพียงสั่งอาหารกลับบ้าน ปิดท้ายด้วยการกลืนน้ำบ๊วยเปรี้ยวที่ยังเหลือไว้ในบ้าน

ประตูร้านยังปิดอยู่ แม้ว่าจะไม่ได้ล็อก แต่ก็เห็นได้ชัดว่าโจวเจ๋อขี้เกียจทำกิจการ โจวเจ๋อปรับตัวกับสถานการณ์และพอใจมาตั้งนานแล้ว

แต่ทว่า เมื่อกลับมานั่งบนเก้าอี้หลังเคาน์เตอร์และเปิดลิ้นชัก โจวเจ๋อรู้สึกประหลาดใจที่พบว่ามีเงินกระดาษกองหนาอยู่ในลิ้นชัก

ตอนแรกโจวเจ๋อคิดว่า เป็นไป๋อิงอิงที่จงใจซื้อกระดาษเงินมาเพื่อเซอร์ไพรส์เขา แต่คิดๆ ดูแล้วไป๋อิงอิงไม่น่าจะไร้เดียงสาถึงขนาดนั้น

หยิบเงินกระดาษในมือมาดีดครู่หนึ่ง เป็นของจริงแฮะ

ตลกจริงๆ ว่าไหม…

ด้วยความสะดวกสบายในการชำระเงินผ่านมือถือ การซื้ออาหารในร้านค้าหรือตลาดที่ทั้งสองฝ่ายกำธนบัตรใบใหญ่ส่องกลางแดดแล้วดีดมันเพื่อแยกระหว่างของจริงและของปลอมแบบนั้น นับวันยิ่งเห็นได้น้อยลงแล้ว

แต่นี่เป็นเงินจริง

โจวเจ๋อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าน่าจะเป็นค่าคอมมิชชั่นที่เขาได้รับจากการส่งเจ้าหน้าที่ลงไปเมื่อวานนี้ และคนนั้นเป็นข้าราชการระดับเก้าขุนนางในราชวงศ์ชิง มีบ้านและกิจการใหญ่โต และแน่นอนว่าธูปบูชาเซ่นไหว้แห่งความกตัญญูที่ลูกหลานและทายาทมอบให้นั้นมีไม่เบาแน่ๆ

โจวเจ๋อเดาเอาว่าถ้าเผาเงินกระดาษพวกนี้ทิ้งละก็ คาดว่าจะต้องมีคนทิ้งกระเป๋าเงินหน้าประตูร้านตัวเองแน่ๆ อย่างต่ำก็น่าจะห้าพันขึ้นไป

ครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่ขาดทุน ทำงานกลางดึกหาเงินได้ตั้งห้าพันกว่าหยวนในกลางดึก ต้นทุนเพียงอย่างเดียวก็คือค่าใช้จ่ายไม่ถึงหนึ่งร้อนหยวนในการเรียกแท็กซี่กลับมา

โจวเจ๋อไม่ได้รีบร้อนออกไปเผาเงินกระดาษในตอนนี้ เงินกระดาษเหล่านี้มีประโยชน์ในยามวิกฤต สามารถช่วยขจัดภัยพิบัติเล็กน้อยและหลีกเลี่ยงการรบกวนจากบางสิ่ง บางครั้งมีประสิทธิภาพมากกว่าสองสามพันหยวนจริงๆ เสียอีก

“สวีเล่อ!”

คนยังไม่ทันเข้าบ้าน แต่เสียงนั้นกลับตะโกนมาก่อนแล้ว

โจวเจ๋อเงยหน้าขึ้นและเห็นน้องภรรยาเดินเข้ามา

“อ่ะ นี่ให้นาย”

วันนี้น้องภรรยาถือกระเป๋าสะพายไหล่และหยิบเงินก้อนหนึ่งจากข้างในมาวางบนเคาน์เตอร์ของโจวเจ๋อ

“คืนเงินของนาย”

โจวเจ๋อหัวเราะ “คุณโอนเงินให้ผมทางโทรศัพท์เลยก็ได้นี่”

“ไม่เอา หยิบเงินสดปึกหนึ่งออกมาเลยจะได้ความรู้สึกกว่าน่ะ” น้องภรรยาหน้ามุ่ย

หลังจากผ่านเรื่องในครั้งก่อน น้องภรรยามองโจวเจ๋อในแง่ดีมากขึ้นนิดหน่อย แน่นอนว่าเป็นเพราะสวีเล่อคนก่อนขี้ขลาดเกินไป ภรรยาของตัวเองแท้ๆ ยังทนไม่ไหว แน่นอนว่าน้องภรรยาก็ยิ่งดูแคลนเขามากขึ้นไปอีก

แต่ตอนนี้โจวเจ๋อดูวาจา สีหน้าจริงจังเล็กน้อย เมื่อตั้งหิ้งของผู้อาวุโสขึ้นแล้ว เธอเริ่มให้ความสำคัญกับคุณอย่างจริงจังแล้ว

“สวีเล่อ กิจการของนายนี่ย่ำแย่จริงๆ เลย” น้องภรรยาพูดพลางล้วงกระเป๋า

“วันนี้ไม่ไปเรียนหรือไง”

“วันหยุดสุดสัปดาห์ไง” น้องภรรยาทำหน้ามุ่ยไม่พอใจ แต่ว่าอีกสักแปบหนึ่งฉันว่าจะไปผับน่ะ ฉันบอกพี่สาวของฉันเอาไว้ว่า ฉันจะมาอ่านหนังสือและทำการบ้านที่นี่น่ะ นายห้ามหลุดปากออกไปเด็ดขาดเลยนะ”

พี่สาวเธอไม่ติดต่อฉันมาครึ่งเดือนแล้วต่างหาก

โจวเจ๋อรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เดิมทีคิดว่าที่หมอหลินกอดตัวเองก่อน หลังจากการสารภาพความจริงไปในครั้งนั้นแล้วจะเป็นการเริ่มต้นที่ดีเสียอีก แต่นั่นอาจเป็นเพียงความกล้าหาญของหมอหลินในตอนนั้นก็ได้

และเมื่อผู้คนสงบลงแล้ว ความคิดของพวกเขาจะค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น และการวนซ้ำและปมที่แปลกประหลาดนั้น หมอหลินอาจจะยังไม่หลุดพ้นออกมา

สามีที่ถูกต้องตามกฎหมายที่ตัวเองไม่ชอบนั้นตายไปแล้ว

แล้วคนที่ตัวเองชอบก็ยืมซากศพคืนชีพในร่างของสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายอีก

ดูเหมือนว่าจะมีความสุขกันถ้วนหน้า

แต่กลับมีช่องว่างทางศีลธรรมยากที่จะผ่านไปได้

โชคดีที่หลังจากผ่านเหตุการณ์กับหญิงไร้หน้าในครั้งก่อน โจวเจ๋อไม่รีบร้อนกับอีกฝ่ายต่อไป

อย่างน้อยๆ แบบว่า ‘เธอไม่นอนกับฉันนี่นา’ ก็ไม่ปรากฏขึ้นในความคิดของเขามานานแล้ว

อาจเป็นเหตุผลที่ว่าในช่วงนี้มีไป๋อิงอิงนอนด้วยทุกคืนล่ะมั้ง

แม้ว่าไป๋อิงอิงนั้นจะมองได้แต่ใช้ไม่ได้ก็ตาม แต่แค่ได้มองก็ถือว่าดีแล้ว

“อย่าไปสถานที่ผับบาร์แบบนั้นให้มากเลย” โจวเจ๋อเตือน “รอเธอเข้ามหาวิทยาลัยแล้วจะผ่อนคลายและทำเรื่องที่ชอบก็ยังไม่สาย”

“โอเค นายก็เหมือนๆ กับพ่อแม่และพี่สาวฉันนั่นแหละ นายบอกว่านายก็เป็นนักศึกษาคนหนึ่ง แต่ทำไมถึงมาเป็นอย่างนี้ได้ล่ะ”

วิธีที่น้องภรรยาพูดนั้น

อธิบายอย่างดีที่สุดก็คือพูดตรงๆ

อธิบายอย่างแย่ที่สุดก็คือไร้หัวใจ

โจวเจ๋อเชื่อว่าเหตุผลที่สวีเล่อคนขี้ขลาดตัดสินใจจ่ายเงินเพื่อจ้างวานคนมาซื้อชีวิตของตัวเองนั้น น้องภรรยาตัวเองที่อยู่ข้างๆคนนี้ ต้องคอย ‘เพิ่มความโกรธ’ ไม่หยุดจนมีบทบาทให้เข้าช่วยเหลือ

ดูเหมือนว่าน้องภรรยาจะไม่รู้เรื่องเด็กสาวเพื่อนร่วมชั้นคนนั้น อาจเป็นเพราะการพิจารณาปกป้องผู้เยาว์ล่ะมั้ง

“ผมกลับมาแล้ว!”

สวี่ชิงหล่างหอบของกลับมามากมาย

“เหนื่อยจังเลย วันนี้เป็นวันแย่ๆแบบผิดปกติเหมือนกัน เรียกแท็กซี่ก็ไม่ได้ และไม่รู้ว่าวันนี้ผมโชคไม่ดีหรือว่าคนขับรถแท็กซี่พวกนั้นไปประชุมประจำปีแล้ว”

สวี่ชิงหล่างวางของลงและเช็ดเหงื่อ

ในเวลานี้ไป๋อิงอิงก็เดินเข้ามา เมื่อมองเห็นของที่อยู่บนพื้นดวงตาของเธอก็ลุกวาว

นี่มันอุปกรณ์เสริมซีพียูคอมพิวเตอร์นี่

“ติดตั้งในร้านของผม ถ้าคุณอยากเล่นก็มาเล่นได้เลย” สวี่ชิงหล่างบอกไป๋อิงอิง

“โอเค”

ทันใดนั้นสวี่ชิงหล่างหยิบกระเป๋าหนึ่งใบออกมาให้ไป๋อิงอิงอีก แล้วโยนไฟแช็กที่สวยงามประณีตให้โจวเจ๋อ

“มา แชร์ส่วนแบ่งกัน “

“นี่มันคืออะไรเหรอ”

น้องภรรยาไม่สนใจของขวัญเหล่านี้ สิ่งที่เธอสนใจคือสวี่ชิงหล่างเสียบพัดพลาสติกเอาไว้หนึ่งอันบนหลังคอของตัวเอง

ฤดูหนาวยังไม่ทันจะผ่านพ้น แต่พกลม น่าสนใจดี

“ตอนเดินผ่านห้างสรรพสินค้ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังทำกิจกรรมกันอยู่แล้วก็ยัดให้ผมมา” สวี่ชิงหล่างตอบ

น้องภรรยาถือพัดเอาไว้ในมือ นี่เป็นพัดพลาสติกธรรมดาทั่วไป มีโฆษณาพิมพ์ติดอยู่บนนั้น หลังจากอ่านแล้ว น้องภรรยาก็ขำ ‘พรืด’ ออกมาอย่างอดไม่ได้

“ขำอะไร” โจวเจ๋อถาม

“บนนี้พิมพ์ติดเอาไว้ว่า ‘พ่อ พ่อเราจะไปไหนกัน’” น้องภรรยาตอบ

“มันมีอะไรน่าขำ คุณเส้นตื้นขนาดนั้นเลยเหรอ” สวี่ชิงหล่างเอื้อมมือออกไปและหยิบพัดจากนั้นก็เบิกตากว้างขึ้น

“พอดีเลย คุณไปกับพี่เขยฉัน” น้องภรรยาหรี่ตากวาดมองสวี่ชิงหล่างและโจวเจ๋อ

“โฆษณารายการ ‘พ่อ พ่อเราจะไปไหนกัน’ เหรอ” โจวเจ๋อถาม

อารมณ์และสีหน้าของสวี่ชิงหล่างเอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่เขาก็ยังโยนพัดให้โจวเจ๋อ “คุณดูเอาเองเถอะ”

โจวเจ๋อหยิบพัดมาและกวาดตามอง

เห็นเพียงพื้นหลังบนนั้นเป็นตึกใหญ่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง

ด้านบนสุดมีตัวอักษรตัวใหญ่หนึ่งบรรทัดเขียนว่า ‘พ่อ พ่อเราจะไปไหนกัน’

จากนั้นมีตัวอักษรการ์ตูนข้างล่างอีกสองบรรทัด

“พาลูกชายไป***ด้วยกัน!

***ครึ่งราคา!”

………………………………………………………..